xs
xsm
sm
md
lg

“เราเหนื่อยแค่นี้ พ่อเหนื่อยแค่ไหน” สตังค์-จรงค์ศักดิ์ ผู้ก่อตั้งโครงการ ๙ ต่อ Before After

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เปิดตัวตนผู้ก่อตั้งโครงการ ๙ ต่อ Before After “สตังค์-จรงค์ศักดิ์ รองเดช” กับแรงบันดาลใจจาก “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” สู่การเดินหน้าทำกิจกรรมจิตอาสาบริสุทธิ์ “ทำความดีโดยไม่มีใครจ้าง” เพื่อประกาศคุณงามความดีแห่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานใน “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร”

   • จุดเริ่มต้น...จิตอาสา

จริงๆ ผมคิดมานานมากแล้วนะครับ ไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแล้ว อยากจะทำประโยชน์ อยากจะทำความดีให้แก่สังคม แต่ว่าไม่ได้ลงมือทำสักที เนื่องมาจากเรายังมีเงื่อนไขในชีวิตเยอะเหลือเกิน เราบอกว่าอยากทำความดี แต่เรามักติดข้ออ้างว่าไม่ว่างบ้าง ไม่มีเวลาบ้าง หรืออะไรต่างๆ นานา และถ้ายังปล่อยไปโดยที่ไม่มีกำหนดเงื่อนไข ก็คงจะไม่ได้ทำสักที

ส่วนตัวผมทำรายการ “ภัตตาคารบ้านทุ่ง” มาเป็นเวลากว่าสิบปี ได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ 2 รางวัล รางวัลสื่อมวลชนดีเด่นคาทอลิก รางวัลโหวตให้ขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ในออนไลน์ของทางช่อง Thai PBS ผมเลยคิดว่าเราจะได้รับรางวัลไปเพื่ออะไร เราจะมีชื่อเสียงไปทำไม ถ้าเราไม่กลับมาทำประโยชน์ให้สังคมเลย ส่วนตัวผมพอจะมีฐานแฟนคลับอยู่บ้าง เราน่าจะเป็นผู้นำเป็นตัวอย่างก่อน และถ้าเกิดว่าใครเห็นด้วยก็ค่อยลงมือทำร่วมกัน เหตุนี้จึงทำให้ผมกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาว่าเราจะทำงานจิตอาสาเพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคมเดือนละครั้งครับ

   • เพราะมี ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นดั่งแรงบันดาลใจ
พระองค์ท่านทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างมาตลอด 70 ปี

ผมมีโอกาสได้ซึมซับรับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่าน เนื่องจากผมได้ไปเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการ “แสงจากพ่อ สู่ความยั่งยืน” ทางช่อง Thai PBS

อีกทั้งส่วนตัวผมผลิตรายการ “ภัตตาคารบ้านทุ่ง” เป็นรายการอาหารพื้นบ้าน แต่ว่าหลังจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต รายการที่ผมทำเป็นประจำนั้นก็ถูกปรับมาเป็นรายการ “ภัตตาคารบ้านทุ่ง : 1 ความดีจากลูกไทย น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” จำนวน 6 ตอนพิเศษ ผมได้เดินทางลงพื้นที่ไปถ่ายทำเรื่องราวของความดีที่คนไทยแต่ละท่านได้รับแรงบันดาลใจจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผมจึงได้เห็นพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เยอะมาก

มีครั้งหนึ่งผมได้ทราบเรื่องราวที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้ทรงไปเปิดหม้อข้าวชาวบ้านที่โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง โดย คุณป้ายุพา บุญแต่ง เล่าให้ผมฟังว่า สมัยที่คุณป้ายังเด็ก ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเสด็จฯ ไปเป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งเป็นปกติของพระองค์ท่านอยู่แล้วที่ทรงเป็นกันเองกับประชาชนที่นี่ พระองค์ท่านได้เข้าไปเยี่ยมบ้านและได้เดินเข้าไปในครัวเปิดหม้อข้าวหม้อแกงแล้วถามคุณพ่อของคุณป้ายุพาว่า “วันนี้แกงอะไรให้ลูกกิน” คุณพ่อของคุณป้ายุพาจึงกล่าวว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจน ลูกข้าพระพุทธเจ้ากินได้หมดครับ” นี่หมายความว่าพระองค์เดินเข้าไปถึง พอพระองค์เข้าไปถึง พระองค์จึงเข้าใจและนำมาสู่การออกแบบโครงการเพื่อช่วยเหลือพสกนิกรของท่าน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้พระองค์ทรงพระราชทานโฉนดที่ดินบริเวณหุบกะพง รวมเนื้อที่ 12,000 กว่าไร่ เพื่อพลิกฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับแผ่นดินที่แห้งแล้งให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่และที่ทำกิน

ถามว่า มีใครรู้หรือไม่ว่าพระมหากษัตริย์ของพวกเราเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่าร้อยละ 99 ของคนในประเทศไทยไม่ทราบเรื่องนี้ ผมก็เพิ่งจะได้ทราบเช่นกัน ยิ่งพอได้ยินได้ฟัง ได้ทราบว่าพระองค์ไม่ได้ทำเพราะพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ทรงทำด้วยความรักที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์ แบบนี้พวกเราจะอยู่เฉยๆ ได้หรือครับ... พวกเรารักพระองค์ท่าน พูดแค่ว่ารักพระองค์แล้วก็จบ แต่สำหรับผมมันไม่พอ ผมมองว่ามันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่พระองค์ตรากตรำพระวรกายมาตลอด 70 ปี

ผมจึงได้น้อมนำหลักคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ทรงตรัสให้เราทำความเพียรอันบริสุทธิ์มาใช้ เฉกเช่นเดียวกับในพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก แม้ว่าเราจะว่ายน้ำในขณะที่ยังมองไม่เห็นฝั่ง แต่มันสามารถทดสอบหัวใจของเราได้ดีเหลือเกินว่าเราจะมีความเพียรจริงๆ หรือเปล่า เช่นกัน เราจะเป็นคนดีจริงๆ หรือเปล่าในท่ามกลางที่ไม่มีใครมาจ้างให้เราทำความดีเลย เราจะกล้าลุกขึ้นมาทำหรือไม่

ดังนั้น ผมจึงลุกขึ้นมาทำงานด้านจิตอาสาโดยที่ไม่เกรงกลัวว่าใครจะหาว่าสร้างภาพ ไม่กลัวที่จะย่อท้อ ไม่กลัวที่จะเดือดร้อนด้วยกำลังทรัพย์ของเราเอง ไม่กลัวข้อครหา เราไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะผมรู้แล้วว่าผมจะทำอะไร และผมจะทำไปเพื่ออะไร เพราะสังคมไทยต้องการต้นแบบ ต้องการผู้กล้า ต้องการผู้นำ ต้องการคนที่ทำก่อน ต่อให้ไม่มีใครมาสรรเสริญก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ใช่สิ่งที่ผมปรารถนา

   • ก่อตั้งและริเริ่ม โครงการ ๙ ต่อ Before After

โครงการ ๙ ต่อ Before After เปิดตัวโครงการมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2560 โดยกิจกรรมจิตอาสาที่ผมได้ไปทำครั้งแรก ทำขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2560 ซึ่งพวกเราได้ไปรวมตัวกันที่บ้านของพ่อ พระตำหนักสามจั่ว ศูนย์พัฒนาเขาหินซ้อน เพื่อทำกิจกรรมพัฒนาบ้านของพ่อ เช่น ลอกผักตบชวา ขุดคลองไส้ไก่ ปลูกผักหญ้าแฝก นั่นคือการเริ่มต้นการทำจิตอาสา โดยบันทึกไว้ในรายการภัตตาคารบ้านทุ่งด้วยครับ

หลักๆ แล้วโครงการ ๙ ต่อ Before After ส่วนหนึ่งมาจากผมมีในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นแรงบันดาลใจ อีกทั้งคำว่า ๙ ต่อ ยังไปพ้องกับความหมายว่า ชีวิตเราจะต้องก้าวต่อไปด้วยครับ ดังนั้น โครงการนี้จึงทำขึ้นมาเพื่อประกาศคุณงามความดีของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และเพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธานของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” อีกทั้งเพื่อพัฒนาจิตสำนึกภายในของเราที่มีต่อโลกใบนี้ด้วยครับ

โครงการ ๙ ต่อ Before After คือการทำงานด้านจิตอาสาเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันเสาร์สิ้นเดือน เหตุที่เป็นสิ้นเดือนเพราะเงินเดือนออก ส่วนเหตุที่เป็นวันเสาร์เพราะหลายคนสามารถเดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างจังหวัดได้ ไม่กระทบงานประจำ ข้าราชการ พนักงานบริษัทก็สามารถทำได้ การทำกิจกรรมดังกล่าวนี้สามารถทำได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ทำกับกัลยาณมิตร และทำได้ตลอดชีวิตครับ

โดยโครงการนี้จะเป็น จิตอาสา+บริสุทธิ์ มีสโลแกนว่า “การทำความดีโดยไม่มีใครจ้าง” บริสุทธิ์ในที่นี้คือ 1. ไม่ขอรับทุนสนับสนุน  2. ไม่ขอเรี่ยไรรับเงินบริจาค 3. สร้างทุนด้วยตัวเอง เราจะต้องทำให้โครงการนี้บริสุทธิ์มากที่สุด เราจะไม่เอาอะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับเงิน เพราะถ้ามีเงินเข้ามาแล้วแจกแจงไม่ได้ก็จะเกิดความไม่โปร่งใสและความไม่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้ครับ

โครงการนี้จึงเป็นการออกเงินทุนของผมเองครับ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง โดยไม่มีใครจ้างให้เราทำ เราเสียเงินค่ารถเอง ออกทุนเอง ทำกันเอง เพราะเราอยากจะทำ แล้วเราก็พอจะมีกำลังในการทำแล้ว ส่วนตัวผมไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอะไร แทนที่เราจะเอาเงินส่วนที่เราจะเอาไปเที่ยวบำรุงบำเรอความสุขของตัวเอง เราก็เอาเงินนั้นไปทำประโยชน์แทน

ส่วนกลยุทธ์ Before After มาจากที่ผมได้ปรึกษากับทาง พี่ต่อ ฟีโนมีน่า (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) ที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา พี่ต่อบอกว่าการทำภาพ Before After เช่น ถ้าเราไปทำความสะอาดคลองแสนแสบ ภาพ Before อาจจะเป็นภาพคลองแสนแสบมีขยะลอยเต็ม สกปรกมาก ส่วนภาพ After คลองแสนแสบสะอาด ไม่มีขยะ แล้วนำทั้งสองภาพมาเปรียบเทียบกัน สามารถทำให้คนเข้าใจง่าย มองแล้วรับรู้ได้เลยว่ามีการเปลี่ยนแปลง คนที่มีการศึกษาน้อยที่สุดก็สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงคนที่มีการศึกษาสูงเลย จึงเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

จริงๆ แล้วในเรื่องของ Before After ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นตัวอย่างชัดเจนมากเลยนะครับ เพราะพระองค์ท่านเดินทางเข้าไปถึง ไปเห็นด้วยพระเนตร แล้วพระองค์ท่านบันทึกภาพด้วยพระองค์เอง ผ่านสายพระเนตรและมุมมองที่พระองค์ท่านมองประเทศนี้ ภาพที่พระองค์ท่านถ่ายนั้นนำมาสู่การออกแบบพัฒนาประเทศกว่า 4,000 โครงการ เราสามารถหาภาพเหล่านั้นเอามาเปรียบเทียบเป็นภาพ Before After ได้เลยนะครับ อาทิ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย อันเนื่องมาจากพระราชดำริจากที่เคยแห้งแล้ง ปัจจุบันเป็นอย่างไร แต่ละโครงการมีภาพ Before After ทั้งนั้นเลยครับ

   • กิจกรรมตลอด 1 ปีที่ผ่านมาของโครงการ ๙ ต่อ Before After

เราทำมาแล้วทั้งหมด 5 กิจกรรมครับ ที่ได้ทำเพียง 5 ครั้ง เพราะที่ผ่านมาเราใช้เวลาประสานงานกับทางมหาวิทยาลัยต่างๆ เวลา 1 ปี กับการขับเคลื่อนโครงการมีทีมงานส่วนกลางไม่ถึง 20 คน เราไม่มีเงินจ้าง และงานประจำเราก็ยังต้องทำ เพราะเราต้องเอารายได้จากงานประจำมาช่วยจุนเจืองานด้านจิตอาสา จึงจำเป็นที่จะต้องทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน

ส่วนผลตอบรับจากการทำงานด้านจิตอาสาที่ผ่านมาถือว่าดีเลยนะครับ โดยหลักๆ ที่ผ่านมาผมจะทำงานร่วมกับทางมหาวิทยาลัย ผมจะพาเด็กๆ ที่ไม่เคยทำกิจกรรมจิตอาสาไปทำกิจกรรม ซึ่งมีการถอดบทเรียนหลังจากทำกิจกรรมได้ว่า

1. เด็กหลายคนไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้เขาจะได้มาทำงานจิตอาสา อันนี้คือเรื่องใหญ่มากเลยนะครับ
2. เขาไม่รู้เลยว่าการทำจิตอาสามีประโยชน์อย่างไร
3. การทำกิจกรรมไปเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา เปลี่ยนทัศนคติของเขาไปในเชิงบวก

ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมชมรมช่างไม้จิตอาสา เราไปทำโต๊ะเก้าอี้เพื่อจะนำไปให้เด็กที่ถิ่นทุรกันดาร เด็กผู้หญิงกับงานไม้ดูจะเป็นเรื่องไกลตัวมาก มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งถามผมว่าเขาจะทำได้หรือ ผมก็บอกไปว่าทำไมจะไม่ได้ หนูก็อยู่แผนกขัด เอากระดาษทรายช่วยขัดให้เรียบก็ได้ ก่อนหน้านี้เขาไปคิดถึงโครงสร้างงานไม้ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ แต่จริงๆ มันมีหลายแผนก แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน พอทำสำเร็จกิจกรรมนี้จึงทำให้ทัศนคติของเด็กผู้หญิงที่มีกับงานไม้เปลี่ยนไปเลยเหมือนกันครับ

   • ปัจจุบันมีภาคีเครือข่ายกว่า 40 แห่ง
เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

เราใช้หลักที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสว่าให้ใช้คำว่า “บวร” หรือ บ้าน วัด โรงเรียน เป็นฐานการพัฒนาสังคม ตอนนี้จึงทำให้เรามีภาคีเครือข่ายเป็นมหาวิทยาลัยนำร่อง 9แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ส่วนวัดเรามีวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก วัดที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีพระราชดำริให้ทรงจัดสร้างขึ้น  เราได้รับพระเดชพระคุณจาก พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และรักษาการเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (ธรรมยุต) เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

“บ้าน” ในที่นี้เรามองไปถึงชุมชน ซึ่งเราก็มีชุมชนตัวอย่าง 3 พื้นที่ ได้แก่ ชุมชนบ้านไทยประจัน จังหวัดราชบุรี, ชุมชนไทยเบิ้ง บ้านโคกสลุง จังหวัดลพบุรี และชุมชนบ้านนาโต๊ะเซียะ จังหวัดตรัง เพื่อให้เห็นว่าต่อไปชุมชนก็สามารถลุกขึ้นมาทำประโยชน์แก่สังคมได้

ปัจจุบันเรามีภาคีเครือข่ายกว่า 40 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัย สถาบัน มูลนิธิ องค์กร ชุมชน/หมู่บ้าน วัด องค์กรสื่อ ศูนย์ศึกษาฯ ชมรม/ภาคีอื่นๆ ทั้งหมดทั้งมวลเราจะร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อวันหนึ่งวันใดหากใครมีกิจกรรมดีๆ จะได้เชื่อมร้อยและช่วยกัน โดยที่ไม่ได้มีการขอทุน และไม่ได้มีการผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้นครับ

แต่เราจะมีพันธะกับทางมหาวิทยาลัยนำร่องทั้ง 9 แห่งว่าเราจะมี Big Project กัน 1 ครั้งต่อ 1 มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์คาดการณ์ว่าจะจัดนักศึกษา 1,000 คนเพื่อพัฒนาชายหาดสมิหลา จ.สงขลา หรืออย่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นจะจัด Big Project ในงานพระราชทานเพลิงศพอาจารย์ใหญ่ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ) ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2562 ซึ่งจะจัดนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัยมาเป็นจิตอาสาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่มาร่วมงาน

ทั้งนี้ การจัด Big Project ของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นขึ้นอยู่กับทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกแบบนะครับ ส่วนผมจะทำหน้าที่กองหนุน สื่อสารประชาสัมพันธ์ จัดหาอุปกรณ์ ฯลฯ แต่การจะทำ Big Project ต้องอยู่ที่ความพร้อมของแต่ละมหาวิทยาลัยด้วยนะครับ เราจะไม่ได้ไปบังคับ เพราะแต่ละเดือนผมจะหากิจกรรมทำประโยชน์อยู่แล้ว แต่ถ้าทางมหาวิทยาลัยเขาพร้อม เราก็จะขับเคลื่อนไปกับทางมหาวิทยาลัยครับ

   • ครบรอบ 2 ปีการเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙
สู่การเปิดตัวโครงการ ๙ ต่อ Before After อย่างเป็นทางการ

ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561 จะเป็นการครบรอบ  2 ปีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต เราจึงจะจัดงานเปิดตัวโครงการ ๙ ต่อ Before After ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ภายในงานจะมีพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ล้อมวงสนทนาร่วมกันในหัวข้อ “เราจะ ๙ ต่ออย่างไรในวันที่พ่อไม่อยู่” โดยผู้แทนภาคีเครือข่ายต่างๆ 10 หน่วยงาน อาทิ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสุขภาพแห่งชาติ, รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ ผู้อำนวยการสถาบันคลังสมอง ซึ่งสองท่านนี้เป็นที่ปรึกษาของตัวโครงการด้วยครับ

นอกจากนี้ยังมี อาจารย์พนัส ปรีวาสนา ผู้ทำงานจิตอาสามา 20 กว่าปี, อาจารย์เอเชีย-ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการร่วมโครงการธนาคารจิตอาสา และโครงการความสุขประเทศไทย, อาจารย์เอ๋-นิพนธ์ เจียมสมบัติ ช่างไม้จิตอาสา ศูนย์ฝึกงานไม้ศิษย์เอก ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม, ครูเชาว์-เชาวลิต สาดสมัย ครูอาสาประจำศูนย์สร้างโอกาสเด็กสะพานพระราม 8, ประทีป อ่อนสลุง คณะทำงานศูนย์วัฒนธรรมไทยเบิ้ง บ้านโคกสลุง จังหวัดลพบุรี และพี่เดี่ยว-สุวรรณฉัตร พรหมชาติ แท็กซี่จิตอาสาอุ้มผู้ป่วยติดเตียง และมีการแสดงพระธรรมเทศนาโดยพระเดชพระคุณพระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชฺโช ป.ธ.๙, ศน.บ., M.A.) หัวข้อ “พลังจิตอาสา พัฒนาชาติไทย”

พร้อมทั้งร่วมกันปฏิบัติบูชาด้วยการทำกิจกรรมจิตอาสาถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และร่วมพิธีจุดเทียนถวายอาลัยเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ ๙

   • ความคาดหวังและอนาคตก้าวต่อไปของโครงการ ๙ ต่อ Before After

ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังใดๆ นะครับ เพราะสิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การคาดหวังแต่หน้าที่ของผมคือการลงมือทำ ผมมองว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จได้แน่ๆ ความสำเร็จอย่างแรกเลยก็คือ สามารถทำให้มนุษย์ผู้หนึ่ง นั่นคือตัวผมเองลุกขึ้นมาตื่นรู้ได้ว่าชีวิตควรจะทำอะไร และสละละทิ้งความเห็นแก่ตัวของตัวเองลงไปได้

ลึกๆ แล้วถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้คาดหวัง แต่ผมก็มีความหวังนะครับว่า การเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙ จะเป็นการเกิดในพวกเรา ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยพวกเราก็สามารถช่วยกันคนละเล็กคนละน้อยในฐานะลูกไทยหลานไทย เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาต่อไปได้ ถ้าเราทำแบบนี้ได้ ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่จะเกิดนวัตกรรมทางความคิดที่ทำให้คนทั้งประเทศลุกขึ้นมาทำความดีโดยที่ไม่มีใครจ้าง แล้วเราจะกลายเป็นประเทศต้นแบบของโลกได้

ส่วนอนาคตวันหนึ่งข้างหน้า ผมอยากจะผลักดันให้เกิดแอปพลิเคชันขึ้นมา 1 แอปฯ เพื่อการทำกิจกรรมจิตอาสา เพราะงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติปีล่าสุด ทางศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ได้จัดห้องเสวนาขึ้นมา 4 ห้อง ได้แก่ “พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา สร้างคนดี สังคมดี” ซึ่งผมก็ได้เข้าไปร่วมเสวนาในเรื่องจิตอาสาสู่จิตสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวมด้วย และภายในงานยังมีผู้ที่ทำงานด้านจิตอาสาอีกหลายท่านร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนคุณธรรมด้านจิตอาสาเพื่อผลักดันให้จิตอาสาเป็น “วาระแห่งชาติ”

ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่จิตอาสากลายเป็นวาระแห่งชาติ แอปพลิเคชันนี้น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่การทำแอปพลิเคชันจะต้องใช้ต้นทุนสูง ผมอาจจะคิดขึ้นมาได้แต่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ขอทุนใดๆ แต่แนวคิดนี้ผมสามารถส่งต่อให้หน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ที่เขาอาจจะมีงบ แล้วอยากจะทำบุญ เขาสามารถเป็นเจ้าภาพเพื่อมาผลิต มาดูแลระบบแอปพลิเคชันนี้ให้แก่ประเทศเราได้เลยครับ เราไม่ได้หวง เพราะความรู้ดีๆ ความคิดดีๆ เราให้ฟรีกันได้ ใครทำก็ได้ ถ้าทำแล้วได้ประโยชน์

   • มองงานจิตอาสามีเสน่ห์
แม้จะเหนื่อยกาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ “สุขใจ”

ผมมองว่างานจิตอาสามีเสน่ห์นะครับ พอมีคนรู้ว่าเราจะไปช่วยงานจิตอาสาก็มีหลายคนที่อาสามาทำกับข้าว มาทำก๋วยเตี๋ยวให้เรากินฟรีๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ บางคนเอาขนม เอาผลไม้ เอาอะไรต่างๆ มาให้ อย่างงานวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561 ที่เราจัดขึ้นก็เหมือนกันครับ จะมีคุณป้ากลุ่มหนึ่งน่าจะเกิน 20 คน จะเอาส้มตำมาให้จิตอาสารับประทาน คุณป้าแต่ละคนอายุเยอะมากแล้วนะครับ แต่ผมยอมไม่ได้ ผมจึงช่วยในการจัดการเรื่องรถและออกเงินซื้ออุปกรณ์ให้ เพราะผมไม่อยากให้คุณป้าต้องเดือดร้อน แค่คุณป้ามาก็ภูมิใจมากแล้ว

จริงๆ ก่อนที่จะมาทำงานจิตอาสา มีคนถามผมนะครับว่า “ไม่กลัวเหรอที่จะมีใครมาบอกว่าเราทำความดีเพื่อสร้างภาพ” ผมก็ตอบได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับว่า “ไม่กลัว” เพราะชีวิตเราไม่ได้เกิดมาแล้วหยุดอยู่ตรงคำครหาของผู้คน ชีวิตเราเกิดมาเพื่อที่ต้องการสร้างประโยชน์ ถ้าการทำความดีของเราต้องหยุด ต้องล่มสลายลงเพราะคำพูดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือคนที่เขาไม่เข้าใจ เราจะศรัทธาตัวเองต่อได้อย่างไร?

พอได้ลงมือทำ เราก็ผ่านอุปสรรคมาเยอะมากนะครับ เราต้องประสานงานกับหลายหน่วยงาน ต้องอธิบายในสิ่งที่ยังไม่มีเกิดขึ้นในโลกใบนี้มาก่อน ต้องใช้ทุนส่วนตัว ต้องใช้พละกำลัง ต้องทำทุกอย่างเพื่อทำให้เห็นเป็นรูปธรรม

การมาทำงานจิตอาสาสิ่งที่เราต้องเสียไป ได้แก่ กำลังแรงกาย ทรัพย์สิน เงินทอง ความรู้ความสามารถ และเวลาส่วนตัว มันเหนื่อยมากครับเวลาไปทำงานจิตอาสา แดดร้อน ฝนตก พายุซัด เราเจอมาหมด เราเหนื่อยสารพัดสารเพ ซึ่งความเหนื่อยมันเป็นผลเอฟเฟกต์ของการทำงานด้านจิตอาสา เราใช้แรงเราก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เอาจริงๆ ถ้ามีคนมาจ้างให้ผมทำ ผมบอกเลยว่าไม่คุ้ม แต่เมื่อเราไปด้วยใจของเรา จึงทำให้เรารู้สึกว่าการที่เราจะบ่น เหวี่ยง นอยด์ มันจบไปเลยครับ แล้วเมื่อใดก็ตามที่เราเหนื่อย ผมจะคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสมอว่า ตลอด 70 ปีที่พระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อคนไทยมาพระองค์เหนื่อยกว่าเราเยอะมาก “เราเหนื่อยแค่นี้ พ่อเหนื่อยแค่ไหน”

แม้ว่าสิ่งที่นำออกไปอาจจะเยอะแต่สิ่งที่เราได้กลับมามันมีคุณค่ามาก อาจจะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่เราสัมผัสได้ เรามีความสุขที่ได้ลงมือทำ เราสุขภาพแข็งแรง ได้กัลยาณมิตร มีจิตสำนึกต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก ความภูมิใจ และการพัฒนาจิตใจของเราเอง

   • เพียง 1 โครงการ เกิด 1,000,000 ความดี
ฝากถึงคนที่อยากเริ่มต้นเป็น “จิตอาสา”

ผมมองว่าใครก็สามารถเป็นจิตอาสาได้นะครับ รวย จน คนพิการ หรืออาชีพอะไรก็สามารถเป็นได้ ง่ายๆ เลยครับเอาทุกอาชีพที่มีบนโลกใบนี้บวกด้วยจิตอาสา นั่นแหละครับนวัตกรรมของงานจิตอาสาจะเกิดขึ้นได้ทุกอย่างเลย

ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายข้าวแกง ถามว่าจะเป็นจิตอาสาได้ไหม คุณอยากจะทำความดีแต่ไม่มีเวลา คุณอาจจะลองติดป้ายว่า “คนตกงานกินฟรี” เพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นจิตอาสาได้แล้วครับ หรือถ้าคุณเป็นศิลปินก็เป็นจิตอาสาได้เหมือนกัน คุณอาจจะไปร้องเพลงเปิดหมวกให้กับสถานพยาบาลช่วยสุนัขหรืออะไรก็ได้ ทำในสิ่งที่คุณถนัด ทำในสิ่งที่คุณชอบ

การทำความดีมีหลายรูปแบบนะครับ อย่างการทำความดีของผมจะไม่จำเจเลย มันเป็นการออกแบบความคิดนวัตกรรมของการทำความดี เราสามารถทำความดีได้หลากหลายเพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่าง ต้นแบบ และการทำความดีผมมองว่ามันสนุก พวกเราจะจัดกิจกรรมหลากหลาย แต่จะเน้นว่าด้วยว่ากิจกรรมนั้นจะมีประโยชน์กับผู้คน ไม่ใช่แค่เราอยากทำ ยกตัวอย่างเช่น กิจกรรมที่ 6 เราวางแผนไว้ว่าจะเย็บถุงยาที่เป็นถุงผ้าให้แก่โรงพยาบาลที่เขาต้องการครับ เพราะปัจจุบันทางโรงพยาบาลมีการรณรงค์ไม่ให้ใช้ถุงพลาสติกแล้ว กิจกรรมนี้เราก็จะร่วมกับทางสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับทางจิตอาสา ฯลฯ ครับ

เราต้องการเห็นนวัตกรรมทางความคิดของคนไทยในการออกแบบเรื่องของกระบวนการทำความดีในแบบฉบับที่คุณชอบ เพราะการทำความดีของคุณอาจจะเป็นต้นแบบและจุดประกายให้คนอื่นๆ ลุกขึ้นมาทำประโยชน์ดีๆ ให้แก่สังคมต่อไปก็ได้ ลองคิดดูนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคุณพ่อคุณแม่พาลูกอายุ 10 ขวบมาทำงานด้านจิตอาสาตลอดทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง เท่ากับปีละ 12 ครั้ง ถ้าเขาเติบโตมามีอายุถึง 60 ปี เท่ากับเขาได้ทำความดีมา 50 ปี คูณปีละ 12 ครั้ง ก็เท่ากับเขาทำความดีไปแล้ว 600 ครั้ง แล้วถ้าคนในประเทศเราทำแบบนี้ ลุกขึ้นมาทำความดีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ลองคิดดูสิครับว่าโลกของเราจะเต็มไปด้วยเรื่องราวๆ ดีมากมายขนาดไหน

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นเป็นจิตอาสา อย่างแรกเลย ผมอยากให้เริ่มต้นจากจิตสำนึกภายในว่าเราอยากจะทำจริงๆ โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้รับอะไรกลับมา เหมือนอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จไปในทุกพื้นที่ บางพื้นที่ยังไม่มีในแผนที่ด้วยซ้ำ

สอง  คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเองและบอกกับตัวเองด้วยว่าตัวเรามีศักยภาพมหาศาล ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนจน ไม่ได้มีการศึกษาสูง หน้าตาจะไม่ดี แต่เราจะเป็นคนดีให้กับแผ่นดินนี้ให้ได้ อย่าไปคิดว่าต้องรวยก่อน พร้อมก่อนแล้วค่อยทำ คิดแบบนี้ชาตินี้คุณก็ไม่ได้ทำสักที ถ้าคิดว่ารวยก่อนแล้วเมื่อไหร่ล่ะจะรวย คำถามต่อมาคือรวยแล้วจะทำจริงหรือเปล่า จะทำแน่นะ เพราะการเป็นคนดีไม่จำเป็นต้องการศึกษาดี ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี ไม่จำเป็นต้องฐานะดี แต่การเป็นคนดีต้องเริ่มต้นจากลงมือทำสิ่งดีๆ

สาม พอใจเราอยากทำ ก็ให้ลงมือทำเลยครับ เริ่มจากทำในสิ่งที่ง่ายก่อน อาจจะเริ่มจากไปจัดรองเท้าหน้าบ้านให้เป็นระเบียบก่อนก็ได้ หรือจะไปหยิบแปรงมาขัดห้องน้ำ ปลูกต้นไม้ให้คุณแม่ ลองทำอะไรก็ได้จากสิ่งใกล้ตัวก่อน แล้วคุณจะรู้เลยว่าความสุขจากการลงมือทำมันจะเป็นผลประจักษ์ คุณอาจจะลองถ่ายภาพ Before After ไว้ดูด้วยก็ได้ครับ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณทำ Before After ให้แก่ตัวคุณเองได้ คุณก็สามารถทำ Before After ให้แก่สังคมได้เช่นกัน.





ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ ๙ ต่อ Before After ได้ที่ : Facebook Page : ๙ ต่อ Before After

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช



กำลังโหลดความคิดเห็น