1.อัยการสั่งฟ้อง “โอ๊ค พานทองแท้” ฟอกเงินทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย ด้าน “เอม-อุ๊งอิ๊ง” โพสต์ไอจี เหน็บการเมืองรังแก!

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยกับกฤษดามหานคร ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อฟังการสั่งคดีของอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ โดยมีนางพินทองทา คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาว เดินทางมาพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ยังมีแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคน เดินทางมาให้กำลังใจเช่นกัน
ต่อมา นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงผลการสั่งคดีว่า ที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนให้เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา กล่าวหานางเกศินิ จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1, นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ผู้ต้องหาที่ 2, นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา ผู้ต้องหาที่ 3 และนายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 4 ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินนั้น สำนวนคดีนี้ แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือกรณีรับโอนเช็ค 26 ล้านบาท อัยการสั่งฟ้องนางกาญนาภา และนายวันชัย ในความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน และสั่งไม่สั่งฟ้องนางเกศินี และนายพานทองแท้
ส่วนที่สอง คือกรณีรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท อัยการสั่งฟ้องนายพานทองแท้ เพียงคนเดียว ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบคบกันฟอกเงิน
นายธรัมพ์ เผยด้วยว่า กลุ่มที่รับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดนั้น เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนกล่าวหาผู้ต้องหารวมแล้ว 159 คน กระทำผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินมาให้อัยการพิจารณาเพิ่มเติม ส่วนของผู้โอนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น อัยการได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวกรวม 13 คน ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไปแล้วหลังพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนมาให้พิจารณาเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2560
ด้านผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนางเกศินี และนายพานทองแท้ กรณีรับโอนเช็ค 26 ล้าน นายประยุทธ ตอบว่า ขณะนี้ไม่สามารถระบุรายละเอียดทั้งหมดได้ เนื่องจากกระบวนการสั่งคดียังไม่ถึงที่สุด เพราะอัยการต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องกลับไปให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอพิจารณาว่า จะเห็นพ้องหรือเห็นแย้งกับอัยการ หากเห็นแย้ง ต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการสั่งคดีครั้งนี้ กลุ่มของผู้ต้องหา มีนายพานทองแท้เพียงคนเดียวที่เดินทางมาฟังการสั่งคดี ซึ่งอัยการได้นำตัวนายพานทองแท้ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ส่วนนางกาญจนาภา และนายวันชัย ที่อัยการสั่งฟ้องกรณีรับเช็คโอนเงิน 26 ล้านบาทนั้น เมื่อไม่มารายงานตัว อัยการจึงนัดรายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งและส่งตัวฟ้องต่อศาลอีกครั้งวันที่ 18 ต.ค.นี้
หลังนายพานทองแท้ถูกส่งตัวฟ้องต่อศาลฯ ศาลได้ประทับรับฟ้อง และนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. จากนั้น ทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพยเป็นเงินสด 1 ล้านบาท ขอประกันตัวนายพานทองแท้ ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่อัยการนำตัวนายพานทองแท้ยื่นฟ้องต่อศาล คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มารดาของนายพานทองแท้ อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางมาให้กำลังใจบุตรชายด้วย
ทั้งนี้ วันเดียวกัน นางพินทองทา คุณากรวงศ์ หรือเอม น้องสาวนายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความและรูปผ่านอินสตาแกรม ถึงกรณีที่นายพานทองแท้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินจากการทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยฯ ว่า "ครอบครัวเราผ่านอะไรกันมาเยอะ ถูกการเมืองเล่นมาเยอะ แต่ก็คิดมาเสมอว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จนกระทั่งมาเป็นเรื่องพี่โอ๊ค... มาถึงรุ่นพวกเราแล้วเหรอเนี่ย! แต่ในเมื่อจะทำกันขนาดนี้... เราก็คงจะไม่นั่งนิ่งเฉยให้ถูกรังแก ...ถ้าสู้ตามเนื้อกฎหมาย ยังไงเราก็ชนะ!! แต่เรื่องของธงทางการเมืองความแค้นส่วนตัวของคนบางคน อันนี้อยู่เหนือการควบคุมและคาดเดาจริงๆ"
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง น้องชายนายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความว่า “ลูกทักษิณ ไม่เคยได้รับอะไรเหมือนคนอื่นเค้าหรอก “ลูกทักษิณ” ได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่นเสมอ แต่รู้มั้ย เลือดเนื้อของทักษิณก็วิ่งอยู่ในตัวเราทั้ง 3 คนนั่นแหละ จะเข้มแข็งให้สมกับเป็น “ลูกทักษิณ”
2.“จิตตนาถ” ปฏิเสธข่าว “สนธิ-จตุพร” จับมือตั้งพรรค ด้าน “จตุพร” ยันข่าวเท็จ ย้ำ นปช.ไม่เคยคิดตั้งพรรค!

สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสข่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.จับมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองสายกลางขึ้นมาเพื่อสลายสีเสื้อ ซึ่งข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการให้สัมภาษณ์ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา อดีต ส.ส.เชียงราย สมัยรัฐบาลทักษิณ
หลังเกิดข่าวดังกล่าว นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือผู้จัดการ บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด “ผมได้ไปเยี่ยมคุณสนธิมา คุณสนธิบอกผมว่า คุณจตุพรเข้ามาพูดคุยว่าอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ คุณสนธิก็บอกว่าโอเค ก็ดี ก็แล้วแต่ของคุณจตุพรสิ คุณสนธิเป็นผู้รับฟังอย่างเดียว ไม่ได้คัดค้าน ไม่ได้เห็นด้วย ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่จุดยืนของคุณสนธิมีอยู่จุดเดียวที่บอกผ่านผมมา ก็คือว่าประเทศมันไปต่อไม่ได้ ถ้าเกิดว่าไม่มีการปฏิรูป”
“ฉะนั้นขอเลย คุณสนธิอยู่ในเรือนจำก็ลำบากพออยู่แล้ว อย่าเอาชื่อของคุณสนธิไปทำมาหากิน ผมขอร้อง แค่นี้ก็โดนทุกฝ่ายจ้องจับตา จ้องจับผิดกันอยู่แล้ว พอสักที ให้พ่อผมได้อยู่อย่างสงบสักทีเถอะ พวกคุณถ้าคุณไม่คิดจะปฏิรูปเพื่อชาติ คุณจะไปเล่นการเมืองก็เรื่องของคุณเลย คุณจตุพร คุณยงยุทธ โอเคเข้าใจกันนะครับ อย่าเอาคุณสนธิมาทำมาหากิน ผมไม่ชอบ ปฏิรูปเพื่อชาติเท่านั้น ไม่ใช่มาตั้งพรรคการเมืองบ้าๆ บอๆ”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ได้ออกมาแถลงยืนยันเช่นกันว่า ไม่ได้มีการหารือหรือจับมือกับนายสนธิหรือพระพุทธะอิสระเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง หรือพรรคเพื่อชาติแต่อย่างใด มีเพียงการคุยเรื่องทางออกของบ้านเมือง และว่า กระแสข่าวความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น น่าจะเกิดหลังจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไปเยี่ยมตน ตนจึงได้เล่าถึงการพูดคุยกับนายสนธิ และอดีตพระพุทธะอิสระให้ฟัง นายยงยุทธจึงพูดถึงความประทับใจที่ไปเยี่ยมตนผ่านรายการหนึ่ง แต่มีการแปลความไปอีกแบบหนึ่ง จึงขอยืนยันว่าเป็นความเท็จ 100% เพราะนายสนธิยังอยู่ในคุก มีโทษถึง 20 ปี วันนี้เพิ่งผ่านไปแค่ 2 ปี หากจะตั้งพรรคกับตนได้ คงอายุร่วม 100 ปี ดังนั้นตนขออโหสิกรรมให้กับข้อความเท็จทั้งหลาย ยืนยันว่า นปช.ไม่เคยมีความคิดจะตั้งพรรค ยังยืนยันจุดยืนเดิม และว่า พรรคเพื่อชาติตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 วันนี้ตนไม่มีสิทธิทางการเมือง ทำได้เพียงแค่เป็นกองเชียร์ จะไปบงการอะไรใครไม่ได้
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ คือกรณีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประชุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. เพื่อเปิดรับสมัครบุคคลเข้ารับการแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยผู้สมัครมี 3 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายอลงกรณ์ พลบุตร โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค เป็นผู้ดำเนินการรับสมัคร
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างการรับสมัคร เอกสารรายชื่อรับรองของนายอลงกรณ์เดินทางมาไม่ทันตามกำหนด นายอภิสิทธิ์จึงมอบรายชื่อผู้ที่สนับสนุนตนเองให้นายอลงกรณ์ คือ ชื่อ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม และชื่อ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต สส.กทม. ขณะที่ นพ.วรงค์ ก็ได้มอบรายชื่อผู้ที่สนับสนุนตนเองให้นายอลงกรณ์ด้วยเช่นกัน คือ ชื่อตนเอง และชื่อ นายวิชัย ล้ำสุทธิ อดีต ส.ส.ระยอง ทำให้นายอลงกรณ์รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณนายอภิสิทธิ์และ นพ.วรงค์ ที่ทำให้ตนมีชื่อผู้รับรองครบตามที่กำหนดการลงสมัครหัวหน้าพรรค จากนั้นนายอลงกรณ์ได้ขอสละสิทธิ์ในการจับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร โดยขอเป็นผู้สมัครหมายเลข 3 ด้านนายอภิสิทธิ์ได้ให้สิทธิ นพ.วรงค์จับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครก่อน เนื่องจากมายื่นใบสมัครก่อน ปรากฏว่า นพ.วรงค์จับได้หมายเลข 2 นายอภิสิทธิ์จึงได้หมายเลข 1
สำหรับการลงคะแนนหยั่งเสียงจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 พ.ย. ก่อนจะจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่จำนวน 41 คน ในวันที่ 11 พ.ย.
3.“บิ๊กตู่” สั่งทบทวน กม.ขึ้นทะเบียนหมา-แมว หลังสังคมสวดยับคิดค่าธรรมเนียมแพง!

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอย่างหนัก กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ที่กำหนดให้เจ้าของสุนัขและแมว นำสัตว์เลี้ยงของตนไปขึ้นทะเบียน และจ่ายค่าตีทะเบียน 450 บาท ซึ่งแบ่งเป็นค่าร้องขอขึ้นทะเบียน 50 บาท ค่าสมุดประจำตัวสัตว์ 100 บาท และค่าเครื่องหมายประจำตัวสัตว์อีก 300 บาท หากฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกิน 25,000 บาท
สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ได้แก่ ไข่มุก เพ็ชรรัตน์ ประธานองค์กรจัดสวัสดิภาพสัตว์ “สุนัขริมรั้ว” ซึ่งรับสุนัขและแมวจรจัดมาเลี้ยงกว่า 600 ตัว เชื่อว่า หากกฎหมายนี้บังคับใช้ จะมีสุนัขและแมวถูกทิ้งอีกเป็นจำนวนมาก “ถ้ากฎหมายตัวนี้ออกมาบังคับใช้เมื่อไหร่ เชื่อว่าจะทำให้คนเอาหมาแมวออกมาทิ้งเยอะกว่าเดิมมาก วัดดูจากที่เคยไปช่วยรักษาหมาตามบ้าน จะเห็นเลยว่าชาวบ้านที่ช่วยดูแลแต่ละคนเขาไม่มีตังค์ที่จะพาไปหาหมอเลย ตังค์จะซื้อยาให้หมาก็ไม่มี แล้วถ้ายิ่งเอากฎหมายตัวนี้มาบีบให้พวกเขาต้องจ่ายค่าลงทะเบียน ปัญหาจะยิ่งหนักกว่าเดิม และสุดท้ายภาระก็จะไปตกที่วัดแทน"
ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพิษสุนัขบ้า ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และจะส่งผลให้คนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวเยอะๆ จะยิ่งนำไปทิ้งมากขึ้น ศ.นพ.ธีระวัฒน์ แนะด้วยว่า ทางที่ดีตอนนี้ ต้องดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนและทำหมัน เพื่อควบคุมประชากรสุนัขและแมวให้ได้มากที่สุดและมีประสิทธิภาพจริงๆ จะดีกว่า เพราะทุกวันนี้ยังไม่มีประสิทธิมากพอเลย
ทั้งนี้ หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้ออกมาชี้แจงว่า ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้มีการทอดทิ้งสัตว์โดยไม่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมีความกังวล และขอให้กลับไปทบทวนเรื่องอัตราค่าปรับ การขึ้นทะเบียน และรายละเอียดต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนในการดำเนินการ จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาหาข้อสรุปเรื่องดังกล่าว ก่อนเสนอเข้า ครม.พิจารณาอีกครั้ง และว่า นายกฯ บอกด้วยว่า ส่วนตัวก็มีสุนัข และรักสุนัขเหมือนกัน โดยเห็นด้วยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวดี แต่ไม่อยากสร้างภาระให้ประชาชน
วันเดียวกัน นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวยังต้องหารืออีกหลายขั้นตอน กว่าจะถึงขั้นเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อาจมีการพิจารณาลดค่าธรรมเนียมลงอีก หรืออาจจะไม่เก็บเลยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับการหารือก่อนการประกาศใช้เป็นกฎหมายและมีผลบังคับ โดยกรมปศุสัตว์จะรับฟัง รวบรวมข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะทั้งหมดของประชาชน เพื่อไปเป็นข้อมูลชี้แจงในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา และขั้นตอนการประชุมของ สนช.ต่อไป
นายสรวิศ กล่าวด้วยว่า “หากประชาชนมีความเห็นประการใดเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ขอให้เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่แอพพลิเคชั่น DLD 4.0 ที่ดาวน์โหลดและติดตั้งได้ในโทรศัพท์ทุกระบบ หรือทางอีเมล์ info@did.go.th หรือทางเฟซบุ๊ก ปศุสัตว์ก้าวหน้า https://www.facebook.com/livestocknews“
4.รวบปลัดอำเภอ-อส.พร้อมพวก ล่าหมีขอในอุทยานฯ ไทรโยค ด้าน “ศรีวราห์” ลั่น หมีขอจะไม่ตายฟรี!

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้จับกุมนายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือปลัดแมน อายุ 41 ปี ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี พร้อมพวกทีมออฟโรดรวม 11 คน รถ 6 คัน พร้อมของกลางอาวุธปืนไรเฟิลติดลำกล้องและอุปกรณ์เก็บเสียง เครื่องกระสุนปืน และซากส่วนขาอุ้งเท้าหมีขอ 4 ขา หลังลักลอบเข้าไปในป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปล่าสัตว์ แต่เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์เต่าดำ พร้อมอ้างว่า ซื้อซากหมีขอจากชาวบ้านที่นำมาขาย ด้านหัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค ชี้ว่า บริเวณดังกล่าวไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีคนอาศัยอยู่ มีเพียงพระสงฆ์ที่วัดเหมืองเต่าดำ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานแห่งชาติไทรโยค ชุมชนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด ห่างประมาณ 20 กิโลเมตร การระบุว่าซื้อซากสัตว์ป่าจากชาวบ้าน จึงเป็นเพียงข้ออ้างของผู้กระทำผิดเท่านั้น
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยให้ใช้ชุดเดียวกับคณะพนักงานสอบสวนที่ทำคดีเสือดำที่เปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ต้องหา โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีประสบการณ์การทำคดีลักษณะนี้ พร้อมยืนยัน ไม่กลัวถูกสังคมตั้งคำถามประเด็นดังกล่าว เพราะต้องการให้คดีเดินเร็วที่สุด
สำหรับผู้ต้องหา 11 คนแรก ประกอบด้วย นายวัชรชัย สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย, นายอนุสรณ์ เรือนงาม หรือ อส.ออย เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอด่านมะขามเตี้ย, นายสกานต์ แก่งหลวง อส.อีกคน, น.ส.ศรีวิจิตร ดิษแช่ม, นายทัศดนัย ชอกระโชก, นายฉัตรชัย เกาะลอย, นายจิรชัย ตันติวัฒนสิทธิ์, ว่าที่ ร.ต.สุนทร มาเจริญรุ่งเรือง, นายประสาน เต็มธนัน, นางอรุณ แสงใส และนายถาวร เซี่ยงหลิว
ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา 11 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ ยางไม้ น้ำมันยาง น้ำมันสน แร่ หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ 2.ร่วมกันนำสัตว์ออกไปหรือทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ 3.ร่วมกันนำเข้ายานพาหนะเข้าออกหรือขับขี่ยานพาหนะในทางที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์หรืออาวุธอื่นใดเข้าไปในเขตอุทยานฯ โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ
5.ร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองฯ 6.ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 7.ร่วมกันซ่อนเร้นฯ ซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่าอันได้มาจากการกระทำผิด 8.ร่วมกันเก็บหาของป่าหรือกระทำการใดอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ 9.ร่วมกันมีเครื่องกระสุนฯ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 10.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ 11.ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งให้นายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือปลัดแมน อายุ 41 ปี ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอด่านมะขามเตี้ย ออกจากราชการไว้ก่อน หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีล่าหมีขอ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยายามหาหลักฐานเพิ่มเติมใน 2 จุด คือบริเวณป่าเขาพลู และสำนักสงฆ์เต่าดำ ปรากฏว่า พบหลักฐานอีกหลายรายการ เช่น ซากสัตว์ป่าบริเวณกรามปากด้านล่าง ซึ่งคาดว่าเป็นกรามของหมีขอ เศษกระดูก เขียง หม้อประกอบอาหาร กระป๋องเบียร์ ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบถุงดำบรรจุซากศพหมีขอที่บริเวณจุดที่มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 11 คนด้วย
ต่อมา ตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 11 คน ไปขอศาลจังหวัดกาญจนบุรีฝากขัง จากนั้นผู้ต้องหาได้ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ได้ล่าหมีขอ โดยซื้อขาหมีขอจากชาวบ้าน แต่ภายหลัง นายอนุสรณ์ หรือ อส.ออย หนึ่งในผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้นำปืนไรเฟิลของกลาง ที่ได้จากอดีตทหารคนหนึ่งที่มาขอยืมเงิน 1 หมื่นบาท และให้ปืนเป็นหลักประกัน โดยตนให้นายตาต้า ไม่มีนามสกุล ชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า คนงานในสำนักสงฆ์ ออกไปยิงหมีขอ โดยตนและนายวัชรชัยไม่ได้ไปร่วมยิงด้วย หลังจากนั้นได้นำหมีขอกลับมาต้มทำอาหารให้คนในคณะกิน แต่ไม่มีใครยอมกิน ส่วนขาหมีขอ 4 ขาที่มาอยู่ในรถ นายอนุสรณ์อ้างว่า นายจิระเป็นคนนำมาใส่ไว้ ตนไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าจะนำไปทำต้มยำเท่านั้น พร้อมยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้โกหกว่าขาหมีขอทั้ง 4 ขาซื้อมาจากชาวบ้าน นอกจากนี้นายอนุสรณ์ยังอ้างว่า อาวุธปืนที่นำเข้าไปในเขตอุทยานฯ เพราะต้องการยิงแก้บนเท่านั้น
ขณะที่นายตาต้าให้การในเวลาต่อมา ยอมรับว่าเป็นคนยิงหมีขอ โดยบอกว่า ไปพร้อมกับนายอนุสรณ์และนายสกานต์ แก่งหลวง อส.อีกคน ซึ่งทั้ง 2 คนอ้างตัวเป็นตำรวจและบังคับให้นายตาต้าเป็นคนยิง เมื่อนำหมีขอกลับมายังที่ตั้งแคมป์ภายในสำนักสงฆ์เต่าดำ นายตาต้าพร้อมนายจิระและภรรยานายจิระ เป็นผู้ชำแหละเนื้อหมีขอ ก่อนนำเครื่องในและหัวใจหมีขอไปทิ้งแม่น้ำ บางส่วนบรรจุใส่ถุงดำ และนายอนุสรณ์เป็นคนนำไปทิ้งในจุดที่เจ้าหน้าที่พบดังกล่าว และว่า นอกจากล่าหมีขอแล้ว ยังมีการล่ากบภูเขาอีก 4 ตัวด้วย
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เผยว่า แนวทางสืบสวนคดีนี้ มีผู้เกี่ยวข้อง 14 คน และจับได้แล้ว 13 คน ขาดเพียงนายจิระ ชาวพม่า พร้อมคาดว่า จะสรุปสำนวนส่งให้อัยการสั่งฟ้องได้ภายใน 4 ฝาก โดยนายตาต้าและนายจิระ ถูกตั้งข้อหา 7 ข้อหา เช่น ร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองฯ, ร่วมกันครอบครองฯ ร่วมกันซ่อนเร้นสัตว์ป่าหรือซากสัตว์ป่าฯ ฯลฯ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันด้วยว่า หมีขอจะไม่ตายฟรี เนื่องจากพยานวัตถุ พยานบุคคลครบถ้วน
5.9 ปีที่รอคอย! “หม่อง ทองดี” ดีใจได้สัญชาติไทยแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ทำให้มีวันนี้ “วันที่เป็นคนไทย”

จากกรณีที่นายหม่อง ทองดี อายุ 21 ปี อดีตเด็กนักเรียนไร้สัญชาติ ที่เคยเป็นตัวแทนนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยทราย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับที่ประเทศญี่ปุ่น และสร้างชื่อเสียงให้ไทยด้วยการคว้าแชมป์กลับมาเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นมีกระแสข่าวว่า จะมีการช่วยเหลือผลักดันจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้นให้หม่องได้สัญชาติไทย แต่ผ่านมา 9 ปี เรื่องก็ยังเงียบ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า หม่องสมควรได้รับสัญชาติไทยในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย แต่หม่องก็ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย
กระทั่งสังคมเริ่มรู้สึกเปรียบเทียบว่า โค้ชและสมาชิกทีมหมูป่าอีก 3 คนที่ติดถ้ำหลวง ยังได้รับสัญชาติไทย แต่เหตุใดหม่องจึงยังไม่ได้ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 26 ส.ค. หม่อง สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ประเภทบุคคลทั่วไป ชิงแชมป์ประเทศไทย ที่เมืองทองธานี ได้อีก ซึ่งจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2562 จึงยิ่งเป็นการสำทับว่าหม่องควรได้รับสัญชาติไทย
ต่อมา เมื่อวันที่ 3 ก.ย. หม่อง นำเอกสารหลักฐานไปยื่นขอสัญชาติไทย ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ พร้อมคาดหวังว่าจะได้รับสัญชาติไทย และในที่สุด ฝันก็เป็นจริง เมื่อผู้ว่าฯ เชียงใหม่ อนุมัติสัญชาติไทยให้แล้ว
โดยเมื่อวันที่ 12 ต.ค. หม่อง ได้เดินทางไปพบนายบุญส่ง แสงกฤช ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อรับหนังสือที่ได้รับอนุมัติสัญชาติไทย โดยมีนายยุ่น ทองดี บิดา พร้อมแฟนสาวของหม่อง เดินทางไปด้วย ซึ่งหม่อง เผยว่า หลังรับหนังสือจากที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่แล้ว จะเดินทางไปแจ้งเพิ่มชื่อเข้าสำเนาทะเบียนบ้าน ที่เทศบาลตำบลสุเทพ โดยเข้าทะเบียนบ้านของเจ้าของหอพัก ซึ่งทางเจ้าของบ้านใจดีมากและบอกว่า เห็นตนมาตั้งแต่เด็ก เลยให้เข้าในทะเบียนบ้านได้ และเมื่อกระบวนการแจ้งชื่อแล้วเสร็จ จะกลับมาที่อำเภอเมืองเชียงใหม่เพื่อมาทำบัตรประชาชนเป็นคนไทย
หม่อง เผยความรู้สึกหลังได้รับสัญชาติไทยด้วยว่า รู้สึกโล่ง หายเหนื่อยทุกอย่างแล้ว ส่วนเรื่องอนาคต อยากจะเรียนต่อ แต่ต้องทำเรื่องของการเกณฑ์ทหาร เพราะจะอายุ 21 ปีแล้ว สำหรับเรื่องเรียน ความตั้งใจคืออยากเรียนวิศวโยธา ส่วนเรื่องการพับเครื่องบินกระดาษ จะมีการสอนน้องๆ รุ่นต่อๆ ไป นักเรียนรุ่นหลังจะได้มาศึกษาต่อ "อยากขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้ได้มาถึงวันนี้ที่เป็นคนไทย"
ด้านนายยุ่น ทองดี อายุ 45 ปี พ่อของหม่อง เผยว่า รู้สึกดีใจมากที่ลูกได้สัญชาติไทย หลังจากนี้อยากให้ลูกตั้งใจเรียน ได้เป็นครูสอนน้องๆ ในโรงเรียน หรือทำอาชีพที่เขาอยากจะทำ และให้เขาเป็นคนดีรับใช้สังคม
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยกับกฤษดามหานคร ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อฟังการสั่งคดีของอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ โดยมีนางพินทองทา คุณากรวงศ์ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร น้องสาว เดินทางมาพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ยังมีแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคน เดินทางมาให้กำลังใจเช่นกัน
ต่อมา นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้แถลงผลการสั่งคดีว่า ที่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนให้เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา กล่าวหานางเกศินิ จิปิภพ ผู้ต้องหาที่ 1, นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ผู้ต้องหาที่ 2, นายวันชัย หงษ์เหิน สามีนางกาญจนาภา ผู้ต้องหาที่ 3 และนายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้ต้องหาที่ 4 ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินนั้น สำนวนคดีนี้ แบ่งเงินเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือกรณีรับโอนเช็ค 26 ล้านบาท อัยการสั่งฟ้องนางกาญนาภา และนายวันชัย ในความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงิน และสั่งไม่สั่งฟ้องนางเกศินี และนายพานทองแท้
ส่วนที่สอง คือกรณีรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท อัยการสั่งฟ้องนายพานทองแท้ เพียงคนเดียว ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบคบกันฟอกเงิน
นายธรัมพ์ เผยด้วยว่า กลุ่มที่รับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดนั้น เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนกล่าวหาผู้ต้องหารวมแล้ว 159 คน กระทำผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินมาให้อัยการพิจารณาเพิ่มเติม ส่วนของผู้โอนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น อัยการได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ กับพวกรวม 13 คน ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไปแล้วหลังพนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ส่งสำนวนมาให้พิจารณาเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2560
ด้านผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนางเกศินี และนายพานทองแท้ กรณีรับโอนเช็ค 26 ล้าน นายประยุทธ ตอบว่า ขณะนี้ไม่สามารถระบุรายละเอียดทั้งหมดได้ เนื่องจากกระบวนการสั่งคดียังไม่ถึงที่สุด เพราะอัยการต้องส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องกลับไปให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอพิจารณาว่า จะเห็นพ้องหรือเห็นแย้งกับอัยการ หากเห็นแย้ง ต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการสั่งคดีครั้งนี้ กลุ่มของผู้ต้องหา มีนายพานทองแท้เพียงคนเดียวที่เดินทางมาฟังการสั่งคดี ซึ่งอัยการได้นำตัวนายพานทองแท้ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ส่วนนางกาญจนาภา และนายวันชัย ที่อัยการสั่งฟ้องกรณีรับเช็คโอนเงิน 26 ล้านบาทนั้น เมื่อไม่มารายงานตัว อัยการจึงนัดรายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งและส่งตัวฟ้องต่อศาลอีกครั้งวันที่ 18 ต.ค.นี้
หลังนายพานทองแท้ถูกส่งตัวฟ้องต่อศาลฯ ศาลได้ประทับรับฟ้อง และนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. จากนั้น ทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพยเป็นเงินสด 1 ล้านบาท ขอประกันตัวนายพานทองแท้ ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่อัยการนำตัวนายพานทองแท้ยื่นฟ้องต่อศาล คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มารดาของนายพานทองแท้ อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางมาให้กำลังใจบุตรชายด้วย
ทั้งนี้ วันเดียวกัน นางพินทองทา คุณากรวงศ์ หรือเอม น้องสาวนายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความและรูปผ่านอินสตาแกรม ถึงกรณีที่นายพานทองแท้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินจากการทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยฯ ว่า "ครอบครัวเราผ่านอะไรกันมาเยอะ ถูกการเมืองเล่นมาเยอะ แต่ก็คิดมาเสมอว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จนกระทั่งมาเป็นเรื่องพี่โอ๊ค... มาถึงรุ่นพวกเราแล้วเหรอเนี่ย! แต่ในเมื่อจะทำกันขนาดนี้... เราก็คงจะไม่นั่งนิ่งเฉยให้ถูกรังแก ...ถ้าสู้ตามเนื้อกฎหมาย ยังไงเราก็ชนะ!! แต่เรื่องของธงทางการเมืองความแค้นส่วนตัวของคนบางคน อันนี้อยู่เหนือการควบคุมและคาดเดาจริงๆ"
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง น้องชายนายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความว่า “ลูกทักษิณ ไม่เคยได้รับอะไรเหมือนคนอื่นเค้าหรอก “ลูกทักษิณ” ได้รับอะไรแรงกว่าคนอื่นเสมอ แต่รู้มั้ย เลือดเนื้อของทักษิณก็วิ่งอยู่ในตัวเราทั้ง 3 คนนั่นแหละ จะเข้มแข็งให้สมกับเป็น “ลูกทักษิณ”
2.“จิตตนาถ” ปฏิเสธข่าว “สนธิ-จตุพร” จับมือตั้งพรรค ด้าน “จตุพร” ยันข่าวเท็จ ย้ำ นปช.ไม่เคยคิดตั้งพรรค!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสข่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.จับมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองสายกลางขึ้นมาเพื่อสลายสีเสื้อ ซึ่งข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการให้สัมภาษณ์ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา อดีต ส.ส.เชียงราย สมัยรัฐบาลทักษิณ
หลังเกิดข่าวดังกล่าว นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือผู้จัดการ บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ ได้ออกมาปฏิเสธว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด “ผมได้ไปเยี่ยมคุณสนธิมา คุณสนธิบอกผมว่า คุณจตุพรเข้ามาพูดคุยว่าอยากจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ คุณสนธิก็บอกว่าโอเค ก็ดี ก็แล้วแต่ของคุณจตุพรสิ คุณสนธิเป็นผู้รับฟังอย่างเดียว ไม่ได้คัดค้าน ไม่ได้เห็นด้วย ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่จุดยืนของคุณสนธิมีอยู่จุดเดียวที่บอกผ่านผมมา ก็คือว่าประเทศมันไปต่อไม่ได้ ถ้าเกิดว่าไม่มีการปฏิรูป”
“ฉะนั้นขอเลย คุณสนธิอยู่ในเรือนจำก็ลำบากพออยู่แล้ว อย่าเอาชื่อของคุณสนธิไปทำมาหากิน ผมขอร้อง แค่นี้ก็โดนทุกฝ่ายจ้องจับตา จ้องจับผิดกันอยู่แล้ว พอสักที ให้พ่อผมได้อยู่อย่างสงบสักทีเถอะ พวกคุณถ้าคุณไม่คิดจะปฏิรูปเพื่อชาติ คุณจะไปเล่นการเมืองก็เรื่องของคุณเลย คุณจตุพร คุณยงยุทธ โอเคเข้าใจกันนะครับ อย่าเอาคุณสนธิมาทำมาหากิน ผมไม่ชอบ ปฏิรูปเพื่อชาติเท่านั้น ไม่ใช่มาตั้งพรรคการเมืองบ้าๆ บอๆ”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ได้ออกมาแถลงยืนยันเช่นกันว่า ไม่ได้มีการหารือหรือจับมือกับนายสนธิหรือพระพุทธะอิสระเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง หรือพรรคเพื่อชาติแต่อย่างใด มีเพียงการคุยเรื่องทางออกของบ้านเมือง และว่า กระแสข่าวความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น น่าจะเกิดหลังจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช ไปเยี่ยมตน ตนจึงได้เล่าถึงการพูดคุยกับนายสนธิ และอดีตพระพุทธะอิสระให้ฟัง นายยงยุทธจึงพูดถึงความประทับใจที่ไปเยี่ยมตนผ่านรายการหนึ่ง แต่มีการแปลความไปอีกแบบหนึ่ง จึงขอยืนยันว่าเป็นความเท็จ 100% เพราะนายสนธิยังอยู่ในคุก มีโทษถึง 20 ปี วันนี้เพิ่งผ่านไปแค่ 2 ปี หากจะตั้งพรรคกับตนได้ คงอายุร่วม 100 ปี ดังนั้นตนขออโหสิกรรมให้กับข้อความเท็จทั้งหลาย ยืนยันว่า นปช.ไม่เคยมีความคิดจะตั้งพรรค ยังยืนยันจุดยืนเดิม และว่า พรรคเพื่อชาติตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 วันนี้ตนไม่มีสิทธิทางการเมือง ทำได้เพียงแค่เป็นกองเชียร์ จะไปบงการอะไรใครไม่ได้
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ คือกรณีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประชุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. เพื่อเปิดรับสมัครบุคคลเข้ารับการแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยผู้สมัครมี 3 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายอลงกรณ์ พลบุตร โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรค เป็นผู้ดำเนินการรับสมัคร
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างการรับสมัคร เอกสารรายชื่อรับรองของนายอลงกรณ์เดินทางมาไม่ทันตามกำหนด นายอภิสิทธิ์จึงมอบรายชื่อผู้ที่สนับสนุนตนเองให้นายอลงกรณ์ คือ ชื่อ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม และชื่อ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต สส.กทม. ขณะที่ นพ.วรงค์ ก็ได้มอบรายชื่อผู้ที่สนับสนุนตนเองให้นายอลงกรณ์ด้วยเช่นกัน คือ ชื่อตนเอง และชื่อ นายวิชัย ล้ำสุทธิ อดีต ส.ส.ระยอง ทำให้นายอลงกรณ์รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณนายอภิสิทธิ์และ นพ.วรงค์ ที่ทำให้ตนมีชื่อผู้รับรองครบตามที่กำหนดการลงสมัครหัวหน้าพรรค จากนั้นนายอลงกรณ์ได้ขอสละสิทธิ์ในการจับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร โดยขอเป็นผู้สมัครหมายเลข 3 ด้านนายอภิสิทธิ์ได้ให้สิทธิ นพ.วรงค์จับหมายเลขประจำตัวผู้สมัครก่อน เนื่องจากมายื่นใบสมัครก่อน ปรากฏว่า นพ.วรงค์จับได้หมายเลข 2 นายอภิสิทธิ์จึงได้หมายเลข 1
สำหรับการลงคะแนนหยั่งเสียงจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 พ.ย. ก่อนจะจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่จำนวน 41 คน ในวันที่ 11 พ.ย.
3.“บิ๊กตู่” สั่งทบทวน กม.ขึ้นทะเบียนหมา-แมว หลังสังคมสวดยับคิดค่าธรรมเนียมแพง!
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอย่างหนัก กรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ที่กำหนดให้เจ้าของสุนัขและแมว นำสัตว์เลี้ยงของตนไปขึ้นทะเบียน และจ่ายค่าตีทะเบียน 450 บาท ซึ่งแบ่งเป็นค่าร้องขอขึ้นทะเบียน 50 บาท ค่าสมุดประจำตัวสัตว์ 100 บาท และค่าเครื่องหมายประจำตัวสัตว์อีก 300 บาท หากฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกิน 25,000 บาท
สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ได้แก่ ไข่มุก เพ็ชรรัตน์ ประธานองค์กรจัดสวัสดิภาพสัตว์ “สุนัขริมรั้ว” ซึ่งรับสุนัขและแมวจรจัดมาเลี้ยงกว่า 600 ตัว เชื่อว่า หากกฎหมายนี้บังคับใช้ จะมีสุนัขและแมวถูกทิ้งอีกเป็นจำนวนมาก “ถ้ากฎหมายตัวนี้ออกมาบังคับใช้เมื่อไหร่ เชื่อว่าจะทำให้คนเอาหมาแมวออกมาทิ้งเยอะกว่าเดิมมาก วัดดูจากที่เคยไปช่วยรักษาหมาตามบ้าน จะเห็นเลยว่าชาวบ้านที่ช่วยดูแลแต่ละคนเขาไม่มีตังค์ที่จะพาไปหาหมอเลย ตังค์จะซื้อยาให้หมาก็ไม่มี แล้วถ้ายิ่งเอากฎหมายตัวนี้มาบีบให้พวกเขาต้องจ่ายค่าลงทะเบียน ปัญหาจะยิ่งหนักกว่าเดิม และสุดท้ายภาระก็จะไปตกที่วัดแทน"
ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพิษสุนัขบ้า ยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และจะส่งผลให้คนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวเยอะๆ จะยิ่งนำไปทิ้งมากขึ้น ศ.นพ.ธีระวัฒน์ แนะด้วยว่า ทางที่ดีตอนนี้ ต้องดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนและทำหมัน เพื่อควบคุมประชากรสุนัขและแมวให้ได้มากที่สุดและมีประสิทธิภาพจริงๆ จะดีกว่า เพราะทุกวันนี้ยังไม่มีประสิทธิมากพอเลย
ทั้งนี้ หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้ออกมาชี้แจงว่า ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้มีการทอดทิ้งสัตว์โดยไม่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีมีความกังวล และขอให้กลับไปทบทวนเรื่องอัตราค่าปรับ การขึ้นทะเบียน และรายละเอียดต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประชาชนในการดำเนินการ จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาหาข้อสรุปเรื่องดังกล่าว ก่อนเสนอเข้า ครม.พิจารณาอีกครั้ง และว่า นายกฯ บอกด้วยว่า ส่วนตัวก็มีสุนัข และรักสุนัขเหมือนกัน โดยเห็นด้วยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวดี แต่ไม่อยากสร้างภาระให้ประชาชน
วันเดียวกัน นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวยังต้องหารืออีกหลายขั้นตอน กว่าจะถึงขั้นเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อาจมีการพิจารณาลดค่าธรรมเนียมลงอีก หรืออาจจะไม่เก็บเลยก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับการหารือก่อนการประกาศใช้เป็นกฎหมายและมีผลบังคับ โดยกรมปศุสัตว์จะรับฟัง รวบรวมข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะทั้งหมดของประชาชน เพื่อไปเป็นข้อมูลชี้แจงในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา และขั้นตอนการประชุมของ สนช.ต่อไป
นายสรวิศ กล่าวด้วยว่า “หากประชาชนมีความเห็นประการใดเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ขอให้เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่แอพพลิเคชั่น DLD 4.0 ที่ดาวน์โหลดและติดตั้งได้ในโทรศัพท์ทุกระบบ หรือทางอีเมล์ info@did.go.th หรือทางเฟซบุ๊ก ปศุสัตว์ก้าวหน้า https://www.facebook.com/livestocknews“
4.รวบปลัดอำเภอ-อส.พร้อมพวก ล่าหมีขอในอุทยานฯ ไทรโยค ด้าน “ศรีวราห์” ลั่น หมีขอจะไม่ตายฟรี!
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้จับกุมนายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือปลัดแมน อายุ 41 ปี ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี พร้อมพวกทีมออฟโรดรวม 11 คน รถ 6 คัน พร้อมของกลางอาวุธปืนไรเฟิลติดลำกล้องและอุปกรณ์เก็บเสียง เครื่องกระสุนปืน และซากส่วนขาอุ้งเท้าหมีขอ 4 ขา หลังลักลอบเข้าไปในป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี
ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปล่าสัตว์ แต่เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์เต่าดำ พร้อมอ้างว่า ซื้อซากหมีขอจากชาวบ้านที่นำมาขาย ด้านหัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค ชี้ว่า บริเวณดังกล่าวไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีคนอาศัยอยู่ มีเพียงพระสงฆ์ที่วัดเหมืองเต่าดำ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์อุทยานแห่งชาติไทรโยค ชุมชนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด ห่างประมาณ 20 กิโลเมตร การระบุว่าซื้อซากสัตว์ป่าจากชาวบ้าน จึงเป็นเพียงข้ออ้างของผู้กระทำผิดเท่านั้น
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยให้ใช้ชุดเดียวกับคณะพนักงานสอบสวนที่ทำคดีเสือดำที่เปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ต้องหา โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีประสบการณ์การทำคดีลักษณะนี้ พร้อมยืนยัน ไม่กลัวถูกสังคมตั้งคำถามประเด็นดังกล่าว เพราะต้องการให้คดีเดินเร็วที่สุด
สำหรับผู้ต้องหา 11 คนแรก ประกอบด้วย นายวัชรชัย สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย, นายอนุสรณ์ เรือนงาม หรือ อส.ออย เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอด่านมะขามเตี้ย, นายสกานต์ แก่งหลวง อส.อีกคน, น.ส.ศรีวิจิตร ดิษแช่ม, นายทัศดนัย ชอกระโชก, นายฉัตรชัย เกาะลอย, นายจิรชัย ตันติวัฒนสิทธิ์, ว่าที่ ร.ต.สุนทร มาเจริญรุ่งเรือง, นายประสาน เต็มธนัน, นางอรุณ แสงใส และนายถาวร เซี่ยงหลิว
ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหา 11 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ ยางไม้ น้ำมันยาง น้ำมันสน แร่ หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ 2.ร่วมกันนำสัตว์ออกไปหรือทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ 3.ร่วมกันนำเข้ายานพาหนะเข้าออกหรือขับขี่ยานพาหนะในทางที่มิได้จัดไว้เพื่อการนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์หรืออาวุธอื่นใดเข้าไปในเขตอุทยานฯ โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ
5.ร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองฯ 6.ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซากของสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต 7.ร่วมกันซ่อนเร้นฯ ซึ่งสัตว์ป่าหรือซากของสัตว์ป่าอันได้มาจากการกระทำผิด 8.ร่วมกันเก็บหาของป่าหรือกระทำการใดอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ 9.ร่วมกันมีเครื่องกระสุนฯ ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 10.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ 11.ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งให้นายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือปลัดแมน อายุ 41 ปี ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอด่านมะขามเตี้ย ออกจากราชการไว้ก่อน หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีล่าหมีขอ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยายามหาหลักฐานเพิ่มเติมใน 2 จุด คือบริเวณป่าเขาพลู และสำนักสงฆ์เต่าดำ ปรากฏว่า พบหลักฐานอีกหลายรายการ เช่น ซากสัตว์ป่าบริเวณกรามปากด้านล่าง ซึ่งคาดว่าเป็นกรามของหมีขอ เศษกระดูก เขียง หม้อประกอบอาหาร กระป๋องเบียร์ ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบถุงดำบรรจุซากศพหมีขอที่บริเวณจุดที่มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 11 คนด้วย
ต่อมา ตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 11 คน ไปขอศาลจังหวัดกาญจนบุรีฝากขัง จากนั้นผู้ต้องหาได้ขอประกันตัว ซึ่งศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกผู้ต้องหาอ้างว่า ไม่ได้ล่าหมีขอ โดยซื้อขาหมีขอจากชาวบ้าน แต่ภายหลัง นายอนุสรณ์ หรือ อส.ออย หนึ่งในผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้นำปืนไรเฟิลของกลาง ที่ได้จากอดีตทหารคนหนึ่งที่มาขอยืมเงิน 1 หมื่นบาท และให้ปืนเป็นหลักประกัน โดยตนให้นายตาต้า ไม่มีนามสกุล ชาวกะเหรี่ยง สัญชาติพม่า คนงานในสำนักสงฆ์ ออกไปยิงหมีขอ โดยตนและนายวัชรชัยไม่ได้ไปร่วมยิงด้วย หลังจากนั้นได้นำหมีขอกลับมาต้มทำอาหารให้คนในคณะกิน แต่ไม่มีใครยอมกิน ส่วนขาหมีขอ 4 ขาที่มาอยู่ในรถ นายอนุสรณ์อ้างว่า นายจิระเป็นคนนำมาใส่ไว้ ตนไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าจะนำไปทำต้มยำเท่านั้น พร้อมยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้โกหกว่าขาหมีขอทั้ง 4 ขาซื้อมาจากชาวบ้าน นอกจากนี้นายอนุสรณ์ยังอ้างว่า อาวุธปืนที่นำเข้าไปในเขตอุทยานฯ เพราะต้องการยิงแก้บนเท่านั้น
ขณะที่นายตาต้าให้การในเวลาต่อมา ยอมรับว่าเป็นคนยิงหมีขอ โดยบอกว่า ไปพร้อมกับนายอนุสรณ์และนายสกานต์ แก่งหลวง อส.อีกคน ซึ่งทั้ง 2 คนอ้างตัวเป็นตำรวจและบังคับให้นายตาต้าเป็นคนยิง เมื่อนำหมีขอกลับมายังที่ตั้งแคมป์ภายในสำนักสงฆ์เต่าดำ นายตาต้าพร้อมนายจิระและภรรยานายจิระ เป็นผู้ชำแหละเนื้อหมีขอ ก่อนนำเครื่องในและหัวใจหมีขอไปทิ้งแม่น้ำ บางส่วนบรรจุใส่ถุงดำ และนายอนุสรณ์เป็นคนนำไปทิ้งในจุดที่เจ้าหน้าที่พบดังกล่าว และว่า นอกจากล่าหมีขอแล้ว ยังมีการล่ากบภูเขาอีก 4 ตัวด้วย
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. เผยว่า แนวทางสืบสวนคดีนี้ มีผู้เกี่ยวข้อง 14 คน และจับได้แล้ว 13 คน ขาดเพียงนายจิระ ชาวพม่า พร้อมคาดว่า จะสรุปสำนวนส่งให้อัยการสั่งฟ้องได้ภายใน 4 ฝาก โดยนายตาต้าและนายจิระ ถูกตั้งข้อหา 7 ข้อหา เช่น ร่วมกันล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองฯ, ร่วมกันครอบครองฯ ร่วมกันซ่อนเร้นสัตว์ป่าหรือซากสัตว์ป่าฯ ฯลฯ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันด้วยว่า หมีขอจะไม่ตายฟรี เนื่องจากพยานวัตถุ พยานบุคคลครบถ้วน
5.9 ปีที่รอคอย! “หม่อง ทองดี” ดีใจได้สัญชาติไทยแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ทำให้มีวันนี้ “วันที่เป็นคนไทย”
จากกรณีที่นายหม่อง ทองดี อายุ 21 ปี อดีตเด็กนักเรียนไร้สัญชาติ ที่เคยเป็นตัวแทนนักเรียนโรงเรียนบ้านห้วยทราย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับที่ประเทศญี่ปุ่น และสร้างชื่อเสียงให้ไทยด้วยการคว้าแชมป์กลับมาเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นมีกระแสข่าวว่า จะมีการช่วยเหลือผลักดันจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้นให้หม่องได้สัญชาติไทย แต่ผ่านมา 9 ปี เรื่องก็ยังเงียบ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า หม่องสมควรได้รับสัญชาติไทยในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย แต่หม่องก็ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย
กระทั่งสังคมเริ่มรู้สึกเปรียบเทียบว่า โค้ชและสมาชิกทีมหมูป่าอีก 3 คนที่ติดถ้ำหลวง ยังได้รับสัญชาติไทย แต่เหตุใดหม่องจึงยังไม่ได้ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 26 ส.ค. หม่อง สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ประเภทบุคคลทั่วไป ชิงแชมป์ประเทศไทย ที่เมืองทองธานี ได้อีก ซึ่งจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2562 จึงยิ่งเป็นการสำทับว่าหม่องควรได้รับสัญชาติไทย
ต่อมา เมื่อวันที่ 3 ก.ย. หม่อง นำเอกสารหลักฐานไปยื่นขอสัญชาติไทย ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ พร้อมคาดหวังว่าจะได้รับสัญชาติไทย และในที่สุด ฝันก็เป็นจริง เมื่อผู้ว่าฯ เชียงใหม่ อนุมัติสัญชาติไทยให้แล้ว
โดยเมื่อวันที่ 12 ต.ค. หม่อง ได้เดินทางไปพบนายบุญส่ง แสงกฤช ปลัดอาวุโสอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อรับหนังสือที่ได้รับอนุมัติสัญชาติไทย โดยมีนายยุ่น ทองดี บิดา พร้อมแฟนสาวของหม่อง เดินทางไปด้วย ซึ่งหม่อง เผยว่า หลังรับหนังสือจากที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่แล้ว จะเดินทางไปแจ้งเพิ่มชื่อเข้าสำเนาทะเบียนบ้าน ที่เทศบาลตำบลสุเทพ โดยเข้าทะเบียนบ้านของเจ้าของหอพัก ซึ่งทางเจ้าของบ้านใจดีมากและบอกว่า เห็นตนมาตั้งแต่เด็ก เลยให้เข้าในทะเบียนบ้านได้ และเมื่อกระบวนการแจ้งชื่อแล้วเสร็จ จะกลับมาที่อำเภอเมืองเชียงใหม่เพื่อมาทำบัตรประชาชนเป็นคนไทย
หม่อง เผยความรู้สึกหลังได้รับสัญชาติไทยด้วยว่า รู้สึกโล่ง หายเหนื่อยทุกอย่างแล้ว ส่วนเรื่องอนาคต อยากจะเรียนต่อ แต่ต้องทำเรื่องของการเกณฑ์ทหาร เพราะจะอายุ 21 ปีแล้ว สำหรับเรื่องเรียน ความตั้งใจคืออยากเรียนวิศวโยธา ส่วนเรื่องการพับเครื่องบินกระดาษ จะมีการสอนน้องๆ รุ่นต่อๆ ไป นักเรียนรุ่นหลังจะได้มาศึกษาต่อ "อยากขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้ได้มาถึงวันนี้ที่เป็นคนไทย"
ด้านนายยุ่น ทองดี อายุ 45 ปี พ่อของหม่อง เผยว่า รู้สึกดีใจมากที่ลูกได้สัญชาติไทย หลังจากนี้อยากให้ลูกตั้งใจเรียน ได้เป็นครูสอนน้องๆ ในโรงเรียน หรือทำอาชีพที่เขาอยากจะทำ และให้เขาเป็นคนดีรับใช้สังคม