xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งกว่าได้รางวัลจากสวรรค์ : “เจมส์-ธีรดนย์” เปิดตัวตนบนเส้นทางนักแสดง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ถ้ามีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต...จะไม่ลองคว้ามันหน่อยหรือ? เชื่อว่าคำถามนี้คงจะต้องมีผ่านเข้ามาในชีวิตของคนทุกคนอยู่ไม่มากก็น้อย คงเป็นแบบเดียวกับ เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ นักแสดงหนุ่มที่พร้อมแล้วกับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘Homestay’ จากค่ายจีดีเอช (GDH) เจ้าตัวบอกว่านี่อาจจะเป็นหลักไมล์ครั้งสำคัญในชีวิตเลยทีเดียว

 • จาก 4 ปีที่เป็นนักแสดงมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ผมไม่คิดว่าชีวิตผมจะเอาจริงเอาจังกับงานได้มากขนาดนี้ จินตนาการภาพเด็ก ม.ปลาย ที่วันๆ ก็ไปเรียน พอเลิกเรียนก็ไปเตะบอลกับเพื่อน ไปสยามบ้าง หรือว่าไปเล่นเกม จนวันหนึ่งมีโอกาสหยิบยื่นเข้ามาแล้วเราได้รับโอกาสนั้น ก็พบว่าพอทำไปมันไม่ใช่แค่การทำเพราะเราได้รับโอกาส แต่เป็นการทำเพราะว่าเรามี passion กับมัน เราอยากทำให้มันดี เรายึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ คล้ายกับเรา offset กับงาน เหมือนเจอทางที่ใช่เลยนะ คือคนเราการที่จะเจองานตัวเองที่ทำแล้วมีความสุขและใช่ ผมว่ามันยากเหมือนกันนะ ผมคิดว่าผมโชคดีนะที่ผมได้ลองแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลย

แล้วอีกอย่างตอนที่พี่ๆ ทีมฮอร์โมนไปเจอ ช่วงเวลานั้นเราก็เป็นคนหนึ่งที่เรียนทางด้านสายวิทย์มา แต่ว่าตอนนั้นเราก็มีโอกาสตรงที่มีโมเดลลิ่งติดต่อให้ไปแคสต์งานโฆษณา แล้วพอได้ทำจริงๆ เรารู้สึกว่ามันสนุกดี และทำให้เรารู้สึกว่าได้เรียนรู้การทำงานในวงการบันเทิงบ้าง ณ ช่วงนั้น จนเมื่อพี่ๆ ได้มาเจอเราก็เลยทำให้ได้มีโอกาสที่ได้ทำต่อ กลายเป็นชอบและอิน อีกอย่างมันเป็นโอกาสแรกเลยนะ เราเลยรีบคว้าเลย กระโจนเลยตอนนั้น

 • บทบาทที่ได้รับมาตั้งแต่การเป็นนักแสดงอย่างเป็นทางการก็เป็นการท้าทายเราไปด้วย

ท้าทายครับ (นิ่งคิด) มันไม่ใช่แค่โชคนะ ผมว่ามันอยู่ที่จังหวะ เวลา และความสามารถของเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ แล้วก็คิดพลางด้วยว่าถ้ามีโอกาสเราจะสามารถทำมันอีกได้ไหม เหมือนที่อาจารย์ของผมเคยพูดว่า  โชค คือ โอกาสบวกความสามารถ  คนเรามันไม่ได้มีแค่พึ่งโชคอย่างเดียว แต่เราต้องฝึกฝนทักษะของตัวเองเพื่อที่จะได้ให้พร้อมกับการรับโชคนั้น คือโอกาสที่มันจะเข้ามา แล้วพอเราได้มันมาแล้ว เราก็ต้องทำตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะให้เราเหมาะสมกับการที่ได้รับโอกาสนั้น ส่วนปัจจัยอื่นนั้นผมว่ามันมีหลายอย่าง เช่น ผู้กำกับเขียนบทมาเขาอาจจะไม่ได้เขียนเพื่อเรา เขาเขียนมาในสิ่งที่เขาอยากเล่า ออกตัวละครเป็นแบบไหน เราจะได้รับโอกาสมาแคสต์หรือเปล่า

