xs
xsm
sm
md
lg

อันตรายของบ้านเมืองยุครุ่งเรืองเป็นอินเตอร์! แขก ญี่ปุ่น จีน เคยบุกเข้าวังหลวงกรุงศรีอยุธยามาแล้ว!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


ในยุครุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยา ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลเข้ามาอาศัยในมหานครที่มั่งคั่งและโอ่อ่าสง่างามที่สุดในภาคพื้นตะวันออกแห่งนี้ ไม่เฉพาะจากรอบบ้านที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น หรือเข้ามาหาชีวิตที่ดีกว่าเหมือนอย่างในวันนี้ แต่ยังมีมาจากแดนไกลออกไป อย่างจีน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย จนถึงยุโรป อย่างโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส มีตัวเลขว่าคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยานั้นมีถึง ๒๓ เชื้อชาติ เรียกได้ว่าเป็นแผ่นดินอินเตอร์ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นแผ่นดินร้อยพ่อพันแม่ เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้เกิดในแผ่นดินไทย ใจจึงไม่ได้อยู่กับแผ่นดินนี้ด้วย บางคนก็เป็นนักแสวงโชคหรือมักใหญ่ใฝ่สูง เห็นเจ้าบ้านไว้ใจ พอเผลอเมื่อไหร่ก็คิดจะเข้าชิงราชบัลลังก์เสียเลย ทั้งๆที่มีกำลังแค่หยิบมือ ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยาจึงปรากฏว่ามีทั้งแขก จีน ญี่ปุ่น บุกเข้ายึดวังหลวงกันมาแล้ว

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับบริติซมิวเซียม ได้กล่าวถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิที่ทรงทำสงครามช้างเผือกกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ว่า

“ขณะนั้น พระยาตานีศรีสุริยต่าน ยกทัพเรือยาหยับ ๒๐๐ ลำเข้ามาช่วยราชการสงคราม ถึงทอดอยู่วัดกุฎบางกะจะ รุ่งขึ้นยกเข้ามาทอดอยู่ประตูชัย พระยาตานีศรีสุริยต่านได้ทีกลับเป็นกบฏ ก็ยกเข้าในพระราชวัง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าไม่ทันรู้ เสด็จลงเรือพระที่นั่งศรีสักหลาดหนีไปเกาะมหาพราหมณ์ และเสนาบดีมนตรีมุขพร้อมกันเข้าในพระราชวัง สะพัดไล่ชาวตานีแตกฉานลงเรือรุดหนีไป ฝ่ายมุขมนตรีทั้งปวงก็ออกไปเชิญเสด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช พระเจ้าช้างเผือก เสด็จเข้าสู่พระราชนิเวศมหาสถาน”

พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐบันทึกเหตุการณ์ในช่วงนี้ไว้เหมือนกันว่า
“ครั้งนั้น พญาศรีสุลต่านพญาตานีมาช่วยการศึก พญาตานีนั้นเปนขบถ แลคุมชาวตานีทั้งปวงเข้าในพระราชวัง ครั้นแลเข้าในพระราชวังได้เอาช้างเผือกมาขี่อยู่ ณ ท้องสนามหลวง แล้วจึงลงช้างออกไป ณ ทางตะแลงแกง แลชาวพระนครเอาพวนขึงไว้ต่อรบด้วยชาวตานี ๆ นั้นตายมาก แลพญาตานีนั้นลงสำเภาหนีรอด..”

