xs
xsm
sm
md
lg

๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ พระพุทธเจ้าหลวงสวรรคตกะทันหัน! เจ้านายลมจับถึงต้องหามไปตามกัน!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เป็นวันเศร้าสลดอีกวันหนึ่งของคนไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน ยังความโศกเศร้าให้แก่พสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน พระองค์ทรงเป็นที่รักยิ่งของอาณาประชาราษฎร์ ได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” อันมีความหมายว่า กษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักของปวงชน วันที่ ๒๓ ตุลาคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็น “วันปิยมหาราช”

สมเด็จพระปิยมหาราชทรงประชวรด้วยพระโรคพระธาตุพิการมาแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม แล้วกลายไปทางพระวักกะ (ม้าม) พิการ แพทย์ได้ถวายพระโอสถ แต่พระอาการก็ไม่คลาย ถึงวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม เวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที ก็เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังสวนดุสิต พระชนมพรรษา ๕๘ เสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ ๔๓ พรรษา เป็นเวลา ๑๕,๓๒๐ วัน

จากบันทึกของข้าราชบริพารที่เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดในวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพ สรุปได้ว่า ในเช้าของวันที่ ๒๒ ตุลาคม นายแพทย์ฝรั่ง ๓ คนขึ้นไปเฝ้าพระอาการ ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคลเบาที่คาดว่าน่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคลเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่อมซึมบรรทมหลับอยู่ตลอดเวลา หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคลเบาออกมามากขึ้น
คณะนายแพทย์ประชุมกันแล้วเขียนรายงานพระอาการยื่นต่อเสนาบดีว่า พระอาการเหลือกำลังที่คณะแพทย์จะถวายการรักษาแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาแต่เช้า ได้ทอดพระเนตรรายงานของคณะแพทย์แล้ว ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่า ควรให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ แพทย์หลวงประจำพระองค์ มาตรวจพระอาการดูด้วย

พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ขึ้นไปตรวจพระอาการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯมีน้ำพระเนตรไหล แต่ไม่รับสั่งอันใด พระองค์เจ้าสายฯกลับลงมายืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นไร เชื่อว่าที่บรรทมหลับตลอดนั้น เป็นด้วยฤทธิ์พระโอสถต่างๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็จะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรยังเต้นเป็นปกติดี พระองค์เจ้าสายฯกลับไปนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้พระศอแห้ง ครั้งนี้ทรงรับสั่งทักว่า “หมอมาหรือ” แล้วไม่ได้รับสั่งอะไรอีก

ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่มีพระบังคลทั้งหนักและเบาเลย ยังบรรทมหลับอยู่ตลอด เวลาย่ำค่ำ พระเจ้าลูกยาเธอ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตและหมอฝรั่งขึ้นไปตรวจพระอาการด้วย ทรงหายพระทัยดังยาวๆ และทรงหายพระทัยทางพระโอษฐ์อย่างแรงจนเห็นชัดได้ว่าพระมัสสุไหว แต่พระเนตรไม่จับใครเสียแล้ว ลืมพระเนตรคว้างอยู่เช่นนั้น แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระบรมราชินีฯกราบทูลให้เสวยน้ำ ทรงพยักพระพักตร์รับ เมื่อสมเด็จพระราชินีฯกราบทูลว่าเป็นพระโอสถแก้พระศอแห้งของพระองค์เจ้าสายฯ ทรงรับสั่งว่า “ฮือ” แล้วทรงยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดพระเนตรคล้ายทรงพระแสง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี เช็ดพระเนตรด้วยผ้าเช็ดพระพักตร์ชุบน้ำถวาย นายแพทย์ฝรั่งฉีดพระโอสถบำรุงพระหฤทัยถวาย

จากนั้นนายแพทย์ฝรั่งนั่งประจำผลัดเปลี่ยนกันคอยจับพระชีพจรตลอดเวลา การหายพระทัยค่อยเบาลงทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีเลย คงบรรทมหลับตลอด หลัง ๒ ยาม ๔๕ นที บรรดาเจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง หมอฝรั่งก็รีบลงมาทูลว่า เสด็จสวรรคตแล้วด้วยพระอาการสงบ

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ สมเด็จพระเจ้าน้องเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้าโศกอาลัย ทรงกรรแสงคร่ำครวญสะอึกอื้นทั่วกัน หลายพระองค์ทรงประชวรวาโยไปตามกัน สมเด็จพระบรมราชินีนาถประชวรพระวาโยและมีพระอาการกระตุกด้วย ต้องขึ้นพระเก้าอี้หามกลับไปพระตำหนักสี่ฤดู สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งประชวรด้วยพระวาโยบรรทมอยู่ที่เก้าอี้ปลายพระแท่น ก็ต้องใช้เก้าอี้หามกลับไปพระตำหนัก บรรดาฝ่ายหน้าฝ่ายในล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกัน

รุ่งเช้าของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ความโศกเศร้าโทมนัสโศกาอาลัยนี้ก็กระจายไปทั่วราชอาณาจักร น้ำตานองไปทั้งแผ่นดิน

จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว พสกนิกรที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงพาชาติรอดปลอดภัยในยามวิกฤติ ก้าวหน้าเข้าสู่ความรุ่งเรืองในรัชสมัยของพระองค์ ก็ยังคงกราบไหว้บูชาตลอดมาไม่เสื่อมคลาย และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกชั่วกาลนาน




กำลังโหลดความคิดเห็น