เรื่องอื้อฉาวที่เป็นข่าวโด่งดังในวันนี้ เมื่อพ่อค้าสลากกินแบ่งรายหนึ่งแสดงความซื่อสัตย์ เปิดเผยว่ามีลูกค้าที่สั่งซื้อสลากชุดใหญ่ทางโทรศัพท์ไว้แล้วยังไม่มาเอา ได้ถูกรางวัลที่ ๑ ถึง ๙๐ ล้านบาท จึงโทรศัพท์ไปแข้งให้ทราบว่าเก็บไว้ให้ ทั้งยังบอกว่ารายนี้ไม่ใช่รายแรก
ก่อนหน้านี้ก็มีคนที่ซื้อที่แผงของตัวถูก ๙๐ ล้านไปแล้ว ทำเอาแฟนหวยอยากรวยบ้างไปรุมซื้อที่แผงยอดเฮงนี้กันจนมีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย ทั้งๆที่ขายเกินราคา แต่แล้วก็มีคนจับเท็จได้ จนจำนนต่อหลักฐาน ต้องยอมรับสารภาพว่ากุเรื่องและปลอมแปลงเลขสลาก เลยทำให้กลับไปขุดคุ้ยถึงต้นตำนานเรื่องกุข่าวแบบนี้ในอดีต แต่รายนั้นกุเพื่ออยากดังในฐานะพลเมืองดี แต่เมื่อได้รับบทเรียนไปแล้ว ก็กลับเนื้อกลับตัวทำมาหากินอย่างสุจริต จนตั้งเนื้อตั้งตัวได้ เลยออกมาสอนรุ่นน้องๆให้ดูตัวเองเป็นตัวอย่าง ยิ่งยุคนี้แล้วรอดยาก
เรื่องราวที่เป็นต้นตำนานพลเมืองดีจอมปลอมนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ เมื่อมีผู้อ้างว่าชื่อ “วิโรจน์” เป็น รปภ.ของสนามบินดอนเมือง โทรศัพท์ไปแจ้งรายการวิทยุ “ร่วมด้วยช่วยกัน” ว่า มีแท็กซี่คนซื่อนำเงินสดกว่า ๑๙ ล้านบาทพร้อมโฉนดที่ดิน มาคืนให้ผู้สารชาวต่างประเทศที่สนามบิน ด้วยความตื่นเต้นดีใจในวีรกรรมของคนไทย เจ้าหน้าที่ของรายการจึงโทรศัพท์ติดต่อกับแท็กซี่แสนซื่อคนนั้นทันที
แท็กซี่คนซื่อแนะนำตัวว่าชื่อ สมพงษ์ เลือดทหาร และเล่าเหตุการณ์เป็นตุเป็นตะว่า เขาได้รับผู้โดยสารคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อมิสเตอร์จอห์น พร้อมกระเป๋าเดินทาง ๒ ใบและกระเป๋าถืออีก ๒ ใบจากโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท ไปส่งสนามบินดอนเมือง และรับผู้โดยสารรายใหม่จากสนามบินดอนเมืองไปส่งที่ราชเทวี ผู้โดยสารรายใหม่พบว่ามีกระเป๋าถือตกอยู่ใต้เบาะ เขาก็เดาได้ทันทีว่าต้องเป็นกระเป๋าของมิสเตอร์จอห์นลืมไว้ และเมื่อเปิดออกดูก็แทบช็อก เมื่อเห็นธนบัตรอัดแน่นอยู่ในนั้นพร้อมโฉนดที่ดิน จึงรีบกลับไปที่สนามบินดอนเมือง พบมิสเตอร์จอห์นกำลังนั่งน้ำตาซึมอยู่หน้าอาคารสนามบิน จึงส่งกระเป๋าคืนให้ มิสเตอร์จอห์นดีใจสุดขีดโผเข้ากอดเขา ท่ามกลางสายตาของคนชื่นชมที่เขาแสดงน้ำใจของคนไทย
ชื่อของสมพงษ์ แท็กซี่คนซื่อ ดังเป็นพลุแตกในวันรุ่งขึ้น เมื่อ นสพ.รายวันต่างประโคมข่าวการสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย หน่วยงานหลายแห่งโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างพากันสดุดีและมอบรางวัลตอบแทนความดีของเขา ทั้งเงินสดและโล่เกียรติยศ ทีวีก็แย่งตัวกันไปออกอากาศ ทั้งเมืองต่างพูดกันถึงความซื่อสัตย์สุจริตที่น่ายกย่องนี้
