xs
xsm
sm
md
lg

สถานะกษัตริย์ในสังคมไทยสมัยรัชกาลที่ ๙ ! ทรงเป็นผู้นำทางวิญญาณจนไม่เหลือช่องว่างกษัตริย์กับประชาชน!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


มีคำกล่าวกันเสมอว่า คนไทยเรานั้นโชคดีที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี ๔ เดือน ๔ วันที่ครองราชย์ ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัย และตรากตรำพระวรกายอย่างไม่ทรงรู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งนี้ก็เพื่อความผาสุกของคนไทยทั้งประเทศ

ลองนึกภาพกันดูว่า ถ้าประเทศนี้ไม่มีโครงการพระราชดำริทั้งหลายเกิดขึ้น ประชาชนในถิ่นทุรกันดารห่างไกลจะยังคงเผชิญกับความทุกข์ยากลำเค็ญในการทำมาหากินกันแค่ไหน เทือกเขาในภาคเหนือก็ยังคงเกลื่อนไปด้วยไร่ฝิ่นที่ไม่มีทางปราบได้หมด แม้แต่ในกรุงเทพฯ พื้นที่ทางด้านตะวันออกก็อาจจะมีน้ำท่วมขังในหน้าฝนซ้ำซากอยู่ทุกปี จนถนนรามคำแหงต้องใช้เรือแทนรถ ถ้าไม่มีคันดินเลียบถนนนิมิตใหม่ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว เป็นระยะทาง ๗๒ กม.กั้นน้ำทั้งทุ่งรังสิตที่เคยไหลลงแอ่งกระทะนี้ ให้ไหลไปลงทะเล การจราจรก็อาจติดขัดลือลั่นไปทั้งโลกเหมือนเดิม ถ้าไม่มีถนนวงแหวนรอบนอกรอบใน และถนนลอยฟ้าบรมราชชนนีมาช่วยระบาย

ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อความสุขของมหาชนชาวสยาม ทรงซื่อตรงต่อหน้าที่และจริงใจต่อพสกนิกร ทรงอ่อนโยนน้อมพระองค์ลงสู่ราษฎร ไม่ทรงหมกมุ่นในความสำราญและการปรนเปรอ ทรงละความโกรธทั้งภายในภายนอก ไม่ทรงก่อทุกข์ให้ผู้ใด ทรงอดทนต่อความเหนื่อยยาก ทรงหลุดพ้นจากความไม่ถูกต้องทั้งปวง ทรงบำเพ็ญทานเป็นกิจวัตร และทรงเคร่งครัดในการรักษาศีล

นี่ก็คือพระราชจริยานุวัติอันงดงาม บริสุทธิ์ และปราศจากมลทินทั้งปวง ก็ด้วยทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรมและธรรมต่างๆในพระพุทธศาสนา ทรงประพฤติปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างอันดีงามเช่นนี้มาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ และต่อเนื่องจนตลอดรัชกาล

ถ้านักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน เพียงสำนึกในหน้าที่ของตัวเอง เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ก็เชื่อได้ว่า ประเทศไทยจะเป็นแผ่นดินที่มีความผาสุกที่สุดในโลก

ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สถานะของพระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศอยู่ก็จริง แต่ก็ถูกลดพระราชอำนาจลงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ไม่สามารถใช้อำนาจทางการปกครองด้วยพระองค์เอง รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา ใช้อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาล พระมหากษัตริย์จึงทรงอยู่เหนือการเมือง มีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษา ถ้าผู้ใช้อำนาจทั้ง ๓ นั้นต้องการคำปรึกษา

รัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับ ได้บัญญัติเกี่ยวกับสถานะของพระมหากษัตริย์เหมือนๆ กันว่า

พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้
ผู้ใดจะฟ้องร้องหรือกล่าวหาพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นศาสนูปภัมภก
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

ในรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์จึงเป็นเพียงสัญลักษณ์สูงสุดของประชาชน ซึ่งท่านพุททาสภิกขุได้แสดงปาฐกถาธรรมทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๓๐ มีความตอนหนึ่งว่า

“...เรามีหลักเกณฑ์ว่า ระบอบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือมีการเป็นผู้นำ แต่แล้วมันก็กระทบความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คือว่ารัฐธรรมนูญมิได้ถวายพระราชอำนาจในการเป็นผู้นำโดยประการทั้งปวง ยังควบคุมอยู่บางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สูญเสียการเป็นผู้นำ เพราะว่ามีการนำได้อีกหลายทาง หลายอย่างหลายประการ แม้จะไม่มีอำนาจทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีโอกาสที่จะนำในทางเศรษฐกิจ ในทางพัฒนา ในทางวัฒนธรรม ในทางการศึกษา อะไรๆ ซึ่งดีไปกว่าการเมืองซึ่งเป็นเรื่องหลอกลวง เรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ฟังดูให้ดีๆ ว่าการทำให้เกิดความถูกต้องในทางจิตใจในการดำเนินชีวิต นี่เป็นการนำในทางวิญญาณ เราทั้งหลายสามารถที่จะถวายโอกาส หรือทำให้เกิดโอกาส จนพระประมุขแห่งชาติสามารถจะนำได้อย่างเต็มที่ ครบถ้วนทุกอย่างที่จะทำให้เกิดความสุข ความเจริญ เราทั้งหลายสามารถทำให้เกิดโอกาสแก่การนำโอกาสนั้น ถวายแก่สมเด็จบรมบพิธพระราชสมภารแห่งประเทศไทย จะได้ทรงนำได้ตามพระราชประสงค์ พระราชประสงค์ใดล้วนแต่เป็นพระประสงค์ที่ดี ที่ถูกต้อง เราก็ถวายโอกาสแห่งการนำอันถูกต้อง และเราก็ถือโอกาสประพฤติตามอย่างถูกต้อง คือประพฤติตามพระองค์ในการบำเพ็ญทศพิธราชธรรม”

เป็นที่ประจักษ์แจ้งกันแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นที่รักเคารพและเทิดทูนสูงสุดของชาวไทย ทรงปฏิบัติธรรมซึ่งพุทธศาสนากำหนดไว้ว่า เป็นธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์โดยครบถ้วน อย่างจริงจังและสม่ำเสมอ เป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างให้พสกนิกรประพฤติตาม ทรงเข้าถึงประชาชนทั่วประเทศอย่างใกล้ชิด จนเกิดสถานะใหม่ของพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือไม่เหลือช่องว่างระหว่างกษัตริย์กับประชาชน เป็นความใกล้ชิดที่ผูกพันด้วยความรักภักดี เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์แห่งพระราชหฤทัย และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันประมาณมิได้

ตลอดรัชกาลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ แทบไม่เว้นแม้แต่ละวันที่เราได้รับรู้รับฟังที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ในการทรงงาน ทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม จนเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ในโลกนี้ยังมีพระมหากษัตริย์อยู่เพียงพระองค์เดียวที่ทรงทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อพสกนิกร ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ต้องทำ แต่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยด้วยพระองค์เองเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร์

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้เขียนเรื่อง “ตามเสด็จ ตอน..ท่องเที่ยวบรรเทาทุกข์” ลงในอนุสาร อ.ส.ท.ฉบับที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ มีความตอนหนึ่งว่า

“ทำไมพระองค์ถึงต้องทรงทุ่มเทและตรากตรำขนาดนั้น เหตุผลที่จะอธิบายนั้นมีอยู่มากมาย แต่เพื่อให้เกิดความเรียบง่ายชัดเจน จึงใคร่ขออัญเชิญพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้

“พระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้า ไม่พึงพอใจกับการที่เพียงแต่เยี่ยมเยียนราษฎร หรือเพียงแต่ทำสิ่งที่เคยทำกันเป็นประเพณี เราต้องพยายามดีกว่านั้น เราต้องพยายามช่วยรัฐบาลส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น เพราะเราเป็นประเทศด้อยพัฒนา ดังนั้นการแต่เพียงไปเยี่ยมราษฎร เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่ประมุขของประเทศจะต้องกระทำตามประเพณีนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ หากเราไม่สามารถมีส่วนร่วมในการบรรเทาทุกข์ยากของประชาชนแล้ว เราก็ต้องถือว่าการเป็นประมุขของประเทศประสบความล้มเหลว”

นี่คือ “พระเจ้าอยู่หัวของเรา” ซึ่งจะอยู่ในใจของประชาชนคนไทยไปตลอดชั่วนิรันดร






กำลังโหลดความคิดเห็น