xs
xsm
sm
md
lg

บุกถ้ำความคิด “มนุษย์ถ้ำ 2018” ชีวิตเสรีที่สุขเลือกได้!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เกิดกระแสการแชร์และส่งต่อถึงเรื่องราว ชายผมยาวประบ่าสยาย สวมใส่อาภรณ์เพียงกางเกงเลหนึ่งชิ้น พร้อมกับใช้เพิงพักอาศัยทำจากแผ่นเศษไม้เรียงต่อกันอย่างเรียบง่าย ภายใต้ร่มไม้และธรรมชาติริมทะเลของเกาะพะงัน จนเป็นที่แปลกตาและสนใจของชาวต่างชาติทั้งชายหญิงผู้หลงรักธรรมชาติ และผู้ที่ไม่ชื่นชอบวิถีความสุขในไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนเมือง

‘มนุษย์ถ้ำ 2018’ นับว่าเป็นภาพแรกๆ ที่ทำให้เราสนอกสนใจในตัวของ จตุรภูมิ โลศิริ หรือว่า ทูลหนุ่มใหญ่วัยกลางคนอายุ 48 ปี อดีตศิลปินจิตรกรอิสระจากกรุงเทพมหานคร ที่ปลีกวิเวกจากไออุ่นบ้านเรือนนอนมาอยู่กับดินกินกับทราย เมื่อบวกกับเรื่องราวกว่า 20 ปี ที่ออกค้นหาความหมายของชีวิตเดินทางโดยใช้ศิลปะหล่อเลี้ยงชีพอย่างเรียบง่ายโดยที่เต็มไปด้วยความสุขจากทั้งใบหน้าและท่าทาง ยิ่งจูงใจให้เราก้าวเข้าไปเพื่อสนทนาด้วย
 
โปรดอย่าคาดหวังเรื่องราวที่สดสวยร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะชีวิตย่อมแตกต่างและไม่เหมือนกัน
บางเรื่องอาจจะพอใจ...บางเรื่องอาจจะขัดใจ
แต่เมื่อมีชีวิตแล้ว ได้ใช้ชีวิตในวิถีทางของตนอย่างภาคภูมิ
นั่นอาจจะสำคัญที่สุดแล้วสำหรับใครสักคนหนึ่ง

(1)
สุขทุกข์ที่จิต-ความคิดกำหนด
อยู่ที่เรากำหนดความหมายของชีวิต

“แรกเริ่มเดิมที่ผมก็เป็นเหมือนปุถุชนคนทั่วไป เกิดและเติบโตที่กรุงเทพฯ เรียนชั้นมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบฯ และจบการศึกษาปริญญาตรี คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กระทั่งจบการศึกษาได้เข้าทำงานเกี่ยวกับกองถ่ายภาพยนตร์และโฆษณา”
 
หนุ่มใหญ่กลางคนวัย 48 ปี ผิวสองสี เล่าอย่างสบายๆ ในขณะที่เสยเผ้าผมให้สยายปลิวไปตามธรรมชาติเช่นเดียวกับชีวิตของเขาในตอนนี้
 
“ทำได้ประมาณ 1 ปี ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรหลายๆ อย่างขาดไป มันรู้สึกว่าไม่ใช่ มันมีสิ่งที่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้ และก็บวกกับตอนนั้นรู้สึกเบื่อกรุงเทพฯ ไลฟ์ไสตล์ก็ดี มันอึดอัดมีแต่รถติด โซลูชันเอย เต็มไปด้วยมลพิษ สังคมก็เร่งรีบ แล้วทุกคนก็ทำงานงกๆ แต่ไม่เห็นมีใครจะมีความสุขกันเลย ผมทำงานมีเงินพอใช้สำหรับชีวิตประจำวันอย่างที่เรียกว่าเหลือเฟือ แต่มันก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหาย
 
“ไม่ใช่เป้าเรา มันรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่”
 
เขาเล่าก่อนจะเสริมต่อของข้อติดของชีวิตที่พลิกให้กระโจนทะยานออกเดินทางหาในสิ่งที่ขาดและค้นความหมายของชีวิตที่ว่า
 
“ก็ไปตระเวนวาดรูป เดินทางไปตามจังหวัดต่างๆ แล้วก็เขียนวาดภาพเหมือนลักษณะแบบเดียวกับที่เราเห็นตามตลาดนัดสมัยนี้ แลกเพื่อที่จะให้มีค่าครองชีพ (ยิ้ม) ไปหมด ไปต่างประเทศ อย่างประเทศเวียดนามก็เคยไป จนกระทั่งไปค้นพบอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ช่วงนั้นยังไม่ดัง เป็นสวรรค์ของทุกคน ณ ตอนนั้นมันเป็นที่ที่ธรรมชาติที่ยังสวยงามและก็เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีพวกฮิปปี้ฝรั่งมาอยู่มาใช้ชีวิตกันนานๆ มันก็เข้าทางผม ผมก็หลงรักปาย ใช้ชีวิตอยู่นั้นถึง 13 ปี มีครอบครัวกับอดีตภรรยาชาวแคนาดา มีลูกด้วยกัน 1 คน มีบ้านมีที่ดิน ทำงานศิลปะและเล่นดนตรีกับเพื่อนฝูง

“ก็มีโอกาสได้รับการชักชวนจากเพื่อนให้ลงมาเที่ยวที่เกาะพะงัน เราก็แบกเครื่องดนตรีลงมาเที่ยวด้วยเพื่อที่จะมาแจมกับพวกเขา พอกลับมาปายไม่นานเพื่อนนักดนตรีที่ด้วยมิตรภาพที่ดีก็ชักชวนทำวง ก็ตกลงปลงใจตั้งวงเล่นดนตรีกันอย่างจริงจัง เราอิ่มตัวกับการอยู่ที่ปายพอดีก็ลงมาเล่นดนตรีกับพวกเขา เช่าบ้านจะปักหลักอยู่ที่นี่ แต่ก็ทำกันได้สักระยะหนึ่งวงก็แตกไปตามวาระของมัน”
 
ความสวยงามและธรรมชาติของเกาะพะงัน เมื่อบวกกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนหัวสมัยใหม่จากต่างชาติแดนไกลกำลังอยู่ในช่วงที่โลกให้การยอมรับ นับเป็นความสุขแม้ภายใต้บ้านเช่าเรือนหลังเล็ก จตุรภูมิจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อแม้ว่ารายได้ทุนรอนที่มีจะขาดมือก็ตาม
 
“ไม่สนใจว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน มีงานหรือไม่มีงาน” เขาเผยด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าเป็นการยืนยันถึงถนนทางเลือกชีวิต เราจะใช้ชีวิตให้สนุก เพราะเราเริ่มจากความสนุก ไม่ดิ้นรนไปหางาน ไม่ดิ้นรนไปตั้งวงใหม่ ไม่ทำอะไรนอกจากจะใช้ชีวิตให้สนุก
 
ก็ไปเอาเต็นท์ไปกางในป่าริมน้ำตก เป็นช่วงระยะเวลาที่มีความสุขมาก จิตใจเริ่มแข็งแรง มีความเบิกบาน ได้อยู่กับตัวเอง ได้นั่งสมาธิ ได้ศึกษาเรื่องของการมีตัวตนของเราหรือที่บ้านเราเรียกว่าจิตวิญญาณ อาทิ Ask and it is given และ The law of attraction ของ Abraham Hicks หรือนักวิทยาศาสตร์ ดร.Joe Dispenza คุณ Gregg Braden
 
คือเรื่องพลังความรู้สึก หรือที่เรียกว่าพลังใต้สำนึกมันสามารถดึงดูดโลกแห่งวัตถุ หรือว่าสิ่งที่เราต้องการหรือสถานการณ์เข้ามาได้โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไปหามัน ทีนี้เวลาที่หิวข้าวก็แบกกระดานวาดรูปขึ้นไป แล้วก็ไปเขียนภาพแลกข้าว แลกกาแฟ พาสาวไปกินข้าวเย็น ผมก็เขียนภาพแลก
 
เป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็มๆ ที่ใช้ชีวิตแบบนั้น กระทั่งหลังจากนั้นจะได้รับการติดต่อจากทางเพื่อนฝรั่งที่อำเภอปาย โทร.มาหาว่ามีคนสนใจอยากจะซื้อที่ดิน ภายหลังติดต่อซื้อขายเป็นที่เรียบร้อย จตุรภูมิก็เริ่มลงมือสานต่อความสุขการท่องเที่ยวอันเป็นความฝันอีกอย่างหนึ่งทันทีพร้อมกับบิ๊กไบค์สองล้อคู่ใจ
 
“นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นมนุษย์ถ้ำอย่างแท้จริงหลังจากนี้ เพราะหลังจากขายบ้านกับที่ดิน ผมมีความฝันอีกอย่างหนึ่งคืออยากจะขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว ผมก็เลยเอาตังค์ส่วนหนึ่งที่เหลือจากการแบ่งให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง อดีตภรรยาชาวแคนาดาและลูกไปซื้อบิ๊กไบค์ 500 cc มาขับ และเดินทางกลับมาอยู่ที่เกาะพะงัน เช่าบ้านอยู่และก็ท่องเที่ยว”

“ทำอย่างนั้นจนกระทั่งเงินใกล้จะหมดอีกแล้ว (ยิ้ม) ผมก็ใช้หลักการเดิม ผมจะไม่ดิ้นรนหางานหรือเงินเพื่อจะให้มีความสุข แต่จะทำให้มีความสุขอย่างสิ่งที่มันมี เท่าที่เรามีอยู่ ไม่สนใจว่าเงินเราจะน้อยหรือจะเยอะ ทำใจให้ได้ตรงนั้นก่อน ก็นึกขึ้นได้ว่าเราเคยเห็นถ้ำตรงนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทุกอย่างมันดีไปหมด บรรยากาศเอย ความสุขสงบเอย ก็เลยตัดสินใจมาอยู่ ด้วยความสนุกสนานกับมัน

สนุกกับการตกแต่งถ้ำด้วยมุมมองของศิลปะของเรา เอาทุ่นที่ผูกกับเรือประมงที่หลุดลอยมาติดชายหาด เอาซากปะการังที่แตกหัก เอาเปลือกหอย ขนก้อนหินมาปูพื้น แต่งมุมที่นอน ปั้นเตาเครื่องใช้ครัวเอง ทำงานศิลปะที่มีการว่าจ้าง ร้อยบ้าง เกือบแสนบ้าง สนุกนั่งสมาธิ อยู่กับตัวตนของตัวเอง สนุกกับการทำโน่นนี่ในวิถีทางของความสุขของเรา”

(2)
สำคัญที่ ‘เห็น’
สำคัญที่ ‘เป็น’
 
“ตอนนี้ก็จะครบปีแล้ว อยู่ที่นี่มาได้ 7-8 เดือน แต่ไม่ได้จะติดอยู่ถาวร คือเรายังสนุกกับตรงนี้อยู่” จตุรภูมิกล่าวย้ำ ก่อนจะปล่อยให้เรายิงคำถามหลังจากลัดเลาะชีวิตจุดเริ่มต้นของการเป็นมนุษย์ถ้ำถึงชีวิตความต่างและมุมมองที่ได้รับ
 
• ความแตกต่างของชีวิตในแบบแผนนี้เป็นอย่างไรบ้างหลังจากได้สัมผัสมาระยะเวลาหนึ่ง
 
เยอะมาก…ผมได้เรียนรู้ถึงว่าด้วยความคิดจิตใจของเราเวลาเราคิดมันจะเป็นคลื่น เหมือนคลื่นวิทยุ เพราะฉะนั้นพอเราคิดอะไรมันก็จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามา อย่างเช่นว่าถ้าเรากลัว ยกตัวอย่าง ‘งู’ คนที่กลัวงูก็จะเจอ ‘งู’ บ่อยมาก เพราะว่าไอ้ความกลัวเหล้านั้นมันดึงดูด เราก็เป็นความคิดชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากคนที่คิดว่าตัวเองโชคดี โชคดีจังเลย เจออีกแล้วและก็เจออีกแล้ว นั้นแหละที่เราสร้างโลกของเราเองด้วยพลังความคิดล้วนๆ กับพลังจิตใจ ฉะนั้นผมก็มุ่งเน้นในทางนี้ ผมก็ไม่ดิ้นรนวิ่งไปหางาน จะไม่อะไรนอกจากผมดึงให้รายได้ให้งานมาหาผมเอง จากวิธีคิดจิตที่เป็นบวกและผมสนุกกับมัน พอสนุกกับมันแล้วชีวิตมันอุดมสมบูรณ์

• เป็นจริงอย่างนั้นไม่ใช่ว่าคิดไปเองใช่หรือไม่

คือช่วงที่ผมพิสูจน์คือตอนที่กางเต็นท์อยู่ที่น้ำตก ผมบอกจิตบอกกับตัวเองว่าจะกลับไปปายก็ต่อเมื่อกลับไปขายที่ดินและบ้านเท่านั้น หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ เพื่อนผมโทร.มาบอกว่ามีคนต้องการอยากจะซื้อบ้านและที่ดินของผม คือเรื่องตรงนี้อย่างที่บอกไป เท่าที่ศึกษามาว่าพลังความคิด พลังความรู้สึก หรือที่เรียกว่าพลังใต้สำนึก มันสามารถดึงดูดโลกแห่งวัตถุหรือว่าสิ่งที่เราต้องการหรือสถานการณ์นั้นเข้ามาได้โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไปหามัน ตรงนี้มันก็ยิ่งทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่ามันได้ผลที่เราศึกษามา ผมก็รู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิตแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ผมได้ศึกษา
 
• ไม่ได้หลีกหนี หรือต่อต้านสังคมวัตถุ
 
ไม่ได้หลีกหนี และไม่ได้ต่อต้านสังคมวัตถุเลย ผมชอบวัตถุ ชอบความเป็นวัตถุหมด ชอบความสะดวกสบายของร่างกายเหมือนกัน ไม่ต่อต้านเลย แต่ว่าสภาพแวดล้อมของกรุงเทพฯ และวิถีชีวิตการทำงาน ไปเช้าทำงาน เย็นกลับห้อง ทำซ้ำๆๆๆ เหมือนกันทุกวัน ผมไม่รู้สึกว่ามันมีการเติบโตอะไรในชีวิตหรือว่าทางจิตใจของเรา
 
• แล้วส่วนตัวเรามองชีวิตและจิตใจอย่างไร มุมมองการมีชีวิตของเราเป็นแบบไหน
 
ก็คือว่าความสุขไม่ได้เกิดจากความดิ้นรนหาวัตถุภายนอก ถ้าคุณต้องการเงิน แล้วไปคิดว่าต้องทำงานหนักเพื่อดิ้นรนหาเงินมาแล้วถึงจะมีความสุข อันนั้นไม่ใช่วิธีการคิดของผม แต่การต้องการเงิน ผมก็มี แต่วิธีของผมคือเงินจะมาจากการที่เราทำจิตใจให้สนุกมีความสุขก่อน แล้วให้เงินมันวิ่งเข้ามาหาเราเอง
 
ชีวิตมันจะมีชีวิตมากกว่านั้น เพราะคือหนึ่งคุณมีความสุขแล้วคุณสนุกแล้ว ถึงจะเดินไม่ถึงเป้าหมายก็ตาม แต่คุณไม่ได้เสียอะไร คุณสนุกแล้ว แต่ถ้าดิ้นรนเครียดกับการทำงาน เครียดพอถึงเป้าหมาย เราติดนิสัยเครียด ยุคนี้เป็นกันเยอะ ทำงานจนรวย แต่พอรวยจากการทำงานนั้นคุณก็ยังเครียดอยู่ แถมบางคนยังป่วยจากการทำเพื่อแลกตรงนั้น คุณก็ไม่มีความสุขอยู่ดี มันก็ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงที่คุณต้องการในความสุขนั้น
 
และเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะทำในชีวิต คือคนเรามนุษย์หรือว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้เท่าที่ศึกษาหรือทางพระศาสนาเอง ตัวตนที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่เนื้อหนังมังสา ตัวตนที่แท้จริงของเราคือ ‘จิตวิญาณ’ ในทางพุทธที่เรารู้จักกัน หรือว่าในทางวิทยาศาสตร์ที่เราเรียกว่า ‘พลังงาน’ ก็คือตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นพลังงานแล้วก็เชื่อมต่อกับพลังงานที่สร้างทุกสิ่งขึ้นมาแล้วเราก็สามารถสื่อสารกับพลังงานตรงนี้ได้ นั่นคือ ‘พลังงานต้นกำเนิด’

• คิดสิ่งใดทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นความหมายเดียวกันหรือไม่
 
ความหมายเดียวกัน คิดดีได้ดี คิดชั่วได้ชั่ว และคำว่าชั่วหรือดี ตีความไปแล้วอย่างดีจริงๆ ก็เรียกว่าคิดบวก คิดแล้วมีความสุข คิดแล้วมีความสุขคุณจะดึงดูดเหตุการณ์สถานการณ์ที่มีความสุขเข้ามาโดยที่คุณไม่ต้องดิ้นรนไปหามา แต่ในทางพลังต้นกำเนิด เราคือส่วนหนึ่งของพลังงานต้นกำเนิด เราเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่นโดยที่แยกจากกันไม่ได้ โดยที่กฎของมันคือว่า ถ้าคุณปล่อยพลังงานทางบวกออกไป คุณก็จะได้รับสิ่งที่เป็นบวกกลับมา ถ้าคุณปล่อยพลังงานทางลบออกไป คุณก็จะได้สิ่งที่ลบกลับมาเสมอ ฉะนั้น คุณคือผู้สร้าง คุณไม่ได้ถูกสร้างเท่านั้น คุณคือผู้สร้างได้ ทุกสรรพสิ่ง คุณคือผู้สร้างชีวิตของตัวคุณเอง แต่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึงความสุข เกิดจากเขาเริ่มต้นในอีกเส้นทาง อยากมีเงินให้ชีวิตสบาย ทำงานหนักเลยกดดันตัวเอง เราเริ่มต้นด้วยความทุกข์ เราปิดกั้นทำให้เรามีความคิดทางลบหรือช่วงที่เราเป็นทุกข์ คิดลบ คิดอิจฉาริษยา อันนี้มันจิตกั้นพลังงานทางบวกที่จะเชื่อมต่อ แล้วต้นทางเดินทางด้วยความทุกข์ปลายทางมันจะสุขอย่างไร
เหตุและผลต้องสมสัดส่วน
 
คนเราเข้าใจผิด รวมทั้งผมแต่ก่อนด้วย เรื่องคำว่าเหตุและผลในตรงนี้ ถ้ามีเหตุจะมีผลตามมา คนส่วนใหญ่คิดว่าการเคร่งเครียดการดิ้นรนขวนขวายเป็นเหตุให้ได้ผล ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น คุณต้องการเงินสักก้อนหนึ่งเป็นก้อนใหญ่เลย แล้วก็เหตุของที่จะได้เงินมานั้นคือการดิ้นรน ขวนขวาย ทำงานหนัก เคร่งเครียด และจะได้ผลลัพธ์เป็นเงินซึ่งเป็นความสุข และหวังว่าเงินจะทำอะไรมีความสุขทั้งหมด จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ต้องการเงิน คุณคิดว่าเงินจะให้ความสุขคุณต่างหาก
 
ทีนี้ต้นเหตุจริงๆ คุณคิดว่าเงินเป็นเหตุแล้วความสุขเป็นผล คือมีเงินก่อนแล้วจะมีความสุข แต่จริงๆ ในกฎแห่งจักรวาลมันไม่ใช่ คุณมีความสุขก่อน และเงินมันจะเข้ามาหา เมื่อสุขคุณจะมีแรงคุณจะแข็งขันทักษะต่างๆ จากสิ่งที่คุณชื่นชอบจะนำสิ่งเหล่านั้นมา เราถูกกรอบตรงนี้ยึดและบอกเราว่าชีวิตแบบนี้คือความสุข

• มองโลกแบบนี้คิดอย่างนี้มากน้อยแค่ไหนกับการถูกหาว่าบ้า
 
น่าจะนับไม่ถ้วน แต่ผมว่ามันไม่สำคัญอะไร ทุกคนก็มีสิทธิ์คิด ใครอยากจะคิดอะไรก็คิด แต่เป็นเราในแบบเรามันตอบโจทย์เรา มันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อมันและเชื่อถือ เรามีความสุขของเรา ไม่มีใครไม่รักตัวเราเอง เราอยากมีความสุข เราก็ทำตัวเราให้มีความสุข คือหากคุณคิดหรือกังวลว่าใครจะมองว่าบ้าหรือเปล่า คุณก็ยังไม่เป็นผู้สร้าง เป็นตัวคุณอย่างแท้จริง

(3)
ฝั่งฝันบั้นปลาย
หมุดหมายที่แต่ละคนจะเลือกพบ

“ทุกวันนี้ความสุข-ความทุกข์มันก็มีปนกันเข้ามาตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ เนื่องจากไม่ได้ถึงขั้นตรัสรู้หรือนิพพาน ฉะนั้นผมก็ยังมีกิเลสอยู่ มันก็ยังมีความทุกข์อยู่บ้าง มีความคิดทางลบอยู่บ้าง แต่ผมพยายามไม่ให้มันครอบงำผม แต่สิ่งที่ได้รับมาคือความมั่นใจในการใช้วิถีชีวิตแบบนี้ เราไม่ใช่เป็นผู้ที่ถูกสังคมกำหนด ไม่ใช่เป็นผู้ที่ถูกสิ่งรอบข้างสร้างเราขึ้นมา แต่เราเป็นผู้สร้างสิ่งที่อยากให้มาอยู่รอบตัวเรา”
 
จตุรภูมิเผยพร้อมทอดสายตายาวไกลออกไปที่สุดขอบโค้งทะเลอันไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกับโปรยประโยคคำถามในคราเดียวกันกับเสียงคลื่นของความไม่แน่นอนและถ่องแท้สำหรับชีวิตของแต่ละคนที่หมุดหมายเดียวกัน...หากต่างต้นทาง
 
“คือเราสร้างด้วยวิธีไหน ความสุขของเรา เราสร้างด้วยการที่เรามีจิตใจที่มีความสุขเบิกบานก่อน ง่ายๆ คนที่มีความทุกข์ โมโห ใครอยากจะอยู่ใกล้ ใครอยากจะทำงาน ใครอยากจะคุยด้วย กับอีกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริง ใครๆ ก็อยากจะคุยด้วย อยากอยู่ใกล้ อยากร่วมกับเรา แต่อาจจะถูกมองว่าบ้า (ยิ้ม)
 
“ทั้งๆ ที่ คนเราถ้ามีความสุขก่อน เขาไม่ทำร้ายใคร คนที่มีเงินร้อยล้านจะไปปล้นไหม ยกเว้นมีเงินร้อยล้านแต่ไม่มีความสุข อันนี้ก็เห็นว่าปล้นกันอีกไม่หยุดหย่อน มีถมถืด แต่คนที่มีความสุขไม่ทำร้ายใคร เขาคงไม่เอาความทุกข์ไปให้ใคร เพราะเขาอิ่มแล้ว คนที่ทำร้ายกันเพราะเขายังไม่มีความสุข เพราะเขายังไม่เข้าใจวิธีคิด เขาไม่ได้เป็นคนเลว แต่ยังไม่เข้าใจวิธีคิด

“นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องการเดินทาง การมาอยู่ถ้ำ ไม่ได้อยากจะเป็นฤๅษีตัดโลกภายนอก รู้สึกตัวเองเป็นเพลย์บอยด้วยซ้ำ เป็นเพลย์บอยที่ศึกษาชีวิต จิตวิญญาณ รักธรรมชาติ ยังสนุกในการเรียนรู้และบำรุงให้มันแข็งแรงขึ้น แต่เป็นเพราะว่าผมรักโลกภายนอกมาก ผมเลยต้องบำรุงโลกภายในก่อน เพราะว่าโลกภายในดึงดูดโลกภายนอกมาหาผม ถ้าโลกภายในเราอ่อนแอ โลกภายนอกเราก็อ่อนแอ ก็พยายามจะให้แข็งแรงขึ้น เหมือนกับว่าผมข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง ตอนนี้ผมก็คิดว่าขาของผมแข็งแรงทรงตัวในน้ำได้ดีขึ้นกว่าก่อนช่วงที่เริ่มข้ามใหม่ๆ การสะดุดก้อนหินอะไรก็น้อยลง แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะถึงอีกฝั่งหนึ่ง... แต่ผมก็รู้ว่าผมเดินได้ง่ายขึ้น”




เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : the cave man 2018



กำลังโหลดความคิดเห็น