xs
xsm
sm
md
lg

ช้างยังตกเขาตายพร้อมควาญ! ร.๑ ทรงยึดราวเชือกไต่เขาสูงชันไปตีทวาย ๒ นายทัพตายคาสมรภูมิ!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


ในสงครามยุคก่อน แม่ทัพผู้บัญชาการรบ แม้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์จอมทัพ ไม่ได้วางแผนอยู่แต่ในกองบัญชาการ แต่ได้ออกศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหาร อย่างสงครามไทย-พม่าใน พ.ศ.๒๓๓๐ เป็นฉากที่จะเห็นความยากลำบากของจอมทัพอย่างดี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้องทรงยึดราวเชือกข้ามเขาอันสูงชัน ตั้งแต่เช้าจนเที่ยงจึงถึงยอดเขา แม้แต่ช้างยังตกเขาตาย ขณะที่ ๒ นายทัพตายคาสมรภูมิ

ทั้งนี้หลังสงคราม ๙ ทัพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า จะเสด็จพระราชดำเนินทัพหลวงไปตีเมืองทวาย ให้พม่าเห็นว่าไทยก็มีกำลังที่จะทำศึกตอบแทนได้บ้าง โดยเสด็จยาตราทัพทางชลมารคด้วยโยธาหาร ๒๐,๐๐๐ เศษ พร้อมพระบรมวงศาวงศ์ และท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ดำรัสสั่งให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา พระยายมราช เป็นกองหน้า พระยาพระคลัง เป็นเกียกกาย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เป็นยกบัตร สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เป็นทัพหลัง เสด็จรอนแรมไปตามลำแควน้อย ถึงท่าตะกั่วจึงเสด็จขึ้นประทับ ณ ตำหนักค่ายหลวงที่กองหน้าทำไว้รับเสด็จ แล้วดำรัสให้กองหน้ากองหนุน ๑๐,๐๐๐ ยกล่วงหน้าไปก่อน

ขณะนั้นกองทัพพม่าจากเมืองมะริดมาอยู่ที่เมืองทวายพอดี เมื่อได้ข่าวว่ากองทัพไทยยกเข้ามาทางด่านวังปอ จึงส่งพล ๓,๐๐๐ มาตั้งรับที่ด่าน อีก ๔,๐๐๐ ตั้งค่ายปีกกาสกัดที่ทุ