สมมติว่าเรายังไม่ใช่สำหรับเขาในตอนนั้น แต่เขายังไม่เจอคนที่ใช่ในบทนี้ มันก็อยู่ที่เราเหมือนกันว่าเราสามารถเปลี่ยนเป็นคาแรกเตอร์ตามที่เขาต้องการได้หรือไม่ ถ้าเราเปลี่ยนตามที่เขาต้องการแล้ว เขาจะมองว่าชอบหรือไม่ชอบ ใช่หรือไม่ใช่ มันก็อยู่ที่ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ แล้วเราจะเล่นซีนอารมณ์ได้ไหมก็อยู่ที่เราอีก มันมีหลายอย่างครับ ปัจจัยที่ปล่อยออกไป คนดูจะชอบหรือเปล่า ก็อยู่ที่คนดูอีก และการทำงานลักษณะนี้อย่างที่บอกครับว่ามันอยู่ที่หลายปัจจัยมาก ถ้าที่ออกไปมันจะสวย อยู่ที่ตากล้อง แสงจะสวยมั้ยอยู่ที่ทีมไฟ มันเลยเป็นอาชีพที่มีหลายปัจจัย

 • อีกมุมหนึ่งก็เป็นการซึมซับบทบาทจากบทที่เราได้รับและตอบโจทย์ในการเป็นนักแสดงด้วย

ใช่ครับ น่าจะเข้าใจคน type นั้นจริงๆ ได้เข้าใจแต่ละบทบาทที่เราได้รับจริงๆ มันเป็นการลงไปเพื่อเข้าใจคนคนนั้นจริงๆ เพราะว่าถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราก็ไม่สามารถที่จะเล่นเป็นเขาได้ ไม่สามารถเข้าใจในความรู้สึกของเขาได้ มันเลยทำให้เราเข้าใจคนหลายแบบ และตอบโจทย์ด้วยครับ เพราะซีรีส์ S.O.S. มันเป็นเรื่องแรกที่พลิกคาแรกเตอร์เรานะ หลายคนก็มีการบอกผมกันว่าผมจะได้หมดที่เป็นคาแรกเตอร์คล้ายๆ ตัวเอง แต่ ซัน ฮอร์โมนส์ กับ พัฒน์ ฉลาดเกมส์โกง มันมีความคล้ายแต่ก็ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียวนะครับ แต่พอเป็นเรื่อง S.O.S. มันเป็นการพลิก เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์เลยว่าผมเป็นนักแสดง หรือเป็นแค่ดาราวัยรุ่นคนหนึ่ง ผมคิดว่าถ้าผมยังเล่นได้ไม่ดีก็คงเป็นอย่างหลัง จะเป็นแค่มีโอกาสมาแล้วก็ทำส่งส่งไป ก็คงได้แค่นั้น แต่ว่าเราก็ต้องพิสูจน์สิว่าเราเป็นนักแสดง เราเลยต้องเต็มที่กับมันทุกอย่าง

แต่การเข้าถึงบทบาทของเรา ผมไม่ได้ทำเพื่อคิดว่ามันเป็นความเท่นะครับ เราเข้าถึงมันเพราะว่าเราอยากให้งานมันดีจริงๆ เราต้องเข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ ไม่งั้นเหมือนแค่เอาโรคมาทำ แต่เราไม่เข้าใจเขา ผมว่ามันน่าเกลียดมาก เหมือนกับเอาคนป่วยมาหากินมันก็ไม่ได้ การเล่นเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การพิสูจน์ความสามารถ แต่เราเป็นกระบอกเสียงให้กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าได้ว่าพวกเขารู้สึกยังไง เขาต้องการคนแบบไหน สิ่งไหนที่มันจะช่วยเขาได้ ผมว่ามันเป็นซีรีส์ที่ไม่ใช่แค่ดูแล้วสนุก แต่ผมว่าดูแล้วมันต้องได้อะไรกลับไป ได้ข้อคิดอะไรสักอย่างจากการที่เราสื่อออกไป ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เหมือนตอบคำถามกากบาท แต่พอได้ดูหนังหรืออะไรก็ตามมันก็มีหลายทางเลือก ให้คนเลือก และคำตอบมันก็ไม่มีถูกผิด ปลายเปิด

 • การเป็นนักแสดงของเจมส์ ได้ให้อะไรแก่ตัวเราบ้างครับ

ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้เข้าใจตัวเองตรงที่ไปเข้าใจตัวละคร พอเข้าใจตัวละครก็จะทำให้เราเข้าใจคนหลายๆ แบบ มันทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น เจอกับคนมาก มันทำให้เราเจอกำแพงที่ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ทะลุมันไปเรื่อยๆ นี่คือความสนุกของอาชีพนักแสดง หรือว่าเราจะต้องมีการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ผมว่ามันคือความสนุกของอาชีพนี้เลย รัก ชอบ ใช้คำว่ารักอาชีพนี้ได้ อย่างอาชีพศิลปินที่เราทำอยู่ ผมรู้สึกว่ามันไปกันได้

 • อีกมุมหนึ่งด้วยการเป็น icon ของวัยรุ่นปัจจุบัน มันทำให้เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาด้วย ประมาณนั้นมั้ย

ผมรู้สึกว่าการวางตัวของเรา มันมีการวางตัวอยู่แล้วล่ะว่าสิ่งไหนที่เหมาะสมที่จะลงในโลกออนไลน์ การวางตัวมันก็ไม่ใช่การสร้างภาพ เราก็ยังมีความเป็นเราอยู่ เราเป็นแบบนี้ของเรา เราไม่ได้ทำแบบให้คนมาชอบ คือเราอาจจะไม่ใช่แบบอย่างที่ดีให้แก่เขา แต่เราก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่แย่ การที่เราอยู่ตรงนี้เราก็ไม่ต้องทำอะไรที่แย่ เราก็ไม่ใช่แบบ วันนี้ทำบุญนะครับ แต่การปรับตัวของเราก็อย่างที่บอก เราไม่ได้ให้เขาทำเรื่องที่แย่ เป็นเราที่เป็นเรา เราก็ยังมีความเป็นมนุษย์ปกติ จริงๆ มันก็คือมนุษย์คนหนึ่งนะครับ เราเหมือนคนทั่วไปที่คุณสามารถคุยกับผมได้ปกติ

 • เช่นเดียวกัน เราเป็นไอคอนของวัยรุ่นในตอนนี้ พอถูกจับตามองเรารับมือกับมันยังไง

เดี๋ยวนี้มันมีโลกออนไลน์นะครับ สิ่งที่เรารับมือก็มาจากทางนั้น เราก็ต้องใช้มันให้ถูกวิธี อย่างที่บอกไปว่าการวางตัวของเรานั้นต้องเป็นยังไง เราอาจจะไม่ใช่ดีขนาดนั้น เราอาจจะไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจแบบสุดยอดและใครได้ แต่เราก็สร้างในแบบของเรา เราไม่ทำสิ่งที่แย่ๆ ให้เขาเห็น เรารู้สึกว่าอะไรแย่ๆ เราก็คอยบอกเขา มันเหมือนกับเราใช้โลกออนไลน์เพื่อเป็นการสื่อสารกับพวกเขา มันเป็นการระมัดระวังก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่มันมีข้อดีตรงที่ว่าเราสามารถสื่อสารอย่างที่บอก สื่อสารกับคนภายนอกได้มากขึ้นโดยผ่านทาง Social Media ผมว่ามันดีกว่านะเพราะทำให้มีความรู้สึกว่ามีความใกล้ชิดกัน

 • แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้เป็นบทนำเรื่องแรกด้วย มีความรู้สึกกดดันทางอ้อมมั้ยครับ

ใช่ครับ มันค่อนข้างกดดันด้วยแหละ เพราะว่าเป็นการได้บทนำบทบทแรกของเรายังต้องแบกทั้งเรื่องด้วย ออกเกือบทุกซีน ถ้าเล่นไม่ดีนี่คือหนังเจ๊ง ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ว่าความกดดันตรงนั้นมันก็ได้มาพร้อมความดีใจเหมือนกันนะครับ เพราะว่าในตอนวันแคสต์ พอเราได้อ่านบทแล้วเราก็ไม่รู้ว่าบทแบบนี้ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมาอีกหรือเปล่า เราอ่านหมดแล้วเรารู้สึกว่าเราต้องเอามาให้ได้ แล้วพอเราได้รับโอกาสนี้แล้วผมก็คิดว่ามันจะเป็นบทพิสูจน์ว่าเราทำได้หรือเปล่า แล้วพอเราได้รับโอกาสในการเป็นตัวหลักของเรื่อง เราจะแบกมันได้หรือเปล่า ผมว่ามันกดดัน ท้าทายและสนุกมาก นวนิยายเรื่องนี้เราเคยอ่านมานิดหนึ่ง พอรู้ว่าตัวเนื้อเรื่องเป็นยังไง ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีการดัดแปลงจากต้นฉบับอยู่แต่ยังคงความเป็นเส้นเรื่องไว้

 • การรับบทนำครั้งแรกของเจมส์ ก็ค่อนข้างหนักเหมือนกัน

ใช่ครับ 3 เดือนที่ถ่ายทำมาถือว่าหนัก เราต้องพบกับนักแสดงคนต่างๆ ที่วนเวียนไปมา ทั้งซีนอารมณ์ในลักษณะต่างๆ ดีใจ เสียใจ โกรธ กลัว ครบหมด ปีนสลิง กระโดดตึก สกรีน ตกน้ำ ทุกอย่างที่อยากทำมาตลอด หนังเรื่องนี้ได้ทำหมดเลยจริงๆ ในฐานะนักแสดงผมดีใจมากที่เราได้บทนี้ พูดได้เต็มปากเลยว่าบทนี้น่าจะเป็นหลักไมล์ในชีวิตการแสดงของตัวเอง ซึ่งต่อให้ผลตอบรับหรือรายได้จะเป็นยังไงแต่เราเราภูมิใจกับบทนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

 • จากที่เจมส์พูดมา แสดงว่าค่อนข้างซีเรียสในการทำงานครั้งนี้พอสมควร
 
หนักครับ คือเหมือนว่าเราทำเบื้องหน้าก็จริง แต่ที่จริงเราก็ทำงานเบื้องหลังเหมือนกันนะ การที่ทำงานเบื้องหน้าก็เหมือนกับคนได้เห็นการทำงานใช่ไหมครับ แต่ในเทปที่ไม่ได้ใช้หรือตอนที่ผู้กำกับแนะแนวเราในฉากต่างๆ หรือการเวิร์กชอปในแต่ละครั้ง หรือการที่เราใส่ส่วนเสริมเข้าไป และอื่นๆ ผมถือว่าเป็นงานเบื้องหลัง เหมือนกับเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง (ทำท่าประกอบ) (หัวเราะ) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นเรา เราผ่านมันมาในแบบต่างๆ มันแรกด้วยหยาดเหงื่อและร่างกาย

แล้วเรื่องนี้ทำให้ผมเป็นไมเกรน เพราะอย่างที่บอกไปครับว่าเรื่องนี้มันใช้ทั้งร่างกายและสมองเยอะมาก ทั้งถ่ายติดๆ กัน ใช้ร่างกายหนัก กระโดด เปียกฝน หัวกระแทก ถึงขนาดที่ต้องกินพาราฯ วันละ 5-6 เม็ดเลย จนเรามีความรู้สึกว่าไม่ได้แล้วต้องไปเช็กร่างกายหน่อย จนสุดท้ายพบว่าเป็นไมเกรนอ่อนๆ เป็นมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยปวดหัวมาก่อนในชีวิตจนกระทั่งปีนี้ ซึ่งมาจากทั้งหนังและหลายๆ อย่างที่เจอ เราไม่เคยรู้สึกปวดหัวไมเกรนเลย ตอนเด็กๆ ที่เคยรับข้อมูลมาว่าปวดหัวไมเกรนเป็นยังไง ต้องกินยาเลยเหรอ พอมาเป็นเองนี่คือความรู้สึกว่าลองมาเป็นดูเองมั้ยล่ะ (หัวเราะครืนๆ) แล้วมันแย่มาก มีอยู่ช่วงหนึ่งอาการมันจะชอบมาตอนประมาณ 2 ทุ่มเกือบทุกวัน ถือว่าหนักมากในระหว่างการใช้ชีวิต แล้วเราต้องแสดงออกว่าเราไม่เป็นอะไร เลยเป็นอาการข้างเคียงจากการใช้ร่างกายเยอะอย่างที่บอก

 • การที่ได้เล่นกับนักแสดงรุ่นใหญ่ รวมถึง “เฌอปราง” ถือว่าเป็นการเพิ่มทักษะในการแสดงด้วยเช่นกัน

เพิ่มมากเลยครับ เพราะว่าแต่ละคนก็มีวิธีการเล่นที่ไม่เหมือนกัน เราก็ได้เรียนรู้และซึมซับวิธีการเล่นของแต่ละคน แต่ละคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว เราจะเห็นทางในการเล่นหรือวิธีการดึงมโนของเขา ส่วนเฌอ (เฌอปราง อารีย์กุล - กัปตันทีมวง BNK48) ที่เป็นนักแสดงใหม่ สิ่งที่เราอยู่วงการไปนานๆ แล้วขาดหายไป คือความสดใหม่ที่เป็นธรรมชาติมากๆ มันคือสิ่งที่หายไปแล้วผมได้เรียนรู้จากเฌอ จากสิ่งที่เราหามันมา ผมก็ได้จากเฌอ เพราะนักแสดงใหม่มันจะมีแบบนี้อยู่

 • นอกจากได้ความสดใหม่จากเฌอ มันได้ให้อะไรกลับมาอีกบ้าง

สิ่งที่เธอให้ผมมาชัดๆ เลยคือ ถ้าใครบอกว่าวงบีเอ็นเค 48 ทำงานแบบง่ายๆ ผมกล้าปฏิเสธให้เลย เพราะเฌอเป็นคนที่มืออาชีพมากๆ เพราะทุกอย่างผ่านทางผู้บริหารของบีเอ็นเคมาแล้ว เฌอเปิดมากับผมในฐานะที่เป็นนักแสดงด้วยกัน เราต้องสนิทกัน เฌอค่อนข้างเปิดกับสิ่งนั้น เราต้องมีการจับตัวกัน เฌอโอเค เรามีการคุยกันเรียบร้อยว่างานคืองาน แล้วเราเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอไม่มีทักษะทางด้านการแสดง ช่วงนั้นเฌอมีทั้งเวิร์กชอป ไปเรียนการแสดง แถมยังต้องทำงานอีก

เราเห็นตั้งแต่เฌอเริ่มจากศูนย์ จนถึงวันที่มีการพัฒนาแล้ว ซึ่งมีซีนที่ทดสอบการแสดงของเธอ ผมว่าต่อให้เป็นนักแสดงคนไหนมาเล่นก็น่าจะไม่เท่าเธอเล่นเองได้ แล้วเธอทำมันออกมาได้ดีมากๆ ผมกล้าพูดเลยว่ามากๆ จนเรารู้สึกว่าความพยายามไม่ทรยศใครจริงๆ แล้วพอเราเห็นไฟและจุดมุ่งหมายของเขา คือวันที่คุยกับเฌอในช่วงแรกๆ เราคุยถึงขั้นเรื่องนี้ในการทำงาน คุยกันว่าเราชอบทำงานกับคนที่มี จุดมุ่งหมาย แล้วสิ่งสิ่งนั้นมันทำให้เราสัมผัสไปเรื่อยๆ สิ่งนี้มันเป็นอย่างงี้นะ คำว่า passion มันเป็นอย่างนี้จริง เราสิ่งนั้นจากเฌอ ซึ่งเป็นคนที่ผมทำงานแล้วประทับใจมาก ๆ แล้วผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็เป็นหลักไมล์ของเฌอด้วยเช่นกัน

 • จากการที่เป็นวัยเลข 2 และสถานะตัวเองในตอนนี้ ในมุมหนึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้ตัวเองเพิ่มขึ้นมั้ย

เพิ่มนะครับ ผมรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่าง คือถ้าจะให้พูดในมุมกว้างๆ ทั้งรับบทเป็นตัวนำของเรื่อง เราแบกหนังทั้งเรื่องเลย แล้วความรับผิดชอบก็คือเราสามารถจัดการกับชีวิตของตัวเองยังไงได้บ้าง เพื่อให้งานมันออกมาดี มันเป็นการจัดการชีวิตอย่างหนึ่งเลยนะครับ แม้ว่าเราจะยังทำได้ไม่ดีก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกว่าผมทำได้ดีกว่าแต่ก่อนนะ เรามีระเบียบกับตัวเองมากขึ้นจริงๆ เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจะต้องทำอะไร แล้วเราก็รู้ว่าปัจจุบันนี้เราทำอะไร เพื่อที่จะให้งานที่เรารับผิดชอบมันเดินไปข้างหน้า และหลังจากนี้ราบรื่น

แต่ผมก็ไม่อยากบอกว่าตัวเองโตกว่าคนอื่นนะครับ เพราะแต่ละคนก็มีประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งบางทีเขาก็โตกว่าผมนะ สมมติว่าเพื่อนผมได้ไปฝึกงานในที่ที่หนึ่ง สมมติว่าได้ฝึกเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารหรือร้านน้ำปั่นผลไม้ นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีการปั่นน้ำผลไม้ และได้เรียนรู้วิธีการดีลกับคน รองรับอารมณ์ลูกค้า วิธีการพูดซึ่งสิ่งนั้นทำให้วุฒิภาวะเขาโตขึ้นกว่าผมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าแต่ละคนก็มีการเติบโตของวุฒิภาวะในแต่ละคน ผมก็ไม่ได้เก่งและดีกว่าใคร แต่แต่ละคนก็ดีในแต่ละด้าน

 • แน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับความตายด้วย เราได้ค้นพบสัจธรรมเรื่องความตายด้วยมั้ยครับ

ความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอนครับ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะตายเมื่อไหร่ จากที่เราคิดว่าเราแข็งแรงมาตลอด แต่ในวันหนึ่งมันอาจจะมีอะไร ตรวจเจอแล้วอาจจะมีอะไรบางอย่างในร่างกายเราได้ หรืออาจจะมีโรคร้ายอยู่ในนั้น เราไม่มีทางรู้ได้เลย เรารู้สึกว่าเราอยากที่จะทำอะไรสักอย่างทิ้งไว้ก่อนตายมั้ง ใช้ทุกวันให้มันคุ้มที่สุด อาจจะไม่ทุกวันก็ได้ คือบางวันก็มีเหนื่อยแล้วก็พัก คือมันก็เหนื่อยแล้วแต่ได้พักมันก็คุ้มแหละ อย่างน้อยเราก็ใช้วันพักที่คุ้ม ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะไปเมื่อไหร่ แต่สำหรับผม อยากเป็นที่จดจำมั้ง เพราะว่ามันก็เป็นสิ่งหนึ่งของความต้องการของมนุษย์เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่สำหรับผมก็อยากที่จะมีสิ่งนั้น แต่เราก็อยากจะทิ้งอะไรดีๆ ไว้นะครับ ไว้ให้คนหลังจากนี้ได้ดู ทิ้งให้เขาได้เห็นได้ถูกพูดถึง

 • แสดงว่าเราก็ค้นพบสัจธรรมในเรื่องการเกิด-ตั้งอยู่-ดับไป หลังจากเล่นเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ใช่ครับ ผมเจอบางสิ่งที่แบบว่าความตายคือเรื่องไม่ได้แน่นอนจริงๆ คือรู้สึกว่าแม้ว่าจะเรียนรู้สัจธรรมแต่ก็ยังไม่อยากตายก่อนนะครับ (หัวเราะเบาๆ) ต่อให้เรามีความท้อและเหนื่อยขนาดไหน เราก็ยังมีเหตุผลที่เราจะต้องอยู่ต่อ ทุกคนมันมีเหตุผลที่อยากจะอยู่ตรงนี้ บางคนก็คิดว่าโลกนี้ไม่ได้น่าอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ยังมีมุมที่ทำให้เราอยากจะอยู่ต่อเหมือนกันนะครับ อย่างน้อยเราก็ต้องมองโลกในแง่ดีก่อน มีกำลังใจที่อยากจะทำเป้าหมาย เพื่อที่จะอยู่ต่อไป

 • สมมติว่าเราได้รับโอกาสจากความตายอีกครั้ง คิดว่าเราอยากจะทำอะไรมากที่สุด

ผมคงอยากจะกลับมาเกิดในร่างของตัวเองอีกครั้ง อยากจะทำอะไรหลายอย่างที่ยังค้างคาอยู่ หลายๆ อย่างที่เราทำมา เช่น การซ้อมต่างๆ เราก็อยากที่จะแสดงให้หลายๆ คนที่อยากดูเราได้ชม นี่คืออย่างแรก อย่างต่อมาคือเราอยากที่จะอยู่กับครอบครัว เพราะตั้งแต่ทำงานมาแทบจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเลย ถ้าเราไปตอนนี้เราคงเสียใจมาก คือการทำงานของเราก็คือการเติบโตของเราด้วย แต่เวลาที่อยู่กับเขามันก็น้อยลงด้วยเช่นกัน
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา



กำลังโหลดความคิดเห็น