xs
xsm
sm
md
lg

๓๐ ตุลา ๒๓๗๐ ร.๓ โปรดเกล้าฯคุณหญิงโมเป็น ท้าวสุรนารี! วีรกรรมหญิงไทยที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึก!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

อนุสาวรีย์ “ย่าโม” กลางเมืองโคราช
ใน พ.ศ.๒๔๖๙ สมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ซึ่งตอนนั้นขึ้นกับไทย และเป็นผู้สนิทชิดเชื้อกับพระราชวงศ์ไทยอย่างมาก แต่เกิดน้อยอกน้อยใจเมื่อคราวที่เข้ามาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และถือโอกาสกราบทูล ขอคณะละครผู้หญิง กับครอบครัวคนลาวซึ่งถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อยู่เมืองสระบุรีให้กลับไปเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า คนเหล่านั้นเป็นคนไทยไปหมดแล้ว จึงไม่โปรดพระราชทาน ทำให้เจ้าอนุวงศ์ไม่พอใจ

เมื่อกลับถึงเวียงจันทน์ เจ้าอนุหันไปฝักใฝ่ข้างญวน และคิดจะยกทัพมาตีกรุงเทพฯ ด้วยเห็นว่าตอนนั้นมีแต่เจ้านายเด็กๆ ขุนนางผู้ใหญ่ที่มีฝีมือก็มีน้อย กองทัพอ่อนแอ ทั้งยังถูกอังกฤษคุกคาม

แต่เมื่อปรึกษาหารือข้าราชการผู้ใหญ่แล้วต่างพากันค้านว่า สยามเป็นเมืองใหญ่ ถึงตีได้ก็ใช่จะรักษาเมืองไว้ได้ ไพร่พลเมืองจะต่อต้านเหมือนนอนอยู่บนขวากหนาม เจ้าอนุก็ว่า หากตีได้จะกวาดต้อนครอบครัวและทรัพย์สินในท้องพระคลังกลับไปเท่านั้น ไม่ได้ยึดครองอยู่นาน

จึงมีหนังสือไปถึง เจ้าโย้ ราชบุตร ที่ไทยตั้งให้ครองเมืองจำปาศักดิ์ ให้กวาดต้อนผู้คนเมืองเขมราฐ เมืองอุบล เมืองศรีสะเกษ เมืองเดชอุดม เมืองยโสธร ไปไว้ที่เวียงจันทน์ แล้วยกทัพไปนครราชสีมา แล้วส่งเจ้าติศะ พระอนุชา ผู้เป็นอุปราช ไปเกลี้ยกล่อมเมืองกาฬสินธุ์ เมืองร้อยเอ็ด เมืองสุวรรณภูมิ เมืองชนบท เมืองขอนแก่น แต่เจ้าเมืองกาฬสินธุ์ไม่ยอมเข้าด้วย เจ้าอุปราชจึงฆ่าเสีย ทำให้เจ้าเมืองอื่นๆพากันเกรงกลัว

มีบันทึกเหตุการณ์เป็นลางร้ายของเจ้าอนุก่อนจะยกทัพออกมาจากเวียงจันทน์ว่า

“...เวลากลางวันเกิดพายุใหญ่พัดช่อฟ้าใบระกา หอพระแก้วพระบาง หลังคาเรือนหนุหักไปเป็นอันมาก เรือนภรรยาอนุทลาย ๕ หลัง แต่เรือนราษฎรชาวบ้านหักพังประมาณ ๔๐-๕๐ กลัง ครั้นมาถึงเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ อนุยังเกณฑ์กองทัพอยู่นั้น บังเกิดดาวพฤหัสบดีขึ้นทางทิศทักษิณเมื่อเวลาดึกประมาณ ๒ ยามเศษ เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองเวียงจันทน์ ถ้วยชามสิ่งของรูปพรรณกระทบกัน ครั้นรุ่งสว่างขึ้น เห็นแผ่นดินแยกออกในกำแพงเมือง ยาวประมาณ ๒ วา กว้างประมาณศอกเศษ ลึกประมาณเส้นเศษ อนุเห็นดังนั้นจึงหาโหรมาดูว่าดีหรือร้ายประการใด จะยกกองทัพลงไปตีกรุงจะมีชัยหรือปราชัย โหรทำนายว่าเหตุนี้ร้ายนักจักปราชัย...”

แม้โหรจะทำนายทายทักแบบนี้แล้ว เจ้าอนุก็ยังดึงดันที่จะยกทัพมาตีกรุงเทพฯให้ได้ คุมพล ๓,๐๐๐ พันข้ามโขงมาตั้งอยู่บ้านพันพร้าว ให้ทัพหน้าของเจ้าราชวงศ์ยกล่วงมาถึงนครราชสีมา ออกอุบายบอกว่าทางกรุงเทพเรียกให้ไปช่วยรบกับอังกฤษ เมื่อหลอกเอาเสบียงได้แล้วก็ยกไปสระบุรี เจ้าอนุกับเจ้าสุทธิสารก็ยกตามมาถึงนครราชสีมา ตั้งค่ายถึง ๗ ค่ายที่ทะเลหญ้าทางตะวันออกของเมือง ปล่อยข่าวว่ามีกำลังถึง ๘๐,๐๐๐ คน

ตอนนั้นเจ้าพระยานครราชสีมา พระยาปลัด และกรมการเมืองส่วนใหญ่ไม่อยู่ ไประงับเหตุวิวาทเจ้าเมืองขุขันธ์กับน้องชาย เจ้าอนุจึงเรียกพระยาพรหม ยกกระบัตรเมือง ออกมาพบ สั่งให้กวาดต้อนครอบครัวชาวนครราชสีมาไปเวียงจันทน์ภายใน ๔ วัน พระยายกกระบัตรเกรงกลัวจึงจัดต้อนรับเจ้าอนุอย่างดี เจ้าอนุให้ทหารเก็บเครื่องศาสตราวุธของชาวนครราชสีมาทั้งหมด แม้แต่มีดพร้าก็ไม่ให้เหลือ

เมื่อทางเมืองขุขันธ์ทราบข่าว พระยาปลัดเป็นห่วงครอบครัวจึงขอกลับมาดูทางนครราชสีมาเอง และเมื่อมาถึงก็เข้าพบเจ้าอนุบอกว่า พระยานครราชสีมาหนีเข้าเขมรไปแล้ว ตนทิ้งครอบครัวไม่ได้จะขอไปเวียงจันทน์ด้วย เจ้าอนุหลงเชื่อจึงให้พระยาปลัดกับพระยาพรหม คุมครอบครัวไทยไปเวียงจันทน์ แต่พระยาทั้งสองได้แกล้งถ่วงเวลาให้เดินช้า

พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ บันทึกไว้ว่า

“พระยาปลัด พระยาพรหม ยกกระบัตร กรมการ จึงคิดอ่านอุบายจัดหญิงสาวๆ ให้นายทัพนายกองที่ควบคุมครั้งนั้นทุกคน จนชั้นไพร่จะชอบใครก็ไม่ว่า เห็นว่าพวกลาวกับครัวไทยสนิทเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเข้าแล้ว พระปลัด พระยาพรหมยกกระบัตรขึ้นมาหาเจ้าอนุที่ค่ายใหญ่ แจ้งว่าอพยพครอบครัวไปได้ความอดอยากนัก ขอมีด ขวาน ปืน สัก ๙ บอก ๑๐ บอก พอได้ยิงเนื้อมากินเป็นเสบียงเลี้ยงครอบครัวไปตามทาง เจ้าอนุก็ยอมให้ ครั้นได้มีดขวานปืนไปแล้ว เดินครัวไปถึงทุ่งสัมฤทธิ์
พระยาปลัด พระยาพรหมยกกระบัตร พูดเป็นอุบายว่าขอพักครัวอยู่ที่นั่นก่อน ด้วยครอบครัวเมื่อยล้าเจ็บไข้ล้มตายได้รับความลำบากนัก ครั้นครัวมาถึงพร้อมหน้ากัน พระยาปลัด พระยาพรหม ยกกระบัตร กรมการ คิดอ่านกันเป็นความลับ ครั้นเวลากลางคืนดึกประมาณ ๓ ยามเศษ ก็ฆ่าพวกลาวตายเกือบสิ้น”

การวางแผนกู้ศักดิ์ศรีชาวนครราชสีมาครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ผู้หญิงประกบแม่ทัพนายกองทหารลาวเพื่อให้ตายใจ

คุณหญิงโม ภรรยาของพระยาปลัด เป็นแม่งานสำคัญในการวางแผน และสั่งให้ตัดไม้เสี้ยมปลายให้แหลม ใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับดาบและปืน

เมื่อถึงเวลานัดหมาย คนของคุณหญิงโมจึงเข้าจู่โจมแย่งอาวุธฆ่าฟันทหารลาวที่ชะล่าใจล้มตายลงเป็นอันมากแม้แต่แม่ทัพ ส่วนเกวียนที่บรรทุกดินดำยุทธปัจจัยที่สำคัญก็ถูกจุดระเบิดจนไฟไหม้ ลามต่อไปถึงเกวียนคลังแสงอื่นๆหมดทั้ง ๕๐ เล่ม แสงเพลิงโชติช่วงแดงฉานทั่วทุ่งสัมฤทธิ์ ขวัญกำลังใจของทหารลาวแตกกระเจิง แต่ชาวนครราชสีมาฮึกเหิม ฆ่าฟันทหารลาวจนเกือบหมด ที่เหลือก็แตกหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

ด้วยวีรกรรมของคุณหญิงโมครั้งนี้ แม้จะเป็นผู้หญิงก็สามารถกอบกู้บ้านเมืองไว้ได้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งคุณหญิงโม ภรรยาของพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา เป็น ท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๗๐

ท้าวสุรนารี หรือ คุณหญิงโม เกิดปี พ.ศ.๒๓๑๔ สมัยแผ่นดินกรุงธนบุรี เมื่ออายุ ๒๕ ปีได้แต่งงานกับเจ้าพระยาหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมาแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา มีนิวาสสถานอยู่บริเวณตรงข้ามวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ท้าวสุรนารีถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๕ รวมอายุได้ ๘๑ ปี หลังการทำพิธีฌาปนกิจแล้ว เจ้าคุณสามีได้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ วัดศาลาลอย ต่อมาเจดีย์ชำรุดจึงย้ายมาบรรจุไว้ที่วัดพระนารายณ์มหาราช จนเมื่อสร้างอนุสาวรีย์ของท่านไว้ที่หน้าประตูชุมพล เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ จึงได้อัญเชิญอัฐิของท้าวสุรนารีมาบรรจุในฐานอนุสาวรีย์ด้วย เพื่อคุ้มครองชาวเมืองนครราชสีมาให้อยู่รอดปลอดภัยเหมือนวีรกรรมของท่านในอดีต


กำลังโหลดความคิดเห็น