ในแต่ละวัน เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน การทำงานเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นเรื่องปวดหัว ทั้งจากบริษัท ลูกค้า เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งจากตัวเราเอง สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกอยู่กับมันแบบไหน แบบเหนื่อยๆ หรือเหนือๆ
แต่การพูดตรงนี้ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงกว่าจะผ่านตรงจุดนั้นกันมาได้ไม่ง่ายเลย ทั้งเรื่องใจ และเรื่องฝีมือ ...
เราพาไปทำความรู้จักกับเพจหนึ่งซึ่งจะว่าไปในด้านหนึ่งก็เหมือนกับเพื่อนของ “มนุษย์เงินเดือน” ทุกๆ คนที่ดิ้นรนและวนเวียนอยู่ในโลกของการทำงาน โดยการสกัดกลั่นเอาประสบการณ์และเรื่องราวในโลกใบนั้นมานำเสนอผ่านการ์ตูนตัวปลาวาฬและถ้อยคำขำๆ อำๆ ล้อๆ ความเป็นไปในวิถีของคนทำงาน เป็นที่ถูกอกถูกใจมนุษย์เงินเดือน จนกระทั่งนำไปสู่การรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือพ็อกเกตบุ๊กชื่อเดียวกับเพจปลาวาฬไม่ไปทำงาน
จุดเริ่มต้นในการเพจมาจากชีวิตส่วนตัวที่เจอปัญหาในที่ทำงานใช่ไหม
พูดจริงๆ ผมคิดว่าแทบทุกคนเจอปัญหาในการทำงานทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองแบบไหน หรือจะแสดงออกอย่างไร ถ้าเอามาเป็นเรื่องหนักใจ มันก็หนักใจ ถ้ามองเป็นเรื่องตลก เราก็จะมีเรื่องตลกได้ทุกวันเลย ก็เลยคิดว่า พูดเนื้อหาการทำงานในแบบตลกๆ ผ่านตัวปลาวาฬนี้น่าจะสนุกและชวนติดตามดีเหมือนกันนะ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นครับ
ทำไมเนื้อหาของเพจถึงเกี่ยวกับเรื่องงาน
เพราะเราอยู่ใกล้ชิดกับงานมากที่สุดล่ะมั้ง (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าถ้าทำเพจเรื่องงาน น่าจะมีเรื่องเขียนได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากนัก และง่ายที่จะแชร์ให้เพื่อนๆ ที่รู้สึกอะไรทำนองนี้คล้ายๆ กัน ทีนี้พอดีว่าวาดรูปปลาวาฬไว้ตัวหนึ่งแล้วดูน่ารักดี ก็เลยคิดว่างั้นเอามาใช้ในเพจดีกว่าจะได้มีคาแรกเตอร์น่ารักๆ เข้ามา เลยกลายเป็น “ปลาวาฬไม่ไปทำงาน” แล้วกัน ตลกดี (หัวเราะ)
ในฐานะที่ทำงานด้าน HR และเจ้าของเพจปลาวาฬไม่ไปทำงาน ปัญหาหลักๆ ที่คนทำงานมักเจอะเจอคือเรื่องอะไร
ปัญหาที่หลายๆ คนน่าจะได้เจอในวงจรการทำงานคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์นะครับ กับบริษัท ลูกค้า เจ้านาย หรือกระทั่งตัวเอง ที่มาจากการปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ชอบที่เขาทำงานแบบนั้น ไม่ชอบที่บริษัททำแบบนี้ รู้สึกไม่ยุติธรรม งานหนัก เพื่อนร่วมงานไม่โอเค หรือเจ้านายลำเอียง หรือแม้แต่เรื่องที่มาจากตัวเอง เช่น ความเข้าใจไปเอง ซึ่งผมเองก็มีปัญหาแบบนี้บ่อย ที่เอาจริงๆ มันเกิดจากเราเองนี่แหละ
Mind Set มีผลต่อการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน
ถ้า Mind Set หมายถึงชุดความคิด ก็ต้องตอบว่ามีผล ถ้าปรับเปลี่ยนไม่ได้เลย มันจะเป็นกรอบเหมือนคอกล้อมให้เราวิ่งวนๆ อยู่ หาทางออกคิดแบบอื่นยาก เหมือนถามอะไรก็ได้คำตอบแบบเดิม เช่น คนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้หรอก หลายๆ ครั้งที่ให้ทำอะไร เขาก็จะคิดว่าทำไม่ได้ เพราะฉันไม่เก่ง แล้วพอลองทำก็ทำไม่ได้จริง เขาก็จะเหมือนเก็บแต้มว่าฉันทำไม่ได้ และเลือกทำแต่เรื่องเดิม วิธีเดิม พอถึงวันหนึ่งที่บริษัทไม่ได้ต้องการวิธีนั้นแล้ว...จะทำอย่างไร
ช่วยเล่าประสบการณ์การแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยน Mind Set ที่เคยพบเห็น
มีตัวอย่างหนึ่ง คนหนึ่งถามว่าทำไมไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งๆ ที่เขาทำงานนี้ได้ดี จริงๆ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าทำงานปัจจุบันได้ดี แต่เราต้องแสดงให้เขาเห็นด้วยว่าทำงานตำแหน่งที่สูงกว่านั้นได้ด้วย แล้วเราพัฒนาตัวเองได้แล้วหรือยัง มากกว่าที่จะบอกว่าไม่โต ทีนี้ถ้าอยู่ตรงนี้ไม่โตก็ไปอยู่ที่อื่นได้ ถ้าเราพัฒนาตัวเองได้มากพอ จะไปที่ไหนก็ได้
เป้าหมายของการพัฒนาตัวเอง จำเป็นไหมว่าต้องไต่เต้าเป็นระดับหัวหน้าในองค์กร
ความจริงแล้วเป็นเรื่องของแต่ละคนนะครับที่จะต้องตอบตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร เป็นหัวหน้าหรือเปล่า หรืออยากมีเงินมากๆ หรือได้ทำสิ่งที่รัก หรือแม้แต่ว่าอยากทำงานเดิม ถ้าเป็นหัวหน้าแล้วไม่สนุก ก็ไม่ต้องอยากเป็น แต่นั่นล่ะครับ ถ้าจะทำงานในองค์กร ในบริษัท เราเองก็ต้องอยู่ให้เป็น บริษัทเขาต้องการผลงาน เขาไม่ได้ให้เรามาเดินสวยๆ ไปวันๆ จริงไหม มันหนีไม่พ้นเรื่องผลงาน
และตลกร้ายคือ ต่อให้อยู่อย่างเดิม แต่ก็ทำเหมือนเดิมไม่ได้ อย่างที่รู้กันว่าอะไรๆ เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำเหมือนเดิมในปีนี้อาจจะไม่มีกำไรเหมือนปีที่แล้วก็ได้ เพราะอย่างนั้นเราต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองตลอด ยิ่งสมัยนี้เราเรียนได้แทบทุกอย่างจากอินเทอร์เน็ต หรือใกล้ตัวกว่านั้นจากเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน จากน้องๆ ผมว่าความรู้มีไว้ไม่เสียหายอะไร
“การพัฒนาที่แท้จริง” คืออะไรยังไงในความคิดของเรา
สำหรับผมคงเป็นการพัฒนาเพื่อที่จะพัฒนาได้อีก ก็คือไม่หยุดพัฒนา... ตรงนี้มันคงต้องเปิดใจมากอยู่ แถมเปิดหูด้วยว่าโลกไปถึงไหน จะได้รู้ทันโลก มากกว่านั้น ต้องรู้ทันใจตัวเองด้วย เพื่อจะรับมือกับอะไรๆ ในชีวิตจริงได้ทำนองนั้น
คิดว่าทักษะของคนทำงานในยุคปัจจุบัน ควรจะเป็นแบบไหนอย่างไร
ผมว่าคนในยุคนี้คงต้องมีทักษะหลากหลายมั้งครับ... อยู่ยากที่จะรู้แค่อย่างเดียว มันไม่สนุกหรอก และที่สำคัญคือต้องใช้หู ใช้ตา ใช้ปาก ใช้มือ ให้เป็น คือเรียนรู้ หัดทำ แล้วบอกคนอื่นด้วยว่าทำอะไร แบบที่ว่าทำดีเดี๋ยวคนเห็นเอง ปัจจุบันคนเขาไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับ เรื่องมันเยอะ เราต้องนำเสนอครับ ไม่งั้นคนลืม