หนังสือ “หิยาคัต ปาตานี” หรือพงศาวดารเมืองปัตตานี กล่าวว่าพญาตานีผู้นี้ก็คือ สุลต่านมูซัฟฟาร์ ชาฮ์ ซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมและเป็นคนโปรดของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จนเข้านอกออกในได้สะดวก แม้จะนำทหารมาเป็นร้อย นายทวารก็ยังเปิดประตูวังให้เข้า เพราะคิดว่ามาเข้าเฝ้าตามปกติ เมื่อทหารปัตตานีเข้ามาในวังแล้วก็ชักดาบไล่เข่นฆ่าทหารและมหาดเล็กตายเกลื่อน ดีที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงรู้พระองค์ทัน จึงเสด็จหนีไปเกาะมหาพราหมณ์ สุลต่านค้นหาจนทั่วไม่พบ เห็นกลองใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง คงนึกถึงนิทานโบราณว่าจะมีคนซ่อนอยู่ในกลอง จึงให้คนเอากล้องยาสูบไปแทงผืนกลองให้ทะลุเพื่อดูข้างใน แต่คนที่รับคำสั่งแทนที่จะแทงกลับไปตีถึง ๓ ครั้ง ทหารล้อมวังสะดุดใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นในวัง เลยบุกเข้ามาฆ่าฟันทหารปัตตานีแตกกระจาย พญาตานีเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีเลยให้น้องชายลงเรือหนีไป ส่วนตัวสู้จนตาย

แต่จากบันทึกของวันวลิต ชาวฮอลันดาที่มาตั้งห้างค้าขายอยู่ในกรุงศรีอยุธยาบันทึกไว้ว่า

“คณะขุนนางเห็นพวกปัตตานีที่โหดร้ายใกล้เข้ามาจึงปิดประตูวัง และยืนหยัดสู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งส่งพวกแขนลาย ออกไปทางหลังวัง และฆ่าพวกปัตตานีในกรุงศรีอยุธยาไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”

“พวกแขนลาย” ที่ว่านี้ก็คือกองกำลังพิเศษ หรือกองปราบส่วนพระองค์ มีหน้าที่ปราบปราม ทั้งจับทั้งลงโทษผู้กระทำผิดไม่ว่าราษฎร ข้าราชการ หรือทหาร มีสัญลักษณ์ที่แขนสักเป็นลวดลาย

นอกจากรายนี้แล้ว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังมีกบฏที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของพวกแขกมากาซา ที่เรียกกันว่า “กบฏมักกะสัน”

พวกมากกาซามีถิ่นฐานอยู่ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อถูกฮอลันดาโจมตีระหว่างปี พ.ศ.๒๑๕๙-๒๒๑๐ จึงกระจัดกระจายหลบไปอยู่ตามเกาะต่างๆ เจ้าชายองค์หนึ่งจากหมู่เกาะเซเลเบส ได้พาผู้ติดตามหนีร้อนมาพึ่งเย็นในราชอาณาจักรสยาม สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงเมตตาต่อเจ้าชายผู้ตกระกำลำบาก พระราชทานที่ดินและบ้านให้อยู่ที่บริเวณปากคลองตะเคียน ซึ่งต่อมาที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า “ทุ่งมักกะสัน”

ต่อมาเจ้าชายเกิดคับแค้นใจจากพวกฝรั่งที่มีอิทธิพลอยู่ในราชสำนัก ทั้งยังได้รับการยุยงจากขุนนางแขกที่มีอยู่มากในยุคนั้น ทั้งแขกดำแขกขาว แต่ถูกลดอำนาจโดยเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙ พวกมักกะสันจึงวางแผนจะยกพวกจู่โจมเข้าจับสมเด็จพระนารายณ์สำเร็จโทษ แล้วยกเจ้าฟ้าอภัยทศ พระอนุชา ขึ้นครองราชย์ โดยบังคับให้พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่นับถือศาสนาของพระมะหะหมัด ส่วนประชาชนหากใครไม่ยอมนับถือก็ให้ฆ่าเสีย แต่ความแตกเสียก่อนเมื่อขุนนางแขกจามคนหนึ่งล่วงรู้ความลับ แล้วนำความไปแจ้งกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีชาวกรีกจึงจัดทัพใหญ่ปราบกบฏถึง ๗,๐๐๐ คน มีนายทัพนานาชาติ ๔๐ คน ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ โปรตุเกส ฮอลันดา แต่พวกมักกะสันเป็นพวกบ้าเลือดไม่กลัวตาย ถือกริชเล่มเดียวก็หาญสู้กับคนถือปืนนับสิบ ศึกครั้งนี้เลือดแขก เลือดฝรั่ง รวมทั้งเลือดไทยจึงนองแผ่นดิน

รายนี้ยังไม่ทันบุกเข้าวัง เนื่องจากความแตกเสียก่อน แต่ก็จบแบบรายแรก คือไม่มีใครเหลือ

ต่อมาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ได้มีพ่อค้าญี่ปุ่นราว ๕๐๐ คน เกิดความไม่พอใจพระเจ้าแผ่นดินที่ลงโทษขุนนางญี่ปุ่น จึงเปิดโฉมหน้าอันแท้จริงออกมาว่าพวกเขาคือเหล่าซามูไร ชักดาบวิ่งกรูกันเข้าวัง ถึงองค์พระเจ้าแผ่นดินได้ แล้วบังคับให้ทำตามความต้องการของตน ฝ่ายไทยเสียท่าต้องยอมจำนน มีแต่พระยามหาอำมาตย์ ซึ่งเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรี แม้กำลังไม่พอก็ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรักพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่ชื่อเฉกอะหมัด ซึ่งขณะนั้นได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าขวา ทั้งยังเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกของประเทศไทย ซึ่งมีผู้ติดตามมาจากเปอร์เซียมาก จากนั้นกองกำลังผสมไทยพุทธกับมุสลิมเปอร์เซียก็เข้าลุยซามูไรญี่ปุ่นจนต้องหนีลงสำเภาไป

เหตุการณ์นี้ได้สร้างวีรบุรุษ พระยามหาอำมาตย์ได้รับโปรดเกล้าฯขึ้นเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายใต้ ซึ่งต่อมาก็คือ พระเจ้าปราสาททอง ส่วนพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี ได้รับโปรดเกล้าเป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี ตำแหน่งสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ดูแลราชการแผ่นดินต่างพระเนตรพระกรรณคนละครึ่งประเทศ ทั้งยังสืบทอดตำแหน่งนี้ถึงทายาทมาทุกรัชกาลตลอดกรุงศรีอยุธยา และได้รับโปรดเกล้าเป็น เจ้าพระยาบวรราชนายก ที่ปรึกษาราชการด้านมหาดไทยเมื่อวัยชรา
ต่อมาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คนจีนก็ได้ออกโรงบุกวังหลวงบ้าง ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปล่าสัตว์ที่เมืองลพบุรี พงศาวดารหลายฉบับบันทึกไว้แต่เพียงว่า ผู้รักษาพระนครขึ้นไปกราบทูลรายงานให้ทรงทราบว่า เมื่อคืนแรม ๑๑ ค่ำ ในเวลา ๕ ทุ่ม จีนนายไก้ กับพวกราว ๓๐๐ ตน ได้บุกเข้าปล้นพระราชวัง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงชวนกันออกไล่ตีจีนแตกหนีกระจัดกระจายไป จับไว้ได้ ๒๘๑ คน

เมื่อทรงทราบแล้ว พระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินกลับลงมากรุงศรีอยุธยาทันที รับสั่งให้สืบสาวได้ความแน่ชัดแล้ว จึงให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนโบยตีเป็นขั้นแรก จากนั้นก็ให้นำตัวคนที่เป็นต้นเหตุ ๑๐ คน ไปประหารชีวิต ส่วนปลายเหตุให้ใส่คุกไว้

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีความชะล่าใจ เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นได้ เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของทหารหรือตำรวจเท่านั้น ประชาชนก็ต้องช่วยกัน อย่างพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่า เห็นใครเอาช้างเผือกมาขี่เล่นแถวสนามหลาม ก็ช่วยกันเอาพวนขึงล้อมไว้ “พวน” ก็คือเชือกเกลียวเส้นใหญ่นั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น