xs
xsm
sm
md
lg

I.O. Brand และ HEXA “2 แบรนด์ไทย คุณภาพระดับโลก”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

จากด้วยความชอบโดยส่วนตัวของตัวเองบวกกับต้องการที่จะต่อยอดทางธุรกิจ นั่นจึงทำให้ลุกขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์จุดประสงค์นั้น นั่นจึงเป็นที่มาของแบรนด์เสื้อผ้า กับแบรนด์กระเป๋าและรองเท้า ของ รัชญา รุ่งฉัตรกมล เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า I.O.Brand เสื้อผ้าระดับพรีเมียม สวย หรูดูแพง ในราคาที่จับต้องได้ และ อนุตรา มหัทธนารักษ์ เจ้าของแบรนด์ HEXA จำหน่ายรองเท้าและกระเป๋าวีแกน ที่ตอบโจทย์ผู้หญิงทำงานสมัยใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการยอมรับจากแวดวงนักแสดงดีไซเนอร์ และ ลูกค้าต่างประเทศ ตามลำดับ

 • อยากให้ทั้งสองคนช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปของธุรกิจของแต่ละคนหน่อยครับ

รัชญา : คือด้วยความที่เราชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่นเป็นทุนเดิม ตั้งแต่สมัยเรียนก็ไปรับเสื้อผ้ามาขายจากตลาดนัด แล้วพอเป็นยุค 4 จี เริ่มมีขายออนไลน์ เราก็เริ่มที่จะรับมาและขายทางออนไลน์อย่างเดียว เราก็เริ่มหาช่องทาง ไปหาตลาดที่จีน แล้วท่องเที่ยวต่างประเทศ เราก็ไปดูว่าแต่ละที่นั้นเป็นยังไง ไปศึกษาหาช่องทาง แล้วพอเพื่อนรู้ว่าสนใจทางด้านนี้ เราก็ได้คุยกัน เพื่อนบอกว่ารู้จักโรงงาน รู้จักดีไซเนอร์นะ เลยได้มาเป็นเพื่อนกัน 4 คนเลย คือคนหนึ่งก็ทำงานที่โรงงานผลิตเสื้อผ้าอยู่แล้ว แล้วพอเราไปดูผลงานของโรงงานนี้ เรารู้สึกว่าการตัดของที่นี่ดีมาก แล้วเพื่อนที่เป็นดีไซเนอร์เขาก็ออกแบบเก่ง เขาก็จะออกแบบในรูปแบบที่ทันสมัย ก็เลยมาคุยกันว่าทำไมไม่มารวมตัวกันทำ เลยทำให้แบรนด์นี้เกิดขึ้นจากเพื่อน 4 คน โดย 1 คนมีประสบการณ์จากการผลิต ก็จะดูแลทางด้านการผลิต ตัดให้สวย คุณภาพให้ดี อีกคนก็จะเป็นดีไซเนอร์ แล้วอีกคนก็จะเป็นเรื่องของการดูแลร้าน ดูแลทั่วๆ ไป แล้วเราก็จะเป็นเรื่องการตลาด ดูสื่อโฆษณา ดูตามโลกออนไลน์ต่างๆ ซึ่งตอนนี้ก็มีทั้งหน้าร้านและออนไลน์ค่ะ ถ้าเป็นตัวร้านก็อยู่ที่ห้างแพลทินัม (ประตูน้ำ) ชั้นสอง ซอยออกซฟอร์ด 7

อย่างก่อนหน้านั้นก็ทำงานออฟฟิศก่อนอยู่แล้ว ขายเสื้อผ้าเป็นอาชีพเสริม ส่วนที่บ้านก็เป็นครอบครัวปกติธรรมดา ส่วนที่ว่าทำไมถึงมาขายเสื้อ จริงๆ มันเริ่มมาจากความชอบและหารายได้เสริม แล้วเราชอบขายของ ชอบพูดชอบบริการ แต่ระหว่างทางก็เคยไม่ประสบความสำเร็จมาก่อน รับมาขายก็มีสินค้ากองไว้ เปิดร้านมาก็เจ๊ง 2-3 ครั้ง เคยขายจำพวกลูกเล่นต่างๆ ด้วย เอามาปนๆ กันในร้าน แต่เราก็ยึดเสื้อผ้ามาตลอด อย่างตอนที่เจ๊งครั้งแรกก็ขายตามตลาดนัด ขนมาก็ขายไป แต่ตอนนั้นก้ไม่ได้มีหน้าร้าน จนครั้งที่ 2 มีหน้าร้าน...ก็เจ๊งอีก

อนุตรา : คือมันเริ่มมาจากที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับทำกระเป๋าหนังส่งออก เราก็ชอบงานเกี่ยวกับบริหารอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ทำงานสายครีเอทีฟรายการทีวีของเวิร์คพอยท์ ต่อมาก็มาทำเกี่ยวกับบริษัทต่างชาติด้านไอที จากนั้นก็เป็นบริษัททัวร์ จนสุดท้ายก็มาทำงานของที่บ้าน ตอนเป็นครีเอทีฟเราอาจจะพบว่าไม่ใช่ตัวเองด้วย เพราะว่าแต่ละคนที่ทำเขาเก่ง จบมาทางสายวิชาชีพโดยตรง แต่ช่วงเวลานั้นถือว่าสนุกมาก กว่าที่จะกลับมาที่บ้านได้ก็ใช้เวลานะคะ ไม่ใช่ว่าจบปุ๊บแล้วมาทำเลย

คือแบรนด์นี้มันเริ่มมาประมาณ 2 ปี เริ่มจากทำกระเป๋าหนังก่อน ไปเปิดตัวที่อังกฤษ ให้เพื่อนที่เป็นดีไซเนอร์มาช่วยออกแบบให้ แล้วหลังจากนั้นเราไปโรงฟอกบ่อย แล้วเราเห็นซากวัว แล้วเรารู้สึกว่าไม่อยากกิน เลยเปลี่ยนมากินอาหารทะเล ไม่กินเนื้อ กลายเป็นว่ารองเท้าและกระเป๋าแบรนด์นี้จะไม่ใช้หนังสัตว์ เป็นไมโครไฟเบอร์จากญี่ปุ่นค่ะ คือหนังที่เอามาใช้เป็นหนังที่ทำลูกบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ที่มีความแข็งแรงกว่าหนังปกติ 3 เท่า และเบากว่า อย่างรองเท้าบางรุ่นก็ทำมาจากยางรีไซเคิล แล้วพื้นรองเท้า ปกติมันจะไม่มีตัว waffle มันเป็นยางกันลื่น ที่ปักโลโก้ แล้วรายละเอียดของสินค้าเรา มันเป็นมิตรกับโลก คือสามารถใช้ได้หมดนะคะ ทั้งที่คนเป็น vegan หรือไม่ได้เป็น เพราะว่าเราเสนอสิ่งที่แตกต่างให้ มันเป็นนวัตกรรมใหม่แค่นั้นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนละกัน

 • แล้วเสื้อผ้านี่คือคอนเซปต์หวานซ่อนเปรี้ยวนี่คือความตั้งใจตั้งแต่แรกมั้ย

รัชญา : ใช่ค่ะ อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนพิถีพิถันในเรื่องการแต่งตัว แต่พอเวลาที่จะทำ ก็จะอยากทำแบบแนวพรีเมียม อยากจะให้มันดูดี แต่พอเราเห็นแบรนด์ทั่วๆ ไป ก็จะเห็นแต่ผ้าแบบพื้นเรียบๆ เราก็เลยคิดว่าอยากจะมีความแตกต่างจากแบรนด์อื่น เราก็หยิบผ้าลูกไม้ ผ้าปักลายหรือทอลายแบบนี้ เอามาทำแบบนี้ ให้มันดูหรู ให้มันดูแพง ทีนี้หลายคนมองว่า ผ้าลูกไม้หรือปักลายมันต้องหวาน แล้วเรากลัวว่าคนจะใส่ไม่เยอะ ไม่หลากหลาย เราเลยเพิ่มความเซ็กซี่ ความเปรี้ยวเข้าไปในชุดของเรา เลยเป็นคอนเซ็ปต์ที่ว่าหวานซ่อนเปรี้ยวนิดหนึ่ง คือดึงความหวานของผู้หญิงเนอะ ผู้หญิงเรามันก็มีความหวานอยู่ในตัวอยู่แล้ว เราก็จะดึงความหวานของผู้หญิงมา ก็จะมีหลากหลายรูปแบบ คือพอเรามองว่าหวาน ซึ่งเราก็ไม่ใช่มีแต่กระโปรงอย่างเดียว เราก็มีกางเกง กระโปรงจัมป์แบบสูทกระโปรงขาสั้นก็มี คือเรามีทุกรูปแบบ ก็จะได้ใส่หลากหลาย ส่วนกลุ่มลูกค้าจริงๆ คนทุกวัยก็ใส่ได้ เพราะว่าเราทำให้หกหลายช่วงอายุ อย่างชุดสีฟ้านี้ก็จะเน้นที่วัยทำงานนิดหนึ่ง หรืออย่างชุดที่นักเรียนนักศึกษาใส่ก็มี คือใส่ได้ทุกช่วงวัย 18 ก็ใส่ได้นะ

 • ในส่วนของกระเป๋าและรองเท้าของคุณทรายล่ะ มีกลุ่มเป้าหมายยังไงบ้าง

อนุตรา : ของเราจะเน้นตั้งแต่อายุ 28 จนถึง 50 คือเป็นวัยทำงาน แล้วคิดเลยว่าทำเป็น 3 รุ่น คือ ส้นสูง 1 นิ้ว ส้นเตี้ย 3 นิ้ว และส้นสูง 4 นิ้ว เอาไว้ออกงานกลางคืน แล้วคอลเลกชันแรกออกมาก็คือ ไม่ได้เป็นรองเท้าที่โดดเด่น แต่ต้องการเสริมชุด เพราะฉะนั้นสีที่ออกมาเป็นสีพื้น เพราะเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องใส่สีดำ อย่างสีใยเขียวทหารก็จะขายดีที่อเมริกา แบบเกวน สเตฟานี ที่เป็นนักร้อง ส่วนรุ่นต่อๆ ไป เราก็อาจจะเพิ่มสีลงไปเพิ่ม ในอนาคตอย่างสีชมพูที่โชว์เราเรียกว่ารุ่นซาฮารา คือเป็นสีนู้ดทะเลทรายซาฮารา

อย่างรองเท้าบางรุ่น เราจะมีการขึ้นรูปเอง ไม่ได้เป็นส้นเข็ม เพราะว่าถ้าผู้หญิงที่ไปเที่ยวแล้วใส่มันอาจจะทำให้ตกท่อ เดินลำบาก หรือไปในพื้นที่ทรายอาจจะทำให้เดินไม่สะดวก เราก็เลยทำแบบกว้างไปเลย แล้วการลงน้ำหนักเท้าบางทีก็มีความเสียงดัง เราก็เลยใช้เป็นยางเลย เรื่องความยืดหยุ่นเราก็มีการคิดเหมือนกันว่าเราต้องการรองเท้าที่ใส่แล้วมีลักษณะอย่างนี้นะ สามารถทำอะไรก็ได้ นั่นคือทำให้เป็นความต้องการของผู้หญิงทุกคนเหมือนกัน คือเราต้องดูว่าเราขายใคร แล้วเขาชอบอะไร แล้วบังเอิญว่าเราก็เป็นผู้หญิงแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนโฟมรองเท้าของเรา เราใช้แบบเดียวกับรองเท้ากีฬาดังๆ เขาใช้กัน มันก็เลยเป็นครั้งแรกของรองเท้าแบบนี้ที่ขอเรียกว่า รองเท้าส้นสูงไฮบริด ที่เป็นส่วนผสมของรองเท้ากีฬา มาใช้ในรองเท้าส้นสูง มันทำให้มีความเบา นุ่ม และรองรับการกระแทก ซึ่งราคาก็สมกับวัสดุที่เราเลือกมา ถ้าเป็นส้นสูง 4 นิ้ว จะอยู่ที่ 4799 บาท ส่วนส้น 3 นิ้ว จะราคาเท่ากัน และส้นเตี้ยจะอยู่ที่ 3,899 บาท แล้วของที่ได้รับจะเป็นถุงที่เก็บรองเท้าโดยเฉพาะเลย และมีถุงกันน้ำ สามารถไปใช้ทำอย่างอื่นได้

 • อย่างสินค้าตัวไหนที่ถือว่าขายดีที่สุด

รัชญา : ตอนนี้มีคอลเลกชันล่าสุดที่มีวางขายหน้าร้าน เป็นชุดที่ขายดี กระแสตอบรับดีมาก ลงหน้าร้าน 1 ชั่วโมง หมดค่ะ ชุดนี้ทำมา 5-6 สีแล้ว ทำมารีออเดอร์เรื่อยๆ แต่ว่าหมดเร็วมาก เพราะเป็นลายตรงหน้าอกที่เป็นซีทรู มีเจาะตรงใต้ฐาน แล้วมีการใส่บราเกาะอกธรรมดาเลย แล้วงานเราจะเน้นเรื่องความละเอียดของงาน เนื้อผ้าก็จะเป็นการทอขึ้นมาใหม่ แล้วคัดพิเศษเลย แถมราคาก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับคุณภาพ คือเราจะเน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลักที่สำคัญมากๆ

อย่างที่บอกว่าแบรนด์เราจะมีความหวาน ช่วงนี้ก็จะได้ลายดอกไม้เล็กๆ เนี่ยแหละค่ะ ส่วนราคาเฉลี่ยต่อชุดก็ไม่เกิน 2000 บาท หรือที่เป็นจัมป์ขาสั้น เราจะเน้นที่เป็นเนื้อผ้าที่ละเอียด งานเราก็จะค่อนข้างละเอียด เราจะพิถีพิถันในการเลือกผ้าและการตัดเย็บ หรืออย่างชุดขนนก ก็จะเป็นเทรนด์ที่กำลังมา หรือคอลเลกชันใหม่ที่เป็นสำหรับฤดูหนาว สามารถใส่ไปต่างประเทศได้ เราจะเน้นรายละเอียดของเนื้อผ้า มีลูกเล่น แล้วผ้าแบบ twist กำลังมา สาวไทยก็สามารถใส่ไปออฟฟิศได้ ไม่หนาเกินไป ใส่ไปต่างประเทศก็ได้ แล้วลายที่ปักก็ละเอียดมาก สำหรับสาวไทยก็จะเป็นผ้าที่ไม่หนามาก หรืออย่างบางรุ่นก็จะมีปักลายมาเสริม ถ้าเป็นแบรนด์อื่นก็จะเป็นสีเดียวกันหมด แต่นี่คือมีรายละเอียด แถมมีการออกแบบด้วยตัวเองด้วย ฉะนั้นก็จะไม่เหมือนใคร อีกทั้งเราก็พยายามที่จะเลือกผ้าที่แตกต่างด้วย และสั่งทอเองด้วย

 • แล้วในส่วนของรองเท้าละครับ มีรายละเอียดของสินค้าในแต่ละรุ่นยังไง

อนุตรา : อย่างรุ่นที่เป็น 1 นิ้ว จะเป็นรุ่นที่ใส่เดินง่ายมาก แล้วก็มีไมโครไฟเบอร์จากญี่ปุ่น แต่เป็นผ้ากระสอบของคนไทย กลายเป็นว่าค่อนข้างขายดี แล้วเป็นเทสต์ของอเมริกัน เพราะว่าเราออกแบบมาค่อนข้างลงตัว ขนาดชื่อรุ่นเรายังตั้งเป็น soho upper is size walktreat เราก็ตั้งตามผู้หญิงอเมริกันที่ทำงานในเมืองว่าเขาใส่อะไรกันบ้าง แล้วทุกรุ่นแทบจะขายดีหมดเลย อย่างสีเขียวลายทหาร คนไทยจะไม่ค่อยชอบนัก หรืออย่างลายม้าน้ำที่เป็นรุ่นที่ใส่ปกติ หรือพับส้นเหมือนกับรองเท้านักเรียนผู้ชายได้ ลายนี้ด้วยความที่ว่าเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ แล้วม้าน้ำตัวผู้เป็นฝ่ายที่ตั้งท้อง เลยสื่อว่าผู้หญิงทำงานสมัยใหม่ให้มันเป็นรายละเอียดเก๋ๆ แถมที่อเมริกาก็มีคนชอบ เนื่องจากผู้หญิงที่ผ่าตัดเป็นผู้ชาย แล้วเขาชอบรุ่นนี้มาก มันสื่อถึงตัวตนเขา หรืออย่างกระเป๋าก็สามารถถอดสายสะพายออกมาได้ ข้างในก็ใส่การ์ดต่างๆ ได้ ถ้าลูกค้าซื้อกระเป๋าของเรา เราก็มีกระเป๋าเล็กๆ ที่ใส่รายละเอียดต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง กุญแจรถยนต์

 • แน่นอนว่ากว่าที่จะมาประสบความสำเร็จได้ต้องผ่านอะไรต่างๆ มาเช่นกัน

รัชญา : เยอะเลยค่ะ จริงๆ ตอนที่ทำร้านแรกๆ ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ก็เริ่มเครียดกับยอดขาย คือการสร้างแบรนด์มันก็ไม่ง่าย เราต้องมีจุดแข็งของเรา ซึ่ง I.O. Brand ของเราคือ คุณภาพ เราเลยบอกเพื่อนๆ เลยว่าถ้าของเราดีจริงมันต้องไปได้ไกล อันนี้ก็แบบว่าให้กำลังใจกัน สักวันมันต้องไปได้ไกลกว่านี้ พยายามให้รักษาไว้ในทุกด้าน ก็พยายามทำออกมาเรื่อยๆ ซึ่งความโชคดีของเราคือด้วยที่สินค้าเราดี แล้วดีไซน์ของเราก็ไม่เหมือนใคร ที่สวยจนถูกใจสไตลิสต์ จนสามารถสู้กับแบรนด์ต่างๆ จนเอาไปใช้ในรายการทีวีช่องต่างๆ หรือ ละครทีวีเรื่องต่างๆ ก็มีเสื้อผ้าของเราอยู่ในเรื่อง แล้วพอเขาเอาไปใส่ก็เอาไปลงไอจีของเขาเอง เลยทำให้กระแสก็ดีตามไปด้วย อย่างที่บอกไปค่ะว่าขายชั่วโมงเดียวก็ขายหมดแล้ว ซึ่งเวลาที่จะทำอะไรเราเชื่อว่าขอให้อดทนนิดหนึ่ง และจุดแข็งของเราความโดดเด่น เราต้องตั้งเป้าหมายของเราว่าของเราดียังไง อย่างเราบอกเลยว่าเราอยากจะเป็นพรีเมียม อย่างเสื้อที่ขายในห้างแพลทินัม เสื้อตัวละ 100-200 ก็มี แต่เราจะต้องรักษาระดับของเราต่อ เพราะว่าจะมีกลุ่มลูกค้าที่ยอมเสียเงิน เพื่อที่จะได้ของที่คุ้มค่าที่สุดต่อไป

อนุตรา : เราก็ผ่านจุดที่ขึ้นลงตลอดเวลาว่า ตกลงเราคืออะไร เพราะการทำแบรนด์มันคือว่า แบรนด์คือตัวเรา รองเท้ายี่ห้อนี้มันคือตัวทรายและหุ้นส่วน มันคือตัวตนของเรา แล้วพอรองเท้าของเรามีจุดขายแล้ว มันเป็นเรื่องของหนทางว่าเราจะไปเจอใคร เราจะทำยังไงเพื่อที่จะไปในจุดนั้น แต่เราต้องมั่นใจว่าคุณภาพของเรามันดีจริง ลูกค้าบ่นมา เราเปลี่ยนให้ทันที คือมันเหมือนกับผลตอบรับกับเรามาก ถ้าเขาบอกว่าไม่ดี เราต้องปรับปรุงเลย ใส่ใจความรู้สึกของลูกค้า ส่วนการที่ได้ไปต่างประเทศ เราคิดว่าจะต้องเป็นคนที่เปิดรับทางเลือกว่าเขามีงานกันที่ไหน แล้วเขาทำอะไรกันอยู่ แล้วเขาไปยังไง เราต้องเป็นผู้ฟังที่ต้องรับฟังที่คนอื่นพูด มันถึงจะไปได้ แล้วการทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน และฟังว่าเขาทำไปถึงไหน แล้วเขามีอะไรแนะนำ เราก็เก็บทุกเม็ดค่ะ




กำลังโหลดความคิดเห็น