ก่อนตัดสินใจลาออกจากงาน ควรทบทวนเรื่องอะไร
จะออกก็ออก ไม่เห็นต้องทบทวนอะไรเลย ถ้าคิดดีแล้ว ถ้าตกงานแล้วมีกิน ถ้าหางานได้ ถ้าจัดการภาระได้ ถ้ามีเงินจ่ายค่าบัตรเครดิต เห็นมั้ยง่ายจะตาย (หัวเราะ)
จะอยู่รอดอย่างไร ท่ามกลางคนนินทา และคนอิจฉา
อืม...ก็คงต้องอยู่ต่อไป
ถ้างานที่ทำอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา หรือเบื่องานที่ทำ ควรอดทนทำต่อ หรือลาออกดี
ตรงนี้ต้องกลับมาดูว่า ที่มันไม่ใช่ตัวเราเพราะอะไร เพราะไม่ชอบ ไม่ชอบอะไร หรือเพราะทำไม่ได้ ไม่มีทักษะ งานที่ชอบคืองานแบบไหน งานแบบนั้นมีอยู่ที่ไหน ถ้าเบื่องาน อยากทำงานแบบที่ไม่ต้องฟังความคิดคนอื่น ก็ต้องลองมองว่างานแบบไหนล่ะที่ไม่ต้องฟังใครซึ่งผมก็คิดไม่ออกว่างานอะไร แต่อาจจะเป็นงานศิลปินก็ได้ ซึ่งก่อนที่จะไปถึงจุดที่ไม่ต้องฟังใคร ผมว่าศิลปินพวกนั้นเขาก็ฟังมาเยอะแล้ว ยิ่งเป็นงานในบริษัทยิ่งนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าออกไปก็อาจจะเจอแบบที่ไม่ชอบก็ได้ ถ้ายังหาต้นตอไม่เจอว่าอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเรา แล้วเราต้องการอะไร
สุดท้าย ถามถึงเพจ “ปลาวาฬไม่ไปทำงาน” หลังจากที่ออกหนังสือมาแล้ว มีแพลนยังไงต่อไปบ้าง
ตอนนี้ยังไม่ได้มีแผนอะไร ด้วยความที่มองว่าตรงนี้เป็นศาลาพักใจ (หัวเราะ) คือไม่ได้อยากมองว่ามันเป็นงานที่ต้องมีแผนอะไร ทำให้มันสนุกจากใจเราก็พอ ให้เนื้อหามันยังสนุก แต่อาจจะเพิ่มเติมเรื่องความรู้ หรือเรื่องเนื้อหาแบบที่ฝ่ายบุคคลชอบพูดไม่รู้เรื่อง มาพูดให้รู้เรื่องในนี้เพิ่มขึ้น ประมาณนี้ครับ
แต่การพูดตรงนี้ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงกว่าจะผ่านตรงจุดนั้นกันมาได้ไม่ง่ายเลย ทั้งเรื่องใจ และเรื่องฝีมือ ...
เราพาไปทำความรู้จักกับเพจหนึ่งซึ่งจะว่าไปในด้านหนึ่งก็เหมือนกับเพื่อนของ “มนุษย์เงินเดือน” ทุกๆ คนที่ดิ้นรนและวนเวียนอยู่ในโลกของการทำงาน โดยการสกัดกลั่นเอาประสบการณ์และเรื่องราวในโลกใบนั้นมานำเสนอผ่านการ์ตูนตัวปลาวาฬและถ้อยคำขำๆ อำๆ ล้อๆ ความเป็นไปในวิถีของคนทำงาน เป็นที่ถูกอกถูกใจมนุษย์เงินเดือน จนกระทั่งนำไปสู่การรวบรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือพ็อกเกตบุ๊กชื่อเดียวกับเพจปลาวาฬไม่ไปทำงาน
จุดเริ่มต้นในการเพจมาจากชีวิตส่วนตัวที่เจอปัญหาในที่ทำงานใช่ไหม
พูดจริงๆ ผมคิดว่าแทบทุกคนเจอปัญหาในการทำงานทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองแบบไหน หรือจะแสดงออกอย่างไร ถ้าเอามาเป็นเรื่องหนักใจ มันก็หนักใจ ถ้ามองเป็นเรื่องตลก เราก็จะมีเรื่องตลกได้ทุกวันเลย ก็เลยคิดว่า พูดเนื้อหาการทำงานในแบบตลกๆ ผ่านตัวปลาวาฬนี้น่าจะสนุกและชวนติดตามดีเหมือนกันนะ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นครับ
ทำไมเนื้อหาของเพจถึงเกี่ยวกับเรื่องงาน
