แม้ว่าชีวิตในวัยหลังเกษียณนั้น อาจจะเป็นที่ต้องการสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับ วิรัตน์ สมัครพงศ์ หรือ ครูรัตน์ เจ้าของสวนมะเดื่อฝรั่ง KruRat Fig Smart-Farm และอดีตข้าราชการครู กลับไม่ตอบโจทย์เขามากนัก เพราะหลังจากเลิกทำงานมาได้ 3 ปี เขากลับพบว่าชีวิตของเขามันช่างน่าเบื่อนัก ว่าแล้วก็ขอตั้งต้นธุรกิจการทำพืชผักชนิดดังกล่าว เพื่อตอบโจทย์ทุกอย่างให้แก่ชีวิตของตนเองให้มีความหมายอีกครั้ง...

เริ่มต้นชีวิต
ด้วยความมี ‘อุดมการณ์’
ด้วยฐานะที่ยากจนมาตั้งแต่เกิด แต่พ่อแม่ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษา นั่นจึงทำให้วิรัตน์ได้ร่ำเรียนมาทางด้านครู เพื่อยกคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และดำรงอาชีพครูตามอุดมการณ์ที่ตั้งใจไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยชีวิตที่พลิกผันไปพอสมควร นั่นจึงทำให้เขาก็เริ่มเข้าสู่ลู่ทางธุรกิจอยู่หลายอย่าง จนกระทั่งถึงช่วงเวลาของวัยเกษียณของชีวิต...
“เราก็เริ่มมาจากครอบครัวที่ยากจน แล้วพ่อแม่ก็เล็งเห็นว่า การศึกษา ก็เป็นวิธีเดียวที่จะพลิกฐานะ แล้ววิธีเรียนที่ง่ายที่สุด คือ การไปเป็น “ครู” แต่จากนั้นก็พลิกผันไปเป็นทหารป่า เราก็อ่านหนังสือแล้วอยากจะเป็นแรงบันดาลใจว่าอยากจะเป็นคนช่วยเหลือสังคม เพราะพ่อแม่พี่น้องของเราล้วนยากจนเป็นชาวไร่ชาวนา เลยทำให้เราเป็นคนมีอุดมการณ์ ในจังหวะนั้น ก็เลยลาออกจากข้าราชการเพื่อไปทำตามที่ว่าอยู่ 4-5 ปี”

“พอเราออกมาปั๊บ ด้วยความที่เราอยากจะมีอาชีพอิสระ ประมาณว่าจะต้องทำอะไรที่เป็นของตัวเอง จะต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่ว่าไม่มีความรู้เลย เพราะว่าเราเรียนทางด้านครูมา ไม่เคยถูกสอนทางด้านธุรกิจ เป็นครูอย่างเดียว แต่เราคิดอย่างเดียวว่าถ้าเป็นอาชีพอิสระก็จะต้องเป็นผู้ประกอบการ แต่ทุนไม่มี ก็ต้องขายแรงงานก่อนในเบื้องต้น แล้วจะด้านไหน อาชีพธุรกิจจะต้องไปฝึกเป็นนักขาย ขายให้ได้ก่อน เราก็ขายพวกเคมีภัณฑ์ จริงๆ เราขายหมด ขายหนังสือ แล้วก็ขายอะไรที่จะขายได้ จนเวลาผ่านไปอายุสัก 60 ปี ใจเราก็อยากจะเกษียณ เพราะสมองมันถูกโปรแกรมนั้น เกษียณแล้วต้องสบาย พักผ่อน ไม่ทำงาน อ่านหนังสือพวกต้นไม้ อยู่บ้านสบายๆ หรือไปสังสรรค์ ใช้ชีวิตอยู่อย่างงี้ ประมาณ 3 ปีกว่า ซึ่งก็อายุ 60 แล้ว เราทำมามากแล้วก็ควรจะพัก แต่ชีวิตนี่คือโคตรเซ็งเลย”
“แต่ชีวิตวงจรอย่างนี้ แล้วก็คิดว่าชีวิตคนเราเกิดมาทั้งทีมันมีอยู่นี้หรือ นี่คือคำถามใหญ่เลย หลังจากนั้นก็เริ่มแสวงหาว่าให้ตามกลิ่นความสุข ว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเรา เราอยู่ตรงไหน ตอนไหนที่ให้เรามีความสุข ผมก็พบว่าเป็นสองช่วงในชีวิต คือ ช่วงแรก ที่เราไปเป็นครู ตอนเป็นครูฝึกสอน ช่วงที่สอง คือ ช่วงที่ไปอยู่ป่า เป็นช่วง 4-5 ปี แล้วมันต่อสู้ด้วยชีวิตนะ ไม่มีเงินแต่เดินตลอด เป็นช่วงที่มีอุดมการณ์ เป็นชีวิตที่โคตรมีความสุขเลย
“เราก็ค้นพบว่าชีวิตที่มีความสุขก็คือ ชีวิตที่มีอุดมการณ์ แล้วทำในสิ่งที่เรารัก อุดมการณ์คือ เราทำเพื่อคนอื่น อย่างเวลานี้ผมอยากให้คนไทยวัยเกษียณลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่ตัวเองรักและชื่นชอบ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าเป็นป่าชุมชนสังคมโซเชียลมีเดีย หลังจากนั้นก็ไปเรียนการทำเฟซบุ๊ก การเปิดเพจ ตอนอายุ 60 กว่าแล้ว”

เริ่มต้นสู่โลกใหม่
ด้วย ‘มะเดื่อฝรั่ง’
เมื่อชีวิตหลังวัยเกษียณไม่เป็นไปตามที่หวังไว้อยู่ประมาณ 3 ปี นั่นจึงทำให้วิรัตน์ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ของเขา แต่เป็นสิ่งปกติของคนทั่วไปนั่นคือ “โลกออนไลน์” และเช่นเดียวกันเขาก็ได้นำสิ่งที่สนใจส่วนตัว นั่นคือ ‘มะเดื่อฝรั่ง’ มาเป็นใบเบิกทางในการดำรงชีวิตหลังวัยเกษียณ ซึ่งจุดเริ่มต้นใหม่ก็เริ่มมาจากตรงนี้...
“พอเริ่มทำการสมัครเฟซบุ๊กและช่องทางออนไลน์เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเขียนประสบการณ์ชีวิตไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามีคนกดไลก์ กดแชร์ มีคนชมเชย ชีวิตเราเริ่มมีความสุข แล้วก็มีคนเชิญไปออกทีวีในวันผู้สูงอายุ เกี่ยวกับเรื่องเพจ เรารู้สึกว่าได้ผลแล้วก็มาทำต่อเนื่อง แล้วพอดีมีที่อยู่แปลงหนึ่ง เราก็มาคิดว่ามันลงตัวที่มะเดื่อฝรั่ง ก็เลยเริ่มปลูก เริ่มมาทำสวน ผมก็มาเปิดอีกเพจหนึ่งชื่อว่า เพจสวนมะเดื่อฝรั่งครูรัก พอมาทำเพจแล้วผมก็เริ่มสอนตั้งแต่การเตรียมดิน ปลูก หาพันธุ์ ดูแล โพสต์ทุกวันให้ความรู้ทางการเกษตร
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดมันมาจากการลงมือทำ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะมีข้อมูลครบถ้วนแล้วลงมือทำ เพราะว่าข้อมูลบางเรื่องเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน อย่างการทำเพจ “เกษียณแล้วทำอะไรดีวะ” ยอดผู้ติดตามก็จะเกือบครึ่งแสนแล้ว ส่วนเพจมะเดื่อฝรั่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าคน”
อีกอย่างคือเรารู้สึกว่าเราอายุ 70 แล้ว ทำสวนขนาดนี้แล้วได้เงินด้วยมันดีนะ ภรรยาก็ไม่บ่น (หัวเราะ) ตรงนี้หลักก็คือว่าผมอยากเห็นประเทศไทยรวย นี่คืออุดมการณ์สูงสุดเลยนะ ใช้คำว่ามั่งคั่งยั่งยืนดีกว่า เพราะมันจะทำให้ชีวิตได้รับการตอบสนอง ทีนี้ถ้าจะให้ประเทศมั่งคั่งเนี่ย คือผู้สูงวัยยังมีรายได้อยู่ ไม่ใช่หวังรัฐอย่างเดียว แต่ยังทำรายได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบได้อยู่”

ตอบโจทย์ทางธุรกิจ
ด้วยความสนใจของตัวเอง
เมื่อเริ่มต้นด้วย ‘มะเดื่อฝรั่ง’ บวกกับความพร้อมในด้านในเรื่องของโลกออนไลน์ การทำธุรกิจในโซเชียลมีเดียจึงเดินหน้าด้วยความพร้อมที่ว่ามา และเมื่อดำเนินการสินค้าออกไป ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับอันเป็นที่น่าพอใจ จนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เขาอีกครั้งว่า สามารถใช้ชีวิตในหลังวัยเกษียณได้อย่างมีความสุขแล้ว เช่นเดียวกับสินค้าที่เขาลงมือทำที่มีการสั่งซื้อถึงขนาดต้องมีการจองกันเลยทีเดียว
“ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจที่มาปลูกมะเดื่อฝรั่งเหรอครับ คำตอบก็คือ เพราะว่าคนปลูกน้อย แล้วก็ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงนำมาเผยแพร่ ก็เลยจะขอสืบทอดปณิธาณของพระองค์ท่านด้วย ที่สำคัญมันราคาดี แล้วการตลาดของเราก็ทำในโลกออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ เพราะคนไทยนิยมเล่นทั้งสองอย่างนี้ ฉะนั้นโทรศัพท์จึงเป็นหน้าร้านของเรา
เหตุที่ต้องจองก็คือว่า เราไม่สามารถผลิตแล้วรอ เราจะเก็บผลสุกในแต่ละวัน แล้วทยอยส่งตามลูกค้าโอนเงินมาจองแล้ว ต่อคิวกัน ตามการโอนเงินเป็นสำคัญ เพราะว่าเราไม่สามารถการันตีได้เลย บางคนเงินมาแล้ว ถามเลยว่าจะได้ของเมื่อไหร่ ผมก็จะตอบว่าผมบังคับให้มันออกผลตามที่ต้องการไม่ได้ แต่จะรันตามออเดอร์ไม่เกิน 7 วัน แต่หลังจากที่ออกรายการทีวีวันนั้น มันเป็น 20 วันเลย แล้วถ้าลองเอาไปปลูกเอง ก็แค่มีเข่ง เอาไปตั้งบนดาดฟ้า เอาไปตั้งระเบียงบ้าน จะมีกระถางสวยๆ ก็ได้ ผลที่มันย้อยนั้นสามารถรับประทานได้ เป็นชนิดกินสดอย่างเดียว มันจะอร่อยกว่าตากแห้งที่มันจะเหนียว”

การใส่ใจในรายละเอียด
อีกหนึ่งเคล็ดลับของธุรกิจ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจของวิรัตน์ประสบความสำเร็จได้ นั่นคือการใส่ใจในรายละเอียด ถึงขนาดที่ว่าการทำสวนอนุบาลมะเดื่อฝรั่งของเขานั้นมีการดูแลเป็นอย่างดี ทำตามเป็นระบบขั้นตอน จนผลลัพธ์ที่ได้ก็คือผลผลิตที่มีคุณภาพเพื่อส่งถึงมือลูกค้าผู้บริโภคได้อย่างมั่นใจในสินค้าของเขา และเชื่อมั่นในศักยภาพของสินค้าอีกด้วย
“พอมีการออกผลแล้ว มันจะไม่ออกซ้ำที่เดิม แต่มันจะไม่ออกแบบแตกกิ่ง แต่ถ้าเราปล่อยให้มันแตกกิ่งมันจะทำให้กิ่งและผลจะเล็ก เราจึงตอนกิ่ง จนกระทั่งได้เวลาตัดก็จะตัดจนเหลือแต่ตอ มันก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ พอเข้าสู่เดือนที่ 2-3 มันก็จะเริ่มออกผล จนมาเดือนที่ 4-5-6 ผลก็จะเริ่มสุก สวยทั้งสวน แล้วพอหลังจากลุกแรกสุก ใช้เวลา 3 เดือน ส่วนการให้น้ำก็จะเป็นไปตามปกติ ผมให้น้ำ 3 เวลา 8 โมง เที่ยง และ บ่าย 4 โมง หลังจากนั้นมันก็ทำงานตามปกติของมัน”

“ถ้าลำต้นไหนมีการตัดมาแล้ว รากก็จะแข็งแรง ถ้าคนที่จะเอาไปปลูกก็เอาไปแบบนี้เลย แต่ถ้ารับไปแล้วแล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น ผมส่งให้ใหม่ฟรีเลยตามที่ขอ การทำอย่างนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีคนอื่นทำด้วยมั้ย แต่ก็คิดว่าคนอื่นน่าจะมีเพราะเกษตรกรเคยทำมาก่อนแล้ว
พอเก็บมาแล้ว เราก็มาคัดแยกที่ลูกที่ไม่ได้ขนาด เอาไว้กินเองหรือไว้ทำแยม ส่วนลูกที่ได้ขนาด ใน 1 กล่องจะมีการคละ ซึ่งจะมีการโตที่ไม่เท่ากันอีก ก็มีลูกใหญ่-กลาง-เล็ก ให้ปนๆ กัน แล้วจะมีการแพกกล่องกันกระแทก 2 ชั้น จำนวนที่เราเคยส่งได้สูงสุดก็ 20 กิโลกรัม ในบางช่วงเราก็ห้ามและไม่ห้าม แล้วบางครั้งลูกค้าก็สั่งเฉลี่ย 10 กิโลกรัมก็มี”

ประเทศไทยมีความร่ำรวย
คือความฝันสูงสุดในชีวิต
แม้ว่าวิรัตน์จะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจเล็กในวัยหลังเกษียณ จนสามารถสร้างทั้งรายได้และความสุขในชีวิต แต่เขาก็มีความฝันเล็กๆ เช่นกันว่า อยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มั่งคั่ง รวมไปถึงอยากเห็นคนไทยมีความสุขตามอัตภาพของตนเอง และอยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่บุคคลในวัยเกษียณท่านอื่นๆ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของแต่ละคน ต่อไป...
“ถ้าถามถึงความฝันสูงสุดของเรา ตอบเลยว่าอยากเห็นประเทศไทยรวย เป็นประเทศไทยที่มั่งคั่ง ยั่งยืน พ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศอารยะ เป็นประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว แล้วก็คนไทยในภาพรวม ความสุขตามอัตภาพของแต่ละครอบครัว เพราะว่าแต่ละคนก็มีความสุขที่ไม่เหมือนกัน
ผมตั้งใจที่จะใช้ชีวิตเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยวัยเกษียณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพ และได้รับการเติมเต็มในการใช้ชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และมีความสุข ชีวิตวัยเกษียณ คือ การใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่พอได้มาเกษียณจริงๆ หลังจากที่เราเคยใช้ชีวิตแบบนั้นมันไม่ได้มีความสุขเหมือนที่คิด ดังนั้น เราจึงได้มาค้นพบว่าชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริงคือชีวิตที่ทำตามฝัน ตามอุดมการณ์ ตามอุดมคติของจิตใจของเรา แล้วก็ใช้ชีวิตแบบเต็มที่ เต็มศักยภาพในแต่ละวันเพื่อให้มันเกิดคุณค่าสูงสุด ต่อทั้งตนเอง สังคม ประเทศชาติ และโลกนี้ นี่คือสิ่งที่เราค้นพบ ฉะนั้น การปลูกมะเดื่อฝรั่งมันก็เป็นเพื่องานอดิเรกและสร้างรายได้

“ผมเชื่อว่าคนไทยวัยเกษียณหลายคนยังอยากจะมีรายได้เพิ่มเติม ฉะนั้น มะเดื่อฝรั่งจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนวัยเกษียณ สำหรับผมเห็นว่ามะเดื่อฝรั่งเป็นงานอดิเรกที่ดี แล้วก็มีผลผลิตที่ดี มีคนปลูกน้อย แต่สำหรับท่านก็ลองค้นหาว่าจริงๆ แล้วท่านชอบ-รักอะไร มีอะไรที่ยังค้างติดอยู่ ถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เหมือนกับยังนอนตายตาไม่หลับ ท่านลองทำสิ่งนั้นครับ ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีการวางแผนไว้แล้ว
แล้วสิ่งที่คนวัยเกษียณกลัวที่สุด คือ การทำธุรกิจ ผมอยากจะบอกว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้าธุรกิจหรือว่าทำอะไรที่ท่านรักแล้วก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งความคิดในช่วงแรกนั้นจะต้องคิดแบบผู้ประกอบการ รู้ว่ามีการผลิตยังไง รู้ว่ามีกระบวนการจัดการยังไง รู้ว่ามีกระบวนการในทางการตลาดยังไง และสามารถจะใช้เครื่องมือในโลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ยังไง
แม้ว่าเราจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดที่จะเรียนรู้ ขอให้กล้า ใจถึง อย่ากลัว อย่าอาย ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ ถามว่าเริ่มต้นจากตรงไหนที่จะให้ประเทศไทยมั่งคั่งยั่งยืน ก็เริ่มจากแต่ละคน ผมก็เริ่มต้นจากตัวผม ท่านก็เริ่มจากตัวท่าน ทำยังไงให้เรามีความรู้สึกว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น มีฐานะดีขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น และได้เติบโตได้พัฒนามีฐานะมีรายได้ดีขึ้น มีความสุขเพิ่มขึ้นจากภายในของเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่าประเทศทั้งประเทศจะค่อยๆ ดีขึ้น”
เริ่มต้นชีวิต
ด้วยความมี ‘อุดมการณ์’
ด้วยฐานะที่ยากจนมาตั้งแต่เกิด แต่พ่อแม่ให้ความสำคัญในเรื่องของการศึกษา นั่นจึงทำให้วิรัตน์ได้ร่ำเรียนมาทางด้านครู เพื่อยกคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และดำรงอาชีพครูตามอุดมการณ์ที่ตั้งใจไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยชีวิตที่พลิกผันไปพอสมควร นั่นจึงทำให้เขาก็เริ่มเข้าสู่ลู่ทางธุรกิจอยู่หลายอย่าง จนกระทั่งถึงช่วงเวลาของวัยเกษียณของชีวิต...
“เราก็เริ่มมาจากครอบครัวที่ยากจน แล้วพ่อแม่ก็เล็งเห็นว่า การศึกษา ก็เป็นวิธีเดียวที่จะพลิกฐานะ แล้ววิธีเรียนที่ง่ายที่สุด คือ การไปเป็น “ครู” แต่จากนั้นก็พลิกผันไปเป็นทหารป่า เราก็อ่านหนังสือแล้วอยากจะเป็นแรงบันดาลใจว่าอยากจะเป็นคนช่วยเหลือสังคม เพราะพ่อแม่พี่น้องของเราล้วนยากจนเป็นชาวไร่ชาวนา เลยทำให้เราเป็นคนมีอุดมการณ์ ในจังหวะนั้น ก็เลยลาออกจากข้าราชการเพื่อไปทำตามที่ว่าอยู่ 4-5 ปี”
“พอเราออกมาปั๊บ ด้วยความที่เราอยากจะมีอาชีพอิสระ ประมาณว่าจะต้องทำอะไรที่เป็นของตัวเอง จะต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่าง แต่ว่าไม่มีความรู้เลย เพราะว่าเราเรียนทางด้านครูมา ไม่เคยถูกสอนทางด้านธุรกิจ เป็นครูอย่างเดียว แต่เราคิดอย่างเดียวว่าถ้าเป็นอาชีพอิสระก็จะต้องเป็นผู้ประกอบการ แต่ทุนไม่มี ก็ต้องขายแรงงานก่อนในเบื้องต้น แล้วจะด้านไหน อาชีพธุรกิจจะต้องไปฝึกเป็นนักขาย ขายให้ได้ก่อน เราก็ขายพวกเคมีภัณฑ์ จริงๆ เราขายหมด ขายหนังสือ แล้วก็ขายอะไรที่จะขายได้ จนเวลาผ่านไปอายุสัก 60 ปี ใจเราก็อยากจะเกษียณ เพราะสมองมันถูกโปรแกรมนั้น เกษียณแล้วต้องสบาย พักผ่อน ไม่ทำงาน อ่านหนังสือพวกต้นไม้ อยู่บ้านสบายๆ หรือไปสังสรรค์ ใช้ชีวิตอยู่อย่างงี้ ประมาณ 3 ปีกว่า ซึ่งก็อายุ 60 แล้ว เราทำมามากแล้วก็ควรจะพัก แต่ชีวิตนี่คือโคตรเซ็งเลย”
“แต่ชีวิตวงจรอย่างนี้ แล้วก็คิดว่าชีวิตคนเราเกิดมาทั้งทีมันมีอยู่นี้หรือ นี่คือคำถามใหญ่เลย หลังจากนั้นก็เริ่มแสวงหาว่าให้ตามกลิ่นความสุข ว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเรา เราอยู่ตรงไหน ตอนไหนที่ให้เรามีความสุข ผมก็พบว่าเป็นสองช่วงในชีวิต คือ ช่วงแรก ที่เราไปเป็นครู ตอนเป็นครูฝึกสอน ช่วงที่สอง คือ ช่วงที่ไปอยู่ป่า เป็นช่วง 4-5 ปี แล้วมันต่อสู้ด้วยชีวิตนะ ไม่มีเงินแต่เดินตลอด เป็นช่วงที่มีอุดมการณ์ เป็นชีวิตที่โคตรมีความสุขเลย
“เราก็ค้นพบว่าชีวิตที่มีความสุขก็คือ ชีวิตที่มีอุดมการณ์ แล้วทำในสิ่งที่เรารัก อุดมการณ์คือ เราทำเพื่อคนอื่น อย่างเวลานี้ผมอยากให้คนไทยวัยเกษียณลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างในสิ่งที่ตัวเองรักและชื่นชอบ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าเป็นป่าชุมชนสังคมโซเชียลมีเดีย หลังจากนั้นก็ไปเรียนการทำเฟซบุ๊ก การเปิดเพจ ตอนอายุ 60 กว่าแล้ว”
เริ่มต้นสู่โลกใหม่
ด้วย ‘มะเดื่อฝรั่ง’
เมื่อชีวิตหลังวัยเกษียณไม่เป็นไปตามที่หวังไว้อยู่ประมาณ 3 ปี นั่นจึงทำให้วิรัตน์ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ของเขา แต่เป็นสิ่งปกติของคนทั่วไปนั่นคือ “โลกออนไลน์” และเช่นเดียวกันเขาก็ได้นำสิ่งที่สนใจส่วนตัว นั่นคือ ‘มะเดื่อฝรั่ง’ มาเป็นใบเบิกทางในการดำรงชีวิตหลังวัยเกษียณ ซึ่งจุดเริ่มต้นใหม่ก็เริ่มมาจากตรงนี้...
“พอเริ่มทำการสมัครเฟซบุ๊กและช่องทางออนไลน์เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเขียนประสบการณ์ชีวิตไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามีคนกดไลก์ กดแชร์ มีคนชมเชย ชีวิตเราเริ่มมีความสุข แล้วก็มีคนเชิญไปออกทีวีในวันผู้สูงอายุ เกี่ยวกับเรื่องเพจ เรารู้สึกว่าได้ผลแล้วก็มาทำต่อเนื่อง แล้วพอดีมีที่อยู่แปลงหนึ่ง เราก็มาคิดว่ามันลงตัวที่มะเดื่อฝรั่ง ก็เลยเริ่มปลูก เริ่มมาทำสวน ผมก็มาเปิดอีกเพจหนึ่งชื่อว่า เพจสวนมะเดื่อฝรั่งครูรัก พอมาทำเพจแล้วผมก็เริ่มสอนตั้งแต่การเตรียมดิน ปลูก หาพันธุ์ ดูแล โพสต์ทุกวันให้ความรู้ทางการเกษตร
การเรียนรู้ที่ดีที่สุดมันมาจากการลงมือทำ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะมีข้อมูลครบถ้วนแล้วลงมือทำ เพราะว่าข้อมูลบางเรื่องเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน อย่างการทำเพจ “เกษียณแล้วทำอะไรดีวะ” ยอดผู้ติดตามก็จะเกือบครึ่งแสนแล้ว ส่วนเพจมะเดื่อฝรั่งก็จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าคน”
อีกอย่างคือเรารู้สึกว่าเราอายุ 70 แล้ว ทำสวนขนาดนี้แล้วได้เงินด้วยมันดีนะ ภรรยาก็ไม่บ่น (หัวเราะ) ตรงนี้หลักก็คือว่าผมอยากเห็นประเทศไทยรวย นี่คืออุดมการณ์สูงสุดเลยนะ ใช้คำว่ามั่งคั่งยั่งยืนดีกว่า เพราะมันจะทำให้ชีวิตได้รับการตอบสนอง ทีนี้ถ้าจะให้ประเทศมั่งคั่งเนี่ย คือผู้สูงวัยยังมีรายได้อยู่ ไม่ใช่หวังรัฐอย่างเดียว แต่ยังทำรายได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบได้อยู่”
ตอบโจทย์ทางธุรกิจ
ด้วยความสนใจของตัวเอง
เมื่อเริ่มต้นด้วย ‘มะเดื่อฝรั่ง’ บวกกับความพร้อมในด้านในเรื่องของโลกออนไลน์ การทำธุรกิจในโซเชียลมีเดียจึงเดินหน้าด้วยความพร้อมที่ว่ามา และเมื่อดำเนินการสินค้าออกไป ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับอันเป็นที่น่าพอใจ จนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เขาอีกครั้งว่า สามารถใช้ชีวิตในหลังวัยเกษียณได้อย่างมีความสุขแล้ว เช่นเดียวกับสินค้าที่เขาลงมือทำที่มีการสั่งซื้อถึงขนาดต้องมีการจองกันเลยทีเดียว
“ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจที่มาปลูกมะเดื่อฝรั่งเหรอครับ คำตอบก็คือ เพราะว่าคนปลูกน้อย แล้วก็ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงนำมาเผยแพร่ ก็เลยจะขอสืบทอดปณิธาณของพระองค์ท่านด้วย ที่สำคัญมันราคาดี แล้วการตลาดของเราก็ทำในโลกออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ เพราะคนไทยนิยมเล่นทั้งสองอย่างนี้ ฉะนั้นโทรศัพท์จึงเป็นหน้าร้านของเรา
เหตุที่ต้องจองก็คือว่า เราไม่สามารถผลิตแล้วรอ เราจะเก็บผลสุกในแต่ละวัน แล้วทยอยส่งตามลูกค้าโอนเงินมาจองแล้ว ต่อคิวกัน ตามการโอนเงินเป็นสำคัญ เพราะว่าเราไม่สามารถการันตีได้เลย บางคนเงินมาแล้ว ถามเลยว่าจะได้ของเมื่อไหร่ ผมก็จะตอบว่าผมบังคับให้มันออกผลตามที่ต้องการไม่ได้ แต่จะรันตามออเดอร์ไม่เกิน 7 วัน แต่หลังจากที่ออกรายการทีวีวันนั้น มันเป็น 20 วันเลย แล้วถ้าลองเอาไปปลูกเอง ก็แค่มีเข่ง เอาไปตั้งบนดาดฟ้า เอาไปตั้งระเบียงบ้าน จะมีกระถางสวยๆ ก็ได้ ผลที่มันย้อยนั้นสามารถรับประทานได้ เป็นชนิดกินสดอย่างเดียว มันจะอร่อยกว่าตากแห้งที่มันจะเหนียว”
การใส่ใจในรายละเอียด
อีกหนึ่งเคล็ดลับของธุรกิจ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจของวิรัตน์ประสบความสำเร็จได้ นั่นคือการใส่ใจในรายละเอียด ถึงขนาดที่ว่าการทำสวนอนุบาลมะเดื่อฝรั่งของเขานั้นมีการดูแลเป็นอย่างดี ทำตามเป็นระบบขั้นตอน จนผลลัพธ์ที่ได้ก็คือผลผลิตที่มีคุณภาพเพื่อส่งถึงมือลูกค้าผู้บริโภคได้อย่างมั่นใจในสินค้าของเขา และเชื่อมั่นในศักยภาพของสินค้าอีกด้วย
“พอมีการออกผลแล้ว มันจะไม่ออกซ้ำที่เดิม แต่มันจะไม่ออกแบบแตกกิ่ง แต่ถ้าเราปล่อยให้มันแตกกิ่งมันจะทำให้กิ่งและผลจะเล็ก เราจึงตอนกิ่ง จนกระทั่งได้เวลาตัดก็จะตัดจนเหลือแต่ตอ มันก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ พอเข้าสู่เดือนที่ 2-3 มันก็จะเริ่มออกผล จนมาเดือนที่ 4-5-6 ผลก็จะเริ่มสุก สวยทั้งสวน แล้วพอหลังจากลุกแรกสุก ใช้เวลา 3 เดือน ส่วนการให้น้ำก็จะเป็นไปตามปกติ ผมให้น้ำ 3 เวลา 8 โมง เที่ยง และ บ่าย 4 โมง หลังจากนั้นมันก็ทำงานตามปกติของมัน”
“ถ้าลำต้นไหนมีการตัดมาแล้ว รากก็จะแข็งแรง ถ้าคนที่จะเอาไปปลูกก็เอาไปแบบนี้เลย แต่ถ้ารับไปแล้วแล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น ผมส่งให้ใหม่ฟรีเลยตามที่ขอ การทำอย่างนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีคนอื่นทำด้วยมั้ย แต่ก็คิดว่าคนอื่นน่าจะมีเพราะเกษตรกรเคยทำมาก่อนแล้ว
พอเก็บมาแล้ว เราก็มาคัดแยกที่ลูกที่ไม่ได้ขนาด เอาไว้กินเองหรือไว้ทำแยม ส่วนลูกที่ได้ขนาด ใน 1 กล่องจะมีการคละ ซึ่งจะมีการโตที่ไม่เท่ากันอีก ก็มีลูกใหญ่-กลาง-เล็ก ให้ปนๆ กัน แล้วจะมีการแพกกล่องกันกระแทก 2 ชั้น จำนวนที่เราเคยส่งได้สูงสุดก็ 20 กิโลกรัม ในบางช่วงเราก็ห้ามและไม่ห้าม แล้วบางครั้งลูกค้าก็สั่งเฉลี่ย 10 กิโลกรัมก็มี”
ประเทศไทยมีความร่ำรวย
คือความฝันสูงสุดในชีวิต
แม้ว่าวิรัตน์จะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจเล็กในวัยหลังเกษียณ จนสามารถสร้างทั้งรายได้และความสุขในชีวิต แต่เขาก็มีความฝันเล็กๆ เช่นกันว่า อยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มั่งคั่ง รวมไปถึงอยากเห็นคนไทยมีความสุขตามอัตภาพของตนเอง และอยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่บุคคลในวัยเกษียณท่านอื่นๆ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแบบของแต่ละคน ต่อไป...
“ถ้าถามถึงความฝันสูงสุดของเรา ตอบเลยว่าอยากเห็นประเทศไทยรวย เป็นประเทศไทยที่มั่งคั่ง ยั่งยืน พ้นกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศอารยะ เป็นประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว แล้วก็คนไทยในภาพรวม ความสุขตามอัตภาพของแต่ละครอบครัว เพราะว่าแต่ละคนก็มีความสุขที่ไม่เหมือนกัน
ผมตั้งใจที่จะใช้ชีวิตเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยวัยเกษียณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพ และได้รับการเติมเต็มในการใช้ชีวิต และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และมีความสุข ชีวิตวัยเกษียณ คือ การใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไร แต่พอได้มาเกษียณจริงๆ หลังจากที่เราเคยใช้ชีวิตแบบนั้นมันไม่ได้มีความสุขเหมือนที่คิด ดังนั้น เราจึงได้มาค้นพบว่าชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริงคือชีวิตที่ทำตามฝัน ตามอุดมการณ์ ตามอุดมคติของจิตใจของเรา แล้วก็ใช้ชีวิตแบบเต็มที่ เต็มศักยภาพในแต่ละวันเพื่อให้มันเกิดคุณค่าสูงสุด ต่อทั้งตนเอง สังคม ประเทศชาติ และโลกนี้ นี่คือสิ่งที่เราค้นพบ ฉะนั้น การปลูกมะเดื่อฝรั่งมันก็เป็นเพื่องานอดิเรกและสร้างรายได้
“ผมเชื่อว่าคนไทยวัยเกษียณหลายคนยังอยากจะมีรายได้เพิ่มเติม ฉะนั้น มะเดื่อฝรั่งจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนวัยเกษียณ สำหรับผมเห็นว่ามะเดื่อฝรั่งเป็นงานอดิเรกที่ดี แล้วก็มีผลผลิตที่ดี มีคนปลูกน้อย แต่สำหรับท่านก็ลองค้นหาว่าจริงๆ แล้วท่านชอบ-รักอะไร มีอะไรที่ยังค้างติดอยู่ ถ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เหมือนกับยังนอนตายตาไม่หลับ ท่านลองทำสิ่งนั้นครับ ผมเชื่อว่าแต่ละคนมีการวางแผนไว้แล้ว
แล้วสิ่งที่คนวัยเกษียณกลัวที่สุด คือ การทำธุรกิจ ผมอยากจะบอกว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้าธุรกิจหรือว่าทำอะไรที่ท่านรักแล้วก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งความคิดในช่วงแรกนั้นจะต้องคิดแบบผู้ประกอบการ รู้ว่ามีการผลิตยังไง รู้ว่ามีกระบวนการจัดการยังไง รู้ว่ามีกระบวนการในทางการตลาดยังไง และสามารถจะใช้เครื่องมือในโลกออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ยังไง
แม้ว่าเราจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดที่จะเรียนรู้ ขอให้กล้า ใจถึง อย่ากลัว อย่าอาย ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ ถามว่าเริ่มต้นจากตรงไหนที่จะให้ประเทศไทยมั่งคั่งยั่งยืน ก็เริ่มจากแต่ละคน ผมก็เริ่มต้นจากตัวผม ท่านก็เริ่มจากตัวท่าน ทำยังไงให้เรามีความรู้สึกว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น มีฐานะดีขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น และได้เติบโตได้พัฒนามีฐานะมีรายได้ดีขึ้น มีความสุขเพิ่มขึ้นจากภายในของเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่าประเทศทั้งประเทศจะค่อยๆ ดีขึ้น”