แต่ พล.ต.ต.กว้าง ชาญศิลป์ ผบก.ทท. เกิดข้อข้องใจหลายอย่าง จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบผู้โดยสารชื่อจอห์น ชาวฝรั่งเศส ตามที่นายสมพงษ์อ้าง ทั้งเหตุการณ์ที่นายสมพงษ์นำกระเป๋าไปคืนเจ้าของในวันนั้น ก็ไม่มีใครที่ดอนเมืองรู้เห็น และเมื่อตรวจดูภาพโทรทัศน์วงจอห์นปิดในวันเวลาที่นายสมพงษ์กล่าวอ้าง ก็ไม่พบแท็กซี่คนซื่อและฝรั่งขี้ลืม อีกทั้ง รปภ.ที่สนามบินก็ไม่มีชื่อ “วิโรจน์” ที่สำคัญเมื่อนำเทปเสียงของ รปภ.ที่โทรศัพท์ไปแจ้งรายการ “ร่วมด้วยช่วยกัน” มาเปิดฟัง กลับเป็นเสียงของนายสมพงษ์เอง
ด้วยเหตุนี้ พล.ต.กว้างจึงสั่งระงับการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณนายสมพงษ์ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม และเรียกตัวมาสอบ ซึ่งนายสมพงษ์ก็รับสารภาพแต่โดยดีว่ากุเรื่องขึ้นเพื่อล้อเล่น แต่สื่อทั้งหลายเอาไปประโคมกันเอง เรื่องเลยโอละพ่อ จากแท็กซี่คนซื่อ จึงกลายเป็น จอมลวงโลก ถูกยึดโล่เกียรติยศและเงินรางวัลคืนทั้งหมด
คดีนี้ศาลได้พิพากษาจำคุกนายสมพงษ์เป็นเวลา ๓ ปี ลดฐานสารภาพเหลือจำคุก ๑ ปี ๖ เดือนโดยไม่รอการลงอาญา และด้วยความประพฤติที่เป็นนักโทษชั้นดี นายสมพงษ์จึงติดคุกอยู่เพียง ๑ ปี ๒ เดือน ก็พ้นโทษ
๑ ปี ๖ เดือนที่ต้องโทษนั้น ก็คุ้มค่าที่ทำให้นายสมพงษ์สำนึกถึงความผิดพลาดที่ทำลงไป เขาออกมามีอาชีพใหม่เป็นนักร้องในห้องอาหารชานเมือง และเลี้ยงปลาเลี้ยงไก่ในที่ดินมรดกของพ่อตาแถวลาดกระบัง ทำมาหากินเลี้ยงลูกเมีย และเลิกนิสัย “ล้อเล่น” แบบเก่า ทั้งไม่อายที่เป็นต้นตำนาน “จอมลวงโลก” ที่เกิดเรื่องแบบนี้ทีไรคนก็จะเอ่ยถึงชื่อเขาทันที ชื่อสมพงษ์ เลือดทหารที่โด่งดังก็ไม่ได้เปลี่ยน เพราะถึงจะเปลี่ยนชื่อไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนอดีตได้ ครั้งนี้สมพงษ์ได้ออกมาเตือน “รุ่นน้อง” ที่เป็น “สมพงษ์เลือดทหาร ๒” ในวันนี้ ทั้งยังจะมี “สมพงษ์เลือดทหาร ๓” ตามมาในอีกไม่กี่วัน ว่าถ้าพลาดพลั้งทำผิดไปแล้ว ก็ควรยอมรับผิดแต่โดยดี อย่าคิดว่าจะหนีความผิดไปได้ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคสื่อโชเชียล มีความรวดเร็ว แต่ถ้าสำนึกผิดได้สังคมก็จะให้โอกาส เหมือนอย่างเขา เมื่อพ้นโทษออกมาเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวก็ให้กำลังใจ จนลืมตาอ้าปากได้อีกในวันนี้