เพราะเราอยู่ใกล้ชิดกับงานมากที่สุดล่ะมั้ง (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าถ้าทำเพจเรื่องงาน น่าจะมีเรื่องเขียนได้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากนัก และง่ายที่จะแชร์ให้เพื่อนๆ ที่รู้สึกอะไรทำนองนี้คล้ายๆ กัน ทีนี้พอดีว่าวาดรูปปลาวาฬไว้ตัวหนึ่งแล้วดูน่ารักดี ก็เลยคิดว่างั้นเอามาใช้ในเพจดีกว่าจะได้มีคาแรกเตอร์น่ารักๆ เข้ามา เลยกลายเป็น “ปลาวาฬไม่ไปทำงาน” แล้วกัน ตลกดี (หัวเราะ)
ในฐานะที่ทำงานด้าน HR และเจ้าของเพจปลาวาฬไม่ไปทำงาน ปัญหาหลักๆ ที่คนทำงานมักเจอะเจอคือเรื่องอะไร
ปัญหาที่หลายๆ คนน่าจะได้เจอในวงจรการทำงานคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์นะครับ กับบริษัท ลูกค้า เจ้านาย หรือกระทั่งตัวเอง ที่มาจากการปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ชอบที่เขาทำงานแบบนั้น ไม่ชอบที่บริษัททำแบบนี้ รู้สึกไม่ยุติธรรม งานหนัก เพื่อนร่วมงานไม่โอเค หรือเจ้านายลำเอียง หรือแม้แต่เรื่องที่มาจากตัวเอง เช่น ความเข้าใจไปเอง ซึ่งผมเองก็มีปัญหาแบบนี้บ่อย ที่เอาจริงๆ มันเกิดจากเราเองนี่แหละ
Mind Set มีผลต่อการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน
ถ้า Mind Set หมายถึงชุดความคิด ก็ต้องตอบว่ามีผล ถ้าปรับเปลี่ยนไม่ได้เลย มันจะเป็นกรอบเหมือนคอกล้อมให้เราวิ่งวนๆ อยู่ หาทางออกคิดแบบอื่นยาก เหมือนถามอะไรก็ได้คำตอบแบบเดิม เช่น คนหนึ่งเชื่อว่าตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้หรอก หลายๆ ครั้งที่ให้ทำอะไร เขาก็จะคิดว่าทำไม่ได้ เพราะฉันไม่เก่ง แล้วพอลองทำก็ทำไม่ได้จริง เขาก็จะเหมือนเก็บแต้มว่าฉันทำไม่ได้ และเลือกทำแต่เรื่องเดิม วิธีเดิม พอถึงวันหนึ่งที่บริษัทไม่ได้ต้องการวิธีนั้นแล้ว...จะทำอย่างไร
ช่วยเล่าประสบการณ์การแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยน Mind Set ที่เคยพบเห็น
มีตัวอย่างหนึ่ง คนหนึ่งถามว่าทำไมไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งๆ ที่เขาทำงานนี้ได้ดี จริงๆ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าทำงานปัจจุบันได้ดี แต่เราต้องแสดงให้เขาเห็นด้วยว่าทำงานตำแหน่งที่สูงกว่านั้นได้ด้วย แล้วเราพัฒนาตัวเองได้แล้วหรือยัง มากกว่าที่จะบอกว่าไม่โต ทีนี้ถ้าอยู่ตรงนี้ไม่โตก็ไปอยู่ที่อื่นได้ ถ้าเราพัฒนาตัวเองได้มากพอ จะไปที่ไหนก็ได้
เป้าหมายของการพัฒนาตัวเอง จำเป็นไหมว่าต้องไต่เต้าเป็นระดับหัวหน้าในองค์กร
ความจริงแล้วเป็นเรื่องของแต่ละคนนะครับที่จะต้องตอบตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร เป็นหัวหน้าหรือเปล่า หรืออยากมีเงินมากๆ หรือได้ทำสิ่งที่รัก หรือแม้แต่ว่าอยากทำงานเดิม ถ้าเป็นหัวหน้าแล้วไม่สนุก ก็ไม่ต้องอยากเป็น แต่นั่นล่ะครับ ถ้าจะทำงานในองค์กร ในบริษัท เราเองก็ต้องอยู่ให้เป็น บริษัทเขาต้องการผลงาน เขาไม่ได้ให้เรามาเดินสวยๆ ไปวันๆ จริงไหม มันหนีไม่พ้นเรื่องผลงาน
