ตำนานพระธาตุดอยสุเทพกล่าวว่า สร้างขึ้นในปี พ.ศ.๑๙๒๙ หรือเมื่อ ๖๓๒ ปีมาแล้ว โดย พญากือนา จากราชวงศ์มังราย ได้เสด็จมาครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ ของอาณาจักรล้านนา และได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ทรงขุดพบและเก็บไว้สักการบูชาเป็นส่วนพระองค์ถึง ๑๓ ปีมาด้วย ทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลหาที่ประดิษฐาน ซึ่งช้างได้นำขึ้นไปถึงยอดดอยสุเทพ พญากือนาจึงให้ขุดดินลึก ๘ ศอก กว้าง ๓ วา ๖ ศอก นำหินใหญ่ ๖ แท่นมาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหินและก่อพระเจดีย์สูง ๕ วาครอบไว้
ต่อมาใน พ.ศ.๒๑๐๐ พระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ ได้โปรดให้เสริมพระเจดีย์สูงขึ้นไปอีก เป็นสูง ๑๑ ศอก กว้าง ๖ วา พร้อมทั้งให้นำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวใส่บนยอดเจดีย์ ต่อมา เจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่น ติดที่พระบรมธาตุ
ใน พ.ศ.๒๑๐๐ พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูน ได้สร้างบันไดนาคหลวงสำหรับให้ขึ้นไปสักการะได้สะดวก จนกระทั่งถึงสมัย ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งอาณาจักรล้านนา จึงได้ระดมกำลังจากผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อท่าน ร่วมสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น โดยสร้างถนนขึ้นไปถึงดอยสุเทพด้วยพลังจากคนหลายเผ่าพันธุ์ที่ใช้เพียงจอบเสียมเป็นเครื่องมือเท่านั้น
ดอยสุเทพอยู่ห่างตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๖ กม. สูงจากพื้นราบ ๗๔๖.๙๒ ม. และสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๐๕๓ ม. แต่การขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยนับเป็นเรื่องยากลำบาก ต้องเลาะไปตามไหล่เขาที่เป็นทางทุรกันดาร บางแห่งก็ต้องโหนเถาวัลย์ขึ้นไป หลายคนจึงหมดสิทธิ์ที่จะขึ้นไปได้
ความคิดที่จะสร้างถนนขึ้นไปถึงยอดดอยสุเทพนี้มีมานานแล้ว นายพลโท พระองค์เจ้าบวรเดช กฤดากร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอุปราชเทศาภิบาล มณฑลพายัพ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๘-๒๔๖๔ ก็เคยมีความคิดนี้ แต่เมื่อให้ช่างมาสำรวจแล้ว จะต้องใช้เงินถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ในขณะนั้น จึงได้ระงับไป
ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๗๗ หลวงศรีประกาศ (ฉันท์ วิชยาภัย) คหบดีของเชียงใหม่ มีความคิดจะนำไฟฟ้าขึ้นไปติดที่ยอดพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อให้ผู้คนในเมืองยกมือไหว้พระธาตุได้ถูกทิศในเวลาค่ำคืน แต่เมื่อนำความคิดนี้ไปปรึกษาหารือกันแล้ว ก็มีผู้เสนอว่า งานนี้ถ้ามีครูบาศรีวิชัย ที่เคารพศรัทธาของชาวล้านนาเข้าร่วมด้วย ย่อมสำเร็จอย่างแน่นอน ครั้นเมื่อหลวงศรีประกาศนำความไปกราบครูบาฯ ท่านก็ว่าอย่าแค่ลากสายไฟขึ้นไปเลย ทำเป็นถนนให้รถยนต์วิ่งขึ้นไปได้ดีกว่า ทำหลวงศรีประกาศถึงกับอึ้ง จากงานลากสายไฟขยายเป็นถนน ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่า แต่เมื่อครูบาฯยืนยันความตั้งใจอย่างแข็งขัน หลวงศรีประกาศจึงลงมาขอความช่วยเหลือจาก หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ คนสำคัญของคณะราษฎร และรับตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ขอให้ช่วยส่งช่างมาสำรวจแนวทางทำถนนให้ ซึ่งหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ก็ให้ความร่วมมือด้วยดี
เมื่อได้แนวทางสร้างถนนขึ้นดอยมาแล้ว ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. จึงได้ทำพิธีบุกเบิก โดยมี เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ลงจอบแรกเป็นปฐมฤกษ์ ครูบาศรีวิชัยได้นำภิกษุสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา ต่อหน้าหมู่เฮาและชาวเขาหลายเผ่า ที่มีศรัทธาต่อพระธาตุดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัย
ท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัดในพิธีนั้น ครูบาฯได้เปล่งวาจาให้ได้ยินทั่วกันว่า
“ก่อนชีวิตอาตมาจะมรณภาพ อาตมาใคร่จะได้เห็นถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ เพื่อหมู่เฮาทั้งหลายทั้งปวงจักได้ขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนยอดดอยได้สะดวก”
ด้วยประโยคเดียวของนักบุญแห่งล้านนานี้ ได้ปลุกให้หมู่เฮาในจังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งชาวเขาเผ่าต่างๆ มีกระเหรี่ยง แม้ว ยาง เย้า ต่างคว้าจอบเสียมมาช่วยกันถึงวันละ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ คน โดยจัดแบ่งพื้นที่ให้ทำเป็นหมู่ๆละ ๑๐ วา และยังมีผู้มาทีหลังขอแบ่งจากผู้ที่ได้ส่วนแบ่งไว้ เพื่อขอมีส่วนร่วมด้วย
สำหรับส่วนไหนที่มีหินใหญ่ขวางต้องใช้ดินระเบิดช่วย ครูบาก็จัดลูกศิษย์ที่มีความสู้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ไปจัดการให้
สำหรับเรื่องอาหารการกิน ผู้ที่ไปร่วมแรงร่วมใจต่างก็จัดเสบียงไปหุงหากันเอง เช่นเดียวกับที่พัก ก็สร้างเพิงพักที่ข้างจุดทำงานนั้นเอง แม้จะดูลำบากยากเข็ญ แต่ทุกคนก็สนุกสนานและเบิกบานใจ
ด้วยเหตุนี้ ถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพที่ผ่านเส้นทางทุรกันดารยาวถึง ๑๑ กม. กับอีก ๕๐๐ ม. จึงสำเร็จได้ด้วยพลังศรัทธาในเวลา ๕ เดือนกับ ๒๒ วัน และทำพิธีเปิดในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๗๘
นอกขากการสร้างถนนขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพแล้ว ครูบาศรีวิชัยยังสร้างวัดหรือสำนักสงฆ์ตามเส้นทางไว้เป็นระยะ ซึ่งวัดเหล่านี้ทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกกล่าวหาจากฝ่ายอิจฉาริษยาว่าสร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งอุปสมบทให้พระที่เข้าประจำวัดเหล่านี้โดยไม่มีตราตั้งเป็นอุปัชฌาย์ ซ้ำยังแถมด้วยข้อหาร้ายแรงอีกว่า ยุยงให้พระภิกษุรวม ๖๒ วัดให้ลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ จนถูกจับส่งตัวมาชำระอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ทั้งนี้ก่อนที่จะสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ ครูบาศรีวิชัยก็เคยต้องอธิกรณ์มาหลายครั้ง จากเจ้าคณะแขวงลี้ และนายอำเภอลี้ ซึ่งตั้งตัวเป็นอริกับครูบาศรีวิชัยอย่างเปิดเผย แต่ก็หน้าแตกกันไปทุกที อย่างคดีแรกหาว่าท่านเป็นอุปัชฌาย์เถื่อน ส่งตำรวจไปจับท่านมาขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้เป็นเวลา ๔ วัน ๔ คืน แล้วส่งตัวไปให้เจ้าคณะจังหวัดพิจารณาโทษ เรื่องก็กลายเป็นว่ามีกุลบุตรหลั่งไหลมาขอบวชที่วัดศรีดอนชัยกันมาก ครูบาฯได้ยื่นขออนุญาตเป็นอุปัชฌาย์ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบ พอใกล้เข้าพรรษาเกรงว่าจะเป็นการเสียโอกาสแก่กุลบุตรเหล่านั้น จึงตัดสินใจบวชให้ เจ้าคณะจังหวัดเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ความผิดเป็นฝ่ายเจ้าคณะแขวงลี้ที่ดึงเรื่องที่ขออนุญาตไว้
คดีต่อมาเจ้าคณะแขวงลี้เจ้าเก่า ตั้งข้อหาว่าครูบาศรีวิชัยไม่ให้ความร่วมมือที่เจ้าคณะแขวงสั่งให้ทุกวัดจัดประดับธงทิวและประทีปโคมไฟ เฉลิมฉลองในวาระที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ และสั่งให้สำรวจจำนวนพระภิกษุและสามเณรในวัดส่งไปให้ทราบ เรื่องนี้ครูบาศรีวิชัยชี้แจงว่า การประดับธงทิวและจุดประทีปโคมไฟไม่ใช่กิจของสงฆ์ การปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสิริมงคลแก่พระมหากษัตริย์นั้น จะต้องเป็นการชุมนุมสวดถวายพระพรชัย ซึ่งท่านก็ได้ทำไปแล้ว ส่วนการที่ว่าท่านขัดคำสั่งไม่สำรวจจำนวนพระเณรในวัดส่งไปให้นั้น ก็ปลดท่านออกจากเจ้าอาวาสและเจ้าคณะหมวดแล้ว ท่านจึงไม่มีอำนาจไปสำรวจอะไรทั้งสิ้น
หน้าแตกกันไปหลายครั้งก็ยังไม่เข็ด ขบวนการริษยาปล่อยข่าวว่าครูบาศรีวิชัยเป็นผีบุญ มีดาบกายสิทธิ์ซึ่งเทพยดามอบให้ สามารถเดินในน้ำได้และเดินกลางฝนไม่เปียก แต่เมื่อจะตั้งข้อหาเป็นความผิด ก็ไม่สามารถหาหลักฐานว่าครูบาศรีวิชัยมีพฤติกรรมเช่นนั้น จึงให้นายอำเภอลี้ทำรายงานไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีหลักฐานจะดำเนินคดีได้ จึงหันไปหา เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน ให้มีหนังสือไปนิมนต์ครูบาศรีวิชัยไปพบเจ้าคณะจังหวัดลำพูน
การเดินทางไปของครูบาศรีวิชัยในครั้งนี้ ปรากฏว่ามีผู้เลื่อมใสศรัทธาและสานุศิษย์ติดตามไปด้วยถึง ๒,๐๐๐ คน แต่เมื่อไปถึงวัดหริภุญชัย ตำรวจได้กันประชาชนไม่ให้เข้าไปในวัด คงปล่อยให้ภิกษุสามเณรราว ๒๐๐ รูปเข้าไปเท่านั้น และยังห้ามประชาชนนำอาหารเข้าไปถวายพระภิกษุสามเณร จนเมื่อพระภิกษุสามเณรทั้ง ๒๐๐ รูปนั้นต้องหิวโหย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงทนไม่ได้ ฝ่าวงล้อมของตำรวจนำอาหารไปถวาย ทำให้ประชาชนทั้งหมดเฮโลนำอาหารเข้าไปถวายด้วย ความสำเร็จของพลังมวลชนในครั้งนี้ทำให้ทางการจังหวัดลำพูนเกรงจะมีปัญหา จึงแยกส่งตัวครูบาศรีวิชัยไปกักตัวไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่
ครูบาศรีวิชัยถูกกักตัวที่วัดศรีดอนชัย เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ เดือนเศษ มีประชาชนหลั่งไหลไปกราบไหว้และถวายอาหารกันไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าก็ถือโอกาสนำสินค้าไปเปิดร้านขาย จนเหมือนมีงานเทศกาล จังหวัดเชียงใหม่เกรงว่าจะต้องเผชิญกับปัญหามวลชนเช่นเดียวกับลำพูน จึงจัดส่งครูบาศรีวิชัยไปให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯพิจารณา
เมื่อตำรวจคุมตัวครูบาศรีวิชัยมาถึงสถานีหัวลำโพง ทางกรุงเทพฯคงรู้เรื่องราวของครูบาศรีวิชัยอย่างลึกพอสมควรแล้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ ได้ทรงพระกรุณาส่งรถไปรับครูบาศรีวิชัยถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง และเมื่อคณะกรรมการสอบสวนครูบาศรีวิชัยตามข้อกล่าวหารายงานต่อพระองค์แล้ว ได้ทรงประทานสมณสาส์นไปยังพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จเจ้าคณะใหญ่หนกลางมีความว่า
“วันนี้ฉันได้พบตัวพระศรีวิชัยแล้ว ได้ไต่สวนเห็นว่า เป็นพระที่อ่อนโยน ไม่ใช่ผู้ถือกระด้าง ไม่ใช่เจ้าเล่ห์ ไม่ค่อยรู้ธรรมวินัย แต่มีสมณสัญญาพอจะประพฤติให้เป็นพระอยู่ได้ อย่างพระที่ห่างเหินจากสมาคม การที่ตั้งตัวเป็นพระอุปัชฌาย์เองนั้น ด้วยไม่รู้ความหมาย ไม่รู้หมายประกาศ ทำตามธรรมเนียม คืออุปัชฌาย์เธอชื่อสุมนา เมื่อจะถึงมรณภาพ ได้ตั้งเธอปกครองวัดและบริษัทแทนตน ถือว่าได้ตั้งมาจากอุปัชฌาย์ของเธอ เพราะการที่ไม่รู้จักระเบียบแบบแผน ถูกเอาตัวมาลงโทษกักขังไว้ เกือบไม่รู้ว่าความผิดอะไร พระอย่างนี้ต้องการคำอธิบายให้รู้จักผิดชอบ ดีกว่าจะลงโทษ ความปรารถนาของครูบาศรีวิชัยใคร่จะกลับไปอยู่วัดบ้านปางตามเดิม แต่พอใจจะเป็นเจ้าสำนัก แต่ถ้าวัดบ้านปางร้างเสีย จักหาที่อยู่ต่อไปได้
ในคราวที่พระศรีวิชัยถูกเอาตัวมากักขังไว้ มีสามเณรสึกเสีย ๒ องค์ อีกองค์หนึ่งไปอยู่ที่อื่น ส่วนพระยังอยู่หรือหมดไปแล้ว ครูบาศรีวิชัยหารู้ไม่ ถ้าพระศรีวิชัยจักอยู่วัดบ้านปาง น่าจะต้องให้เป็นเจ้าสำนัก แต่ไม่รู้จักระเบียบแบบแผน น่าจะไม่พ้นความผิดอีก เว้นจะได้รับเมตตาของเจ้าคณะพระแนะนำให้เข้าใจระเบียบแบบแผน ครั้นจะยกรูปอื่นเป็นเจ้าสำนัก ก็จักว่าหุ่นอันพระศรีวิชัยจะพึงชักด้วยจะไม่ต้องรับผิดชอบ พระศรีวิชัยบอกว่า เจ้าคณะลำพูนปรารถนาจะให้พระศรีวิชัยอยู่ศึกษาให้ได้รับความรู้กลับไป แต่พระศรีวิชัยไม่สบาย เกรงจะทำไม่ไหว ปรารภกลับไปลำพูนเพื่อจำพรรษา ฉันเห็นว่าพระศรีวิชัยอายุถึง ๔๓ ปีแล้ว ทั้งยังไม่ได้รับขัดเกลามาด้วย เกรงว่าจักไม่สำเร็จเหมือนกัน เธอจงส่งพระศรีวิชัยกลับขึ้นไปก่อนพรรษา จงบอกให้ผู้ครองนครลำพูนช่วยเป็นธุระให้ได้กลับไปอยู่วัดบ้านปาง หรือวัดอื่นที่พระศรีวิชัยต้องการพอใจ แต่ต้องเป็นหัววัดเอง หรือมีพระอื่นเป็นหัววัดโดยจริงจัง อย่าปล่อยให้เที่ยวเตร่อยู่รูปเดียว แต่ขอให้รู้จักอ่อนน้อมต่อคณะสงฆ์จังหวัดนั้น ค่าส่งพระศรีวิชัยกลับไป จงแจ้งต่อพระญาณวราภรณ์ ให้จ่ายเป็นส่วนตัวของฉัน”
นั่นเป็นการถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯก่อนการสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพ ครั้นสร้างถนนเสร็จแล้ว รางวัลที่ครูบาศรีวิชัยได้รับจากฝ่ายปกครองและคณะสงฆ์เชียงใหม่ คือข้อหาที่สร้างวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตขึ้นระหว่างทางขึ้นดอย และบวชให้ผู้ประสงฆ์จะแสวงบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นอุปัชฌาย์เช่นเดิม ถูกส่งตัวมาพิจารณาที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ท่านได้กล่าวกับหลวงศรีประกาศที่มาเยี่ยมขณะถูกส่งตัวมาพิจารณาคดีที่วัดเบญจมบพิตรว่า จะไม่กลับไปเชียงใหม่อีกแล้ว เพราะเชียงใหม่ได้ส่งท่านมาพิจารณาคดีอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯถึง ๒ ครั้ง นอกจากน้ำในแม่ปิงไหลย้อนขึ้นเหนือ ท่านจึงจะเหยียบเชียงใหม่อีก
หลังจากพ้นมลทินในการถูกกล่าวหาครั้งที่ ๒ นี้แล้ว ท่านก็กลับอยู่เมืองลำพูน แม้ชาวเชียงใหม่จะแห่กันไปรบเร้าให้ท่านกลับไปเชียงใหม่ นักบุญแห่งล้านนาก็ย้อนถามไปว่า
“น้ำในแม่ปิงยังไม่ไหลย้อนขึ้นเหนือไม่ใช่หรือ”