xs
xsm
sm
md
lg

กวิน พงษ์พันธ์เดชา หัวหอก “บิตคอยน์” เมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ในโลกทางการเงินในปัจจุบันนั้นนับได้ว่ามีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือนอกจากที่จะมีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามชาติต่างๆ แล้ว สกุลเงิน ‘บิตคอยน์’ ถือได้ว่าเป็นอีกเงินตราหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นก้าวข้ามสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินแลกเปลี่ยน และประเทศไทยกำลังจะเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของตลาดดังกล่าว โดยมี กวิน พงษ์พันธ์เดชา เป็นผู้นำร่องให้คนไทยได้ทำความรู้จักกับตลาดแห่งนี้

 • ถ้าให้ความรู้แบบคนทั่วไป ‘บิตคอยน์’ คืออะไรครับ

บิตคอยน์ เริ่มต้นในช่วงปลายปี 2008 โดยคนที่เรียกตัวเองว่า Satoshi Nakamoto โดยทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าบุคคล องค์กร หรือกลุ่มคนกลุ่มนี้คือใคร เขาเป็นคนที่เขียน Whitepaper ฉบับหนึ่งขึ้นมา มีชื่อว่า “Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System” และตีพิมพ์ในโลกออนไลน์ ใน Whitepaper นั้นเขาอธิบายถึงวิธีการนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ของศาสตร์การเข้ารหัส (cryptography) ที่ทำให้เราสามารถสร้างและส่งเงินออนไลน์ที่มีชื่อว่าบิตคอยน์ (bitcoin) ได้โดยที่ไม่ต้องผ่านคนหรือระบบคอมพิวเตอร์กลาง ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ยากในวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computer science)

ช่วงเวลาที่ซาโตชิตีพิมพ์ Whitepaper ของเขาเป็นช่วง Global Financial Crisis 2008 ถ้าจำกันได้ ตอนนั้นธนาคารชื่อดังอย่าง Lehman Brothers ได้ประกาศว่าบริษัทล้มละลาย และทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินที่กระจายตัวออกไปทั่วโลกในเวลาอันสั้น Lehman Brothers และธนาคารอื่นๆ ช่วงนั้นมีการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ให้กับกลุ่มลูกค้าเครดิตไม่ดี จึงกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (sub-prime mortgage) บวกกับการเก็งกำไรอย่างไม่มีความรับผิดชอบผ่านอนุพันธ์ทางการเงิน (financial derivatives) ต่างๆ

หลังจากสถาบันการเงินหลายแห่งประสบปัญหานี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็ประกาศนโยบาย “Emergency Economic Stabilization Act of 2008” ว่าจะอุ้มสถาบันการเงินที่กำลังจะล้มละลาย และซื้อสินทรัพย์ที่ถูกกระทบจากสถาบันการเงินเหล่านั้น จนวันนี้มีการพิมพ์เงินเพื่อมาซื้อสินทรัพย์ที่ว่ากว่า 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ พอเวลามีการพิมพ์เงินออกมาเยอะก็ทำให้มูลค่าต่อหน่วยของเงินลดลง โดยที่ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นคนถือเงินนั้นอยู่ ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเลย นี่เป็นหนึ่งแรงบรรดาลใจที่ทำให้ Satoshi Nakamoto ได้สร้างบิตคอยน์ขึ้นมา โดยจะเห็นได้จากข้อความแรกที่เขาได้แอบใส่ลงไปควบคู่กับธุรกรรมแรกของบิตคอยน์ ที่เขียนว่า “The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks”

สิ่งที่ซาโตชิต้องการแก้ปัญหาก็คือ จะทำอย่างไรให้คนทั่วไปอย่างเราสามารถมีสกุลเงินบางอย่างที่เราสามารถจะเป็นเจ้าของเองได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ รัฐบาลจะมาสั่งพิมพ์ หรือสั่งอายัดเงินเรา และสามารถให้เราโอนข้ามไปมาได้โดยอิสระโดยที่ไม่ผ่านคนกลาง หรือถูกกระทบโดยการเมืองและนโยบายของประเทศใดๆ นี่เป็นปัญหาที่ยากในวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในช่วงเวลานั้น เพราะเทคโนโลยีนี้มันเป็นการรวมหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน ไล่ไปตั้งแต่เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ศาสตร์การเข้ารหัส จนถึงคณิตศาสตร์ รวมเข้ามาจนมาเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่สามารถจะแก้โจทย์นี้ได้ต้องเป็นอัจฉริยะในหลายๆ ด้าน

หลังจากการตีพิมพ์ Whitepaper ในปี 2008 นั้นก็มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ โดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มารวมตัวกันจากทั่วโลก จึงทำให้ระบบบิตคอยน์ถูกดูแลโดยบุคคลต่างๆ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ซาโตชิตั้งใจให้เป็น เพราะหากระบบจะต้องให้เขาดูแลคนเดียวก็จะไม่ต่างจากการที่บิตคอยน์เป็นเงินกลางอย่างดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร ที่มีธนาคารกลางคอยควบคุมอยู่ สิ่งที่น่าสนใจคือ โค้ดคอมพิวเตอร์ของบิตคอยน์ถูกเปิดเผยออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ (open-source) จึงทำให้เราสามารถเข้าไปตรวจสอบความถูกต้อง และพัฒนาต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ได้ง่าย ต่างจากนโยบายของรัฐที่ส่วนใหญ่จะมีแต่คนในที่รู้และมีอำนาจในการควบคุม ตั้งแต่ปี 2011 เมื่อระบบบิตคอยน์มีอาสาสมัคร และนักพัฒนาซอฟต์แวร์มากเพียงพอที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง ซาโตชิก็ได้ยกเลิกการติดต่อกับทุกคนเพื่อให้การพัฒนาบิตคอยน์ถูกตัดสินใจโดยคนส่วนใหญ่ แทนที่จะรอฟังความเห็นจากเขาไปเรื่อยๆ

กลับมาที่ประเด็นการกำหนดกฎเกณฑ์การพิมพ์เงินที่ซาโตชิต้องการที่จะจำกัดไว้ เนื่องจากไม่อยากให้เป็นเหมือนเงินกระดาษที่นับวันจะยิ่งหมดค่า เขาก็เขียนไปในโค้ดว่าอุปทาน (supply) ของบิตคอยน์จะไม่เกิน 21 ล้านบิตคอยน์ โดยจะเริ่มจาก 0 บิตคอยน์ในวันที่ 3 มกราคม 2009 และทุกๆ 10 นาทีจะมีการสร้างบิตคอยน์ออกมาเล็กน้อยให้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถมาช่วยดูแลระบบบิตคอยน์ให้ปลอดภัย และช่วยยืนยันธุรกรรมการเงินระหว่างกัน ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Bitcoin Mining หรือการขุดบิตคอยน์ ที่เป็นที่ฮือฮาในวงการในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง ทุกๆ 4 ปี จำนวนบิตคอยน์ที่สามารถขุดได้จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง ทำให้บิตคอยน์ยิ่งหายากขึ้นทุกวัน แล้วมาถึงจุดหนึ่งมันก็จะไม่มีการปล่อยออกมาอีก

เพราะฉะนั้น หลักการทางเศรษฐศาสตร์เขาจะเรียกสภาวะนี้ว่า สภาวะเงินฝืด ก็คือเป็นสกุลเงินที่มีจำกัดมากๆ คนในโลกเราวันนี้มี 7 พันล้านคน แต่มีแค่ 21 ล้านบิตคอยน์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น หากเราจะแบ่งบิตคอยน์ไปให้ทุกคนเท่าๆ กัน หนึ่งคนจะได้แค่ 0.003 บิตคอยน์ บางคนได้ยินครั้งแรกอาจจะงงว่าทำไมถึงมี 0.003 บิตคอยน์ได้ จริงๆ ซาโตชิออกแบบบิตคอยน์ให้สามารถมีหน่วยที่เล็กที่สุดได้คือ 0.00000001 บิตคอยน์ หรือเศษหนึ่งส่วนหนึ่งร้อยล้านบิตคอยน์นั่นเอง ต่างจากเงินบาทที่เล็กสุดคือ 0.01 บาท หรือ 1 สตางค์

 • หลักในการซื้อของมัน คล้ายกับการซื้อหุ้นในตลาดหุ้นปกติหรือไม่

ใช่ครับ คือเป็นการที่มีคนมาประกาศซื้อว่าอยากซื้อบิตคอยน์ในราคาเท่านี้ จำนวนเท่านี้ ส่วนอีกฝั่งก็จะมีคนมาประกาศขาย สุดท้ายแล้วจะมีราคาที่สองฝั่งตกลงกันได้ลงตัว ก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนขึ้น เพราะฉะนั้น อุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) จะเป็นกลไกมากำหนดว่าราคาควรจะเป็นเท่าไหร่ เป็นตลาดซื้อขายเสรี แต่ข้อแตกต่างที่ใหญ่มากเลยก็คือ ตลาดนี้เป็นตลาดที่ทั้งโลกเข้ามาซื้อขายกันออนไลน์ ตลาดหุ้นไทยถูกจำกัดอยู่ที่ไทย ผู้ซื้อผู้ขายส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย บริษัทส่วนใหญ่ที่หุ้นเขาซื้อขายกันอยู่ในตลาดก็จดทะเบียนอยู่ในประเทศไทย แต่บิตคอยน์เป็นเงินที่คนทั่วโลกขุดอยู่ อาจจะมาจากจีน รัสเซีย อเมริกา หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ได้ แล้วคนที่ขุดได้ก็อาจจะมาเทขายในตลาดที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึง คือที่ไหนมีอินเทอร์เน็ตที่นั่นก็เข้าถึงได้ โอกาสและช่องทางในการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลพวกนี้จึงมีสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วไป

ผมคิดว่าบิตคอยน์มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นสกุลเงินกลางบนโลกออนไลน์ได้ในอนาคต เพราะเป็นครั้งแรกที่คนสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีมูลค่าในโลกดิจิทัลกันแบบนี้ได้ แต่ตอนนี้มีอุปสรรคหลายอย่างอยู่ เช่น หลายคนคิดว่าราคาของบิตคอยน์ หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ มีความผันผวนสูง เพราะว่ามีคนเก็งกำไรเยอะกว่าคนที่เอาไปใช้งานจริงๆ ในการซื้อขาย ถ้าเกิดว่าผมเป็นพ่อค้าแม่ค้า ผมรับบิตคอยน์มาวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ถ้าราคามันร่วงล่ะ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย supplier ก็มีเรื่องของความเสี่ยงทางการค้าที่ยังบริหารยากอยู่

แต่จริงๆ สิ่งที่ผมอยากให้คนไทยรู้ก็คือ ค่าผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับนวัตกรรมที่มีโอกาสจะมายกระดับและเปลี่ยนแปลงระบบการเงินอย่างมีนัยสำคัญต่อไป เราควรจะเข้าใจเทคโนโลยีแล้วพยายามใช้งานมันมากขึ้นซึ่งต้องใช้เวลา เพราะต้องให้การศึกษาในเรื่องนี้ให้กับคนพอสมควร เพราะคนไม่ค่อยรู้ว่าใช้แล้วเป็นยังไง หากในอนาคตคนเข้าใจ แล้วใช้เทคโนโลยีนี้ในชีวิตประจำวัน ค่าผันผวนที่ว่าก็จะลดลง

 • ทำไมถึงมีการผลักดันให้นำเทคโนโลยีนี้มาสู่ตลาดในเมืองไทย

จริงๆ คนไทยบางส่วนก็มีความสนใจในบิตคอยน์อยู่แล้ว เนื่องจากส่วนใหญ่ที่ผ่านมาคนไทยที่เล่นบิตคอยน์จะมีการเทรดอยู่ที่ต่างประเทศ เอาเงินของเราไปซื้อบิตคอยน์แล้วโอนออกนอกประเทศไปเลย แล้วจะไปทำอะไรต่อก็เรื่องของเขา แต่ว่าบางส่วนที่นำออกนอกประเทศก็โดนหลอก ทำให้เงินหาย ฉะนั้นมันถึงมีความเสี่ยงอยู่ ซึ่งการเอาเงินออกนอกประเทศแล้วไปลงกับอะไรก็ไม่รู้ทั้งไม่มีมาตรฐาน และไม่รู้ว่าปลายทางของเขาเป็นยังไง แต่การที่รัฐบาลไทยมีการออกกฎหมายกำกับดูแลในเมืองไทย มันทำให้คนที่จะทำไม่ดีทำในเมืองไทยได้ยากซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภค

อย่างบางทีถ้าเราเป็นธุรกิจทั่วไป รับบิตคอยน์มาก็ไม่แน่ใจว่าบิตคอยน์นี้ไปผ่านการทำผิดกฎหมายมาหรือเปล่า เป็นเงินที่ผู้ก่อการร้ายหรืออาชญากรส่งมาหรือเปล่า แต่ถ้ามาผ่านที่ไทย มันผ่านมาอย่างถูกต้อง มีกฎระเบียบชัดเจน มันก็จะทำให้บริษัทกล้าที่จะใช้งานเทคโนโลยีนี้มากขึ้น

ผมมองว่ารัฐบาลอยากให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในแถบนี้ จริงๆ นอกจากจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในบิตคอยน์แล้วยังสามารถนำไปใช้งานในหลายๆ อุตสาหกรรมได้ เป็นก้าวต่อไปของการพัฒนาระบบนิเวศที่จะช่วยให้บริษัทสตาร์ทอัพสามารถที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจไทย โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เริ่มมีธุรกิจใหม่เกี่ยวกับบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านอยู่มาก เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม

ผมคิดว่าถ้าประเทศไทยไม่พยายามมากำกับดูแลหรือทำให้ถูกต้อง และสร้างกฎให้เอื้ออำนวยต่อการเข้ามาทำธุรกิจในไทย อีกหน่อยมันสมองก็อาจจะไหลออกนอกประเทศหมด การออกกฎหมายที่เป็นรูปเป็นร่าง มีความชัดเจน สามารถทำให้ประเทศไทยกลายเป็น Blockchain Hub หนึ่งในอาเซียนได้

อย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ นี่เป็นครั้งแรกที่มีกลุ่มสินทรัพย์ (asset class) ใหม่ ที่นักลงทุนรายย่อย (retail investors) สามารถเข้าถึงได้ก่อนที่นักลงทุนสถาบัน (institutional investors) ถ้าเราสังเกตในอดีต เช่น พวกหุ้นใหญ่ๆ ส่วนใหญ่สถาบันทางการเงินจะเข้ามาลงทุนก่อน พอสถาบันเข้าปุ๊บรายย่อยจึงตามมา แต่นี่มันกลับด้านกัน เพราะรายย่อยไม่มีกฎเกณฑ์มากำกับจึงสามารถลงทุนได้ก่อน ต่างจากสถาบันการเงินที่อาจจะไม่กล้าลงทุนเนื่องจากมีกฎหมายห้ามอยู่ หลังจากมีการกำกับดูแล สถาบันเหล่านี้จึงสามารถเข้ามาลงทุนได้ เพราะฉะนั้นผมเลยมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดให้คนทั่วไปอย่างเรา

 • คนที่จะมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิตคอยน์จะต้องมีการตรวจสอบดูแลทรัพย์สินตัวเองตลอดเวลาด้วยหรือเปล่า เพราะไม่มีคนกลางมาช่วยดูแล

ถูกต้องครับ ปกติเวลาเราฝากเงินบาทที่ธนาคาร ธนาคารจะเป็นคนดูแลให้หมด เราลืมรหัสผ่านเข้าธนาคาร เราสามารถที่จะโทร.หาเขา หรือไปที่สาขาเพื่อที่จะยกเลิกรหัสเก่าได้ แต่สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ ไม่มีคนกลางมาช่วยดูแล เราเป็นเจ้าของมันคนเดียว ไม่มีใครสามารถมาดูแลและช่วยทำธุรกรรมแทนเราได้ เรามีอิสรภาพมากขึ้น แต่ก็มีความรับผิดชอบมากขึ้นเช่นกัน

เวลาเราสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัล เราจะได้รหัสตัวหนึ่งมาซึ่งจะมีแค่เราเท่านั้นที่มี รหัสนี้จะใช้ในการสั่งโอนเงินไปที่ไหนในโลกก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันตกอยู่ในมือคนอื่นก็ถือว่าเขาเป็นเจ้าของเงินนั้นเหมือนกัน เขาสามารถโอนมันไปที่อื่นได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเราเลย ส่วนใหญ่ถ้าเราเก็บรหัสของเราดีๆ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะมาแย่งจากเรา นอกจากจะมาปล้นจี้ แต่จริงๆ ผมมองว่ามันก็เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริง เคยมีข่าวฝรั่งที่มาอยู่ไทยแล้วถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ด้วยการจี้บิตคอยน์ก็มี ซึ่งการได้มาซึ่งอิสรภาพทางธุรกรรมนี้มีการ เทรดออฟอยู่ ถ้าเราต้องการควบคุมมันร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็ต้องมีศักยภาพที่จะต้องดูแลมัน แต่ถ้าเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลมันได้ดี บางทีก็ต้องใช้มืออาชีพในการดูแล เพื่อให้คนมีทางเลือกที่จะไม่ต้องดูแลเงินเอง

อย่างญาติผมบางคนเขาไม่เก่งเทคโนโลยี เลยขอไม่เก็บสินทรัพย์ดิจิทัลเอง เพราะกลัวทำรหัสหายแล้วไม่มีใครมาช่วยเขากู้รหัสกลับมาได้ มันไม่เหมือนแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่สามารถเปลี่ยนรหัสได้ แต่นี่คือถ้าหายแล้วหายเลย เพราะฉะนั้นเราควรจะมีบริการหรือช่องทางอื่นๆ ที่คนจะสามารถฝากเงินไว้ได้โดยมีมืออาชีพคอยดูแล และมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ต่างจากการฝากเงินกับบริษัทบางประเทศที่ไม่มีการกำกับดูแล แล้วมีความเสี่ยง เช่น บริษัทล้มละลายหรือปิดบริษัทหอบเงินลูกค้าหนีไปเลย ดังนั้น บริษัทในไทยจึงมีข้อได้เปรียบด้านความปลอดภัยที่สูงขึ้น มากกว่าศูนย์ซื้อขายที่ต่างประเทศซึ่งไม่รู้ว่าปลายทางเป็นยังไง ผมมองว่าตรงนี้มันน่าจะช่วยให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ในประเทศไทยไปเข้าถึงง่ายขึ้น และมีความสบายใจมากขึ้น

 • การเข้าถึงง่ายขึ้นมันก็เหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้พวกเขาด้วยมั้ย

ใช่ครับ เพราะว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลาในการศึกษา ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้มันเป็นเทคโนโลยีที่คนไทยน่าจะเข้าถึงง่าย เพราะว่าโดยธรรมชาติคนไทยจะใช้มือถือเยอะมาก ใช้อินเทอร์เน็ตเยอะมาก ไม่ใช่แค่ไทยนะครับ รวมไปถึงในภูมิภาคอาเซียนด้วย อย่างที่สหรัฐอเมริกาคนใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง แต่คนไทยใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง ลักษณะโดยทั่วไปคนไทยติดมาก อยู่กับโลกออนไลน์ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าให้คนไทยมาศึกษาเทคโนโลยีนี้จริงๆ ผมเชื่อว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน ยิ่งเมื่อตอนปี 2017 ทางแบงก์ชาติได้กำหนดมาตรฐาน QR Code ของระบบพร้อมเพย์ มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการผลักดันให้เกิด Cashless Society

ผมคิดว่าการที่เราตั้งเป้าให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมไร้เงินสด อยู่ในโลกออนไลน์แล้วเราเพิ่มทางเลือกให้เขา นั่นก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้คนไทยประยุกต์ได้ง่าย เมื่อพูดถึงการโอนเงินก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องในอาเซียน เนื่องจากในภูมิภาคนี้มีตลาดแรงงานที่ใหญ่มาก มีการทำงานข้ามไปข้ามมาเยอะแล้วมีการโอนเงินระหว่างประเทศ (remittance) เยอะตามไปด้วย ตลาดนี้เป็นเป็นตลาดที่คนกลางเอาเปรียบผู้บริโภคค่อนข้างสูง เพราะว่ามีการคิดค่านายหน้าสูง อย่างถ้าโอนค่าแรงของแรงงานต่างชาติ บางทีก็ต้องเสียเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ในการโอน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่ล่าสุดที่ผมไปดูการโอนบิตคอยน์ สมมติว่าโอน 30 ล้านบาท แต่จะมีค่าธรรมเนียมประมาณ 5 บาทเอง

ในอนาคตผมคิดว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าคนทำความเข้าใจกับรูปแบบนี้ แค่การส่งข้อมูล ในฐานข้อมูลซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่แพงหรอก แต่ที่มันแพงเพราะว่ามีการวิ่งเต้นเรื่องผลประโยชน์ การผูกขาดทางธุรกิจ และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้บางธุรกิจยังอยู่ต่อไปได้ การเข้าถึงเทคโนโลยีนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตการเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น

 • แน่นอนว่าด้วยตัวบิตคอยน์เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เข้าถึงไม่ได้ มันจะทำยังไงให้คนไทยเข้าใจได้มากขึ้น

อย่างทุกวันนี้เวลาที่คนจะซื้อบิตคอยน์ เขาก็ต้องไปดูว่าการเก็บมันเป็นยังไง อย่างที่บอก ของพวกนี้จะต้องทำให้เข้าถึงและใช้ได้ง่ายขึ้น แล้วถ้าเขาทำเงินหายเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปกล่าวหาใคร เขาจะต้องโทษตัวเอง แต่ถ้ามีการบริการดูแลทรัพย์สินขึ้นมา อย่างน้อยเราก็ไปช่วยเขาบริหารในส่วนที่เขาไม่อยากจะมาปวดหัว มันก็ช่วยให้เขากล้าที่จะใช้เทคโนโลยีนี้มากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก จริงๆ มันมีตัวเลขเหมือนกันว่าในแต่ละปีมีคนทำบิตคอยน์หายเยอะมาก แล้วไม่ใช่แค่นั้น สมมติว่าถ้าผมมีบิตคอยน์ 1 หน่วย แล้วไม่ได้เผยแพร่รหัส แล้วผมเกิดอุบัติเหตุขึ้น บิตคอยน์ตัวนี้ก็หายไปกับผม ไม่มีการส่งมูลค่าต่อ

ซึ่ง 21 ล้านบิทคอยน์จริงๆ มันน้อยกว่านั้น เพราะมันหายตลอด อาจจะมีเหตุหรือส่งเงินผิด นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างเวลาที่ผมส่งเงิน ถ้ามีการส่งผิด มันก็หายไปเลย หรือว่าส่งผิดบัญชีเขารับไปแล้วหายไปไหนไม่รู้ เราจะไปติดต่อให้เขาส่งกลับมาเราก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ไหนแล้ว เราต้องดูแลอย่างถูกต้อง แต่การที่จะดูแลมัน ก็ต้องมีการศึกษาที่สูงขึ้น แล้วมันต้องใช้เวลาไม่ใช่ว่าทำได้ทันที เราควรจะมีการอบรมแนะนำผู้บริโภคว่าจะต้องทำยังไงเพื่อจะเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเองให้ดี และควรจะมีธุรกิจที่รับฝากสินทรัพย์เหล่านี้ถ้าเกิดผู้บริโภคไม่เชื่อใจตัวเอง ถ้าเชื่อใจตัวเองได้แล้วเขาก็สามารถเอาไปเก็บเองได้ แต่เราควรมีทางเลือกให้เขา เราจึงต้องสร้างพื้นฐานนี้ให้ดีก่อนที่ผู้บริโภคส่วนมากจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างปลอดภัย และสบายใจ

 • แล้วในเรื่องการโดนแฮก เราจะมีการป้องกันอย่างไรบ้าง

คือที่จริงเรื่องการแฮกตั้งแต่การเกิดการแฮกมา ตัวบิตคอยน์จริงๆ จะไม่ถูกแฮก แต่เป็นเรื่องของคนในขโมยกันเอง เพราะเทคโนโลยีตามธรรมชาติมันแฮกไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกว่า ระดับความยากมันสูงเกินที่คนคนหนึ่งจะแฮกได้จากภายนอก แต่ส่วนใหญ่ที่หลุดออกมาก็มาจากคนใน ตรงนี้ไม่ใช่ทุกศูนย์ซื้อขายที่เปิดใหม่มาจะมีความปลอดภัยได้มาตรฐานสากล เราควรจะเลือกใช้บริการกับบริษัทที่มีประวัติที่ดี หรือดูว่าทีมงานการพัฒนาระบบและผู้บริหารมีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ และมีใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย มีการกำกับโดย ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)

นอกจากนี้ บริษัทที่เราใช้บริการควรมีขั้นตอนการบริหารการจัดการที่ทำให้คนใดคนหนึ่งไม่สามารถถอนเงินลูกค้าตัวเองแล้วหนีออกไปได้ เพราะมันมีกระบวนการภายในบริษัทที่ไม่สามารถให้คนใดคนหนึ่งถอนเงินออกไปได้ คือถ้าปิดจุดภายในได้มันก็สามารถที่ปิดจุดบอดได้ด้วยเช่นกัน

 • ในด้านเศรษฐกิจ การที่มีบิตคอยน์ที่ถูกกำกับอย่างถูกต้องในบ้านเรา คิดว่าจะส่งผลดียังไงในภาพรวมครับ

ถ้าพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ ผมคิดว่ามันมีหลายเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้น อย่างที่บอกว่าตลาดแรงงานที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยแล้วต้องการส่งเงินกลับบ้านเกิด ส่วนใหญ่จะเจอคนกลางที่คิดค่าธรรมเนียมสูง ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นเรื่องง่ายเพราะเรามีเทคโนโลยีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้ว การที่คนไม่สามารถมีอิสรภาพทางธุรกรรมนั้นมีต้นทุนค่าเสียโอกาสสูงมาก ยกตัวอย่างกัมพูชาตัวเลขปี 2017 ของ World Bank มีประชากรผู้ใหญ่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ที่มีบัญชีธนาคาร ทั้งๆ ที่ประชากรมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์มีอินเทอร์เน็ต และประชากรเกือบทั้งประเทศมีมือถือ เราจะเห็นได้ว่าในไม่ช้าประชากรของประเทศเหล่านี้จะเริ่มมีมือถือและอินเทอร์เน็ตใช้กันหมด เพราะอุตสาหกรรมนี้มีการแข่งขันที่สูงมาก ค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ถูกลงเรื่อยๆ ค่าเครื่องโทรศัพท์มือถือก็ถูกลง

แต่ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงินยังมีการแข่งขันไม่มาก จึงทำให้มีการผูกขาดทางการค้าและไม่ค่อยมีนวัตกรรมที่ก้าวกระโดดอย่างอุตสหกรรมอื่นๆ การที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้มีธุรกิจที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจะทำให้คนที่มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ผ่านช่องทางพวกนี้ โดยที่คุณไม่ต้องมีเครดิตหรือบัญชีกับทางธนาคารเลย ผลก็คือในอนาคตแรงงานก็จะมีอิสรภาพทางธุรกรรมมากขึ้น มีข้อจำกัดทางการเงินน้อยลง และเพิ่มโอกาสให้คนสามารถสร้างเครดิตโดยไม่ต้องผ่านธนาคารได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้อีกช่องทางหนึ่ง

อีกประเด็นหนึ่งที่มาแรงในปี 2017 คือ เรื่องการระดมทุนรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่า Initial Coin Offering (ICO) ที่ผ่านมาถ้าคุณมีไอเดียในการทำสตาร์ทอัพคุณต้องไประดมทุนกับ Venture Capital แต่เขาก็อาจจะกดคุณได้ เพราะว่าเขาใหญ่เลยมีอำนาจในการต่อรองสูง แต่ในปีที่ผ่านมามันมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจก็คือ คนที่มีไอเดียสามารถเขียน Whitepaper ฉบับหนึ่งขึ้นมา แล้วออกขายเหรียญโคเทนของตัวเองได้ โดยการรับบิตคอยน์หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ซึ่งสามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินสดได้ เป็นการระดมทุนผ่านตลาดเสรีที่ไม่มีการกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็น SME หรือสตาร์ทอัพ ผู้บริหารก็สามารถที่จะระดมทุนจากคนทั่วโลกได้ทันทีไม่ต้องผ่านนายทุน นักลงทุนรายเล็กๆ ก็สามารถลงทุนได้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะก่อน ถึงจะลงทุนได้เหมือนในอดีต เป็นรูปแบบ crowd funding ผ่านสมาร์ทคอนแทรกต์ ซึ่งก็คือโค้ดคอมพิวเตอร์ที่ช่วยยืนยันธุรกรรมและบังคับใช้เงื่อนไขของธุรกรรมนั้น ไม่ใช่ว่าเราโอนเงินไปแล้วเขาจะหนีไปกับเงินได้ เพราะสมาร์ทคอนแทรกต์จะโอนโทเคนเขาให้เราโดยอัตโนมัติเมื่อเขาได้รับเงินเราแล้ว ICO จึงมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง

สิ่งที่ ก.ล.ต.กำกับมีทั้งตลาดแรกและตลาดรองของสินทรัพย์ดิจิทัล ในตลาดแรกนั้นบริษัทที่ต้องการจะระดมทุนสามารถสร้างโทเคนแล้วขายให้นักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนไปขายโทเคนนั้นทำกำไรในตลาดรอง เช่นเดียวกับการนำหุ้นไปขายให้นักลงทุนและนำไปเทรดในตลาดหลักทรัพย์ ผมคิดว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือบริษัทจะมีช่องทางในการระดมทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนรายย่อยก็เข้าถึงบริการหรือโอกาสในการลงทุนพร้อมๆ กับนักลงทุนสถาบัน รายย่อยก็จะได้เปรียบมากขึ้นเพราะไม่ต้องทำธุรกรรมนี้ผ่านสถาบันการเงิน นี่เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะระดมทุนจากแหล่งทุนใหม่ๆ เพื่อยกระดับธุรกิจตัวเอง เป็นโครงสร้างทางการลงทุนที่แปลกใหม่ ผมคิดว่าหลายๆ คนควรจะเปิดใจศึกษาเพราะว่ามันถูกกฎหมายแล้ว และเราคงจะได้เห็นรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามา disrupt อุตสาหกรรมต่างๆ

 • แล้วในภาคส่วนระดับระหว่างประเทศล่ะครับ

ในระหว่างประเทศเกิดการเสนอขายเหรียญในระยะเริ่มต้น หรือระดมทุนอย่างนี้เยอะ อย่างนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนต่างประเทศ โอกาสค่อนข้างจำกัด ถ้าคุณไม่ได้มีบัญชีอยู่ต่างประเทศ คุณก็ต้องไปหาธนาคารที่กินหัวคิวเยอะๆ แล้วหาทางเอาเงินออกนอกประเทศ ไม่ทางใดทางหนึ่ง แต่ถ้าเรามีเหรียญอะไรบางอย่าง มันไม่มีพรมแดน อย่างที่บอกเรามีเหรียญเราก็สามารถที่จะไปลงทุนได้ ตรงนี้ผมว่ามันเพิ่มโอกาสให้กับคน คือการเข้าถึงโอกาส และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้การ matching ระหว่าง demand กับ supply ในตลาดลงทุนมันดีขึ้น และมันเกิดขึ้นแบบ real-time

ที่สำคัญเหรียญมีการซื้อขายกันในตลาดมีสภาพคล่องสูง ผมยกตัวอย่างบริษัทต่างประเทศ เช่น Uber ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แปลว่าคนที่มีหุ้นในบริษัทตรงนี้ไม่สามารถซื้อขายได้อย่างเสรี สมมติว่าผมมีหุ้นและเป็นลูกจ้างเขา จะขายทิ้งและเอาเงินมันก็ทำไม่ได้ง่ายๆ ผมก็ต้องเอาไปขายให้กับคนที่เขาจะซื้อ แล้วผ่านสื่อกลางที่ไหนก็ไม่รู้ มันเลยเริ่มมี Exchange สำหรับการซื้อขายหุ้นพวกนี้ หุ้นบริษัทที่ไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ทั้งหลายเลยมาเริ่มซื้อขายกัน เพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง โอกาสในการลงทุน รวมถึงสามารถเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ๆ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนเก่าๆ ได้ ซึ่งอย่างที่บอกว่าไม่มีขอบเขต มันก็เลยเป็นผลดีในภาพรวม อีกหน่อยใครจะไปรู้ว่าคนไทยอาจจะมีการลงทุนในประเทศอื่นได้ง่ายขึ้น หรือเขาก็มาลงทุนกับเราได้ง่ายขึ้น มันก็เลยทำให้พรมแดนตรงนี้ค่อยๆ หายไป จะเป็นโลกที่ globalize มากขึ้น คือโลกาภิวัตน์มันหยุดไม่ได้หรอกสุดท้ายแล้วคนเราก็ต้อง connect กันอยู่ดี ไม่ว่ามันจะช้าหรือเร็ว

 • ความคาดหวังต่อไปของบิตคอยน์ ในส่วนตัวของคุณเองล่ะครับ

ผมคิดว่าคนจะเริ่มรู้จักมากขึ้น จริงๆ ในตอนนี้ในด้าน supply ก็ถูกขุดมา 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว supply ของ bitcoin มันก็จะหมดแล้ว ผมมองว่าคนมองเรื่องค่าผันผวน โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าคนใช้งานมันจริงๆ ไม่ได้เอาไปเก็งกำไร มันจะทำให้ราคาของมันเสถียรขึ้น พอราคาเสถียรขึ้นคนก็อาจจะใช้มากขึ้น มันก็จะเป็นลูปของมันไป ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศก็จะเริ่มเห็นศักยภาพของเทคโนโลยีนี้

อย่างที่บอกว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่แค่บิตคอยน์ แต่มันมีอย่างอื่นด้วย แล้วถ้ารัฐบาลมาร่วมมือกำกับดูแล และอนุญาตให้ทำอะไรร่วมกันได้ มันก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้เราอาจจะนึกภาพไม่ออก เมื่อหลายสิบปีที่แล้วใครจะไปรู้ว่าในวันหนึ่งจะมีเครื่องจักรที่สามารถขนส่งคนข้ามโลกในเวลาอันสั้นโดยการบินขึ้นท้องฟ้าหรือมีเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถคุยกันมองหน้ากัน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันเป็นพันๆ กิโลเมตรได้ นวัตกรรมต่างๆ ที่จะตามมาโดยนำเทคโนโลยีนี้ไปต่อยอดยังมีอีกเยอะ ถึงวันนั้นคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังใช้บล็อกเชน เพราะว่ามันเป็นเบื้องหลังเหมือนกับที่เราใช้อินเทอร์เน็ตที่เราว่ามันเวิร์ก เรารู้ว่ามันเร็วมันถูกและมั่นใจได้ว่าปลอดภัย มันก็คงไปถึงจุดนั้นได้ในที่สุด แต่ว่าถ้าไม่มีการกำกับดูแลที่ถูกต้อง มันอาจจะไปถึงช้าหน่อย ผมคิดว่าเรากำลังไปถูกทางแล้ว ก็หวังว่าประเทศเพื่อนบ้านและรอบๆ ก็คงจะทำตามกัน



กำลังโหลดความคิดเห็น