และตลกร้ายคือ ต่อให้อยู่อย่างเดิม แต่ก็ทำเหมือนเดิมไม่ได้ อย่างที่รู้กันว่าอะไรๆ เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำเหมือนเดิมในปีนี้อาจจะไม่มีกำไรเหมือนปีที่แล้วก็ได้ เพราะอย่างนั้นเราต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองตลอด ยิ่งสมัยนี้เราเรียนได้แทบทุกอย่างจากอินเทอร์เน็ต หรือใกล้ตัวกว่านั้นจากเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน จากน้องๆ ผมว่าความรู้มีไว้ไม่เสียหายอะไร
“การพัฒนาที่แท้จริง” คืออะไรยังไงในความคิดของเรา
สำหรับผมคงเป็นการพัฒนาเพื่อที่จะพัฒนาได้อีก ก็คือไม่หยุดพัฒนา... ตรงนี้มันคงต้องเปิดใจมากอยู่ แถมเปิดหูด้วยว่าโลกไปถึงไหน จะได้รู้ทันโลก มากกว่านั้น ต้องรู้ทันใจตัวเองด้วย เพื่อจะรับมือกับอะไรๆ ในชีวิตจริงได้ทำนองนั้น
คิดว่าทักษะของคนทำงานในยุคปัจจุบัน ควรจะเป็นแบบไหนอย่างไร
ผมว่าคนในยุคนี้คงต้องมีทักษะหลากหลายมั้งครับ... อยู่ยากที่จะรู้แค่อย่างเดียว มันไม่สนุกหรอก และที่สำคัญคือต้องใช้หู ใช้ตา ใช้ปาก ใช้มือ ให้เป็น คือเรียนรู้ หัดทำ แล้วบอกคนอื่นด้วยว่าทำอะไร แบบที่ว่าทำดีเดี๋ยวคนเห็นเอง ปัจจุบันคนเขาไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับ เรื่องมันเยอะ เราต้องนำเสนอครับ ไม่งั้นคนลืม
ก่อนตัดสินใจลาออกจากงาน ควรทบทวนเรื่องอะไร
จะออกก็ออก ไม่เห็นต้องทบทวนอะไรเลย ถ้าคิดดีแล้ว ถ้าตกงานแล้วมีกิน ถ้าหางานได้ ถ้าจัดการภาระได้ ถ้ามีเงินจ่ายค่าบัตรเครดิต เห็นมั้ยง่ายจะตาย (หัวเราะ)
จะอยู่รอดอย่างไร ท่ามกลางคนนินทา และคนอิจฉา
อืม...ก็คงต้องอยู่ต่อไป
ถ้างานที่ทำอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา หรือเบื่องานที่ทำ ควรอดทนทำต่อ หรือลาออกดี
ตรงนี้ต้องกลับมาดูว่า ที่มันไม่ใช่ตัวเราเพราะอะไร เพราะไม่ชอบ ไม่ชอบอะไร หรือเพราะทำไม่ได้ ไม่มีทักษะ งานที่ชอบคืองานแบบไหน งานแบบนั้นมีอยู่ที่ไหน ถ้าเบื่องาน อยากทำงานแบบที่ไม่ต้องฟังความคิดคนอื่น ก็ต้องลองมองว่างานแบบไหนล่ะที่ไม่ต้องฟังใครซึ่งผมก็คิดไม่ออกว่างานอะไร แต่อาจจะเป็นงานศิลปินก็ได้ ซึ่งก่อนที่จะไปถึงจุดที่ไม่ต้องฟังใคร ผมว่าศิลปินพวกนั้นเขาก็ฟังมาเยอะแล้ว ยิ่งเป็นงานในบริษัทยิ่งนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าออกไปก็อาจจะเจอแบบที่ไม่ชอบก็ได้ ถ้ายังหาต้นตอไม่เจอว่าอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเรา แล้วเราต้องการอะไร
สุดท้าย ถามถึงเพจ “ปลาวาฬไม่ไปทำงาน” หลังจากที่ออกหนังสือมาแล้ว มีแพลนยังไงต่อไปบ้าง
ตอนนี้ยังไม่ได้มีแผนอะไร ด้วยความที่มองว่าตรงนี้เป็นศาลาพักใจ (หัวเราะ) คือไม่ได้อยากมองว่ามันเป็นงานที่ต้องมีแผนอะไร ทำให้มันสนุกจากใจเราก็พอ ให้เนื้อหามันยังสนุก แต่อาจจะเพิ่มเติมเรื่องความรู้ หรือเรื่องเนื้อหาแบบที่ฝ่ายบุคคลชอบพูดไม่รู้เรื่อง มาพูดให้รู้เรื่องในนี้เพิ่มขึ้น ประมาณนี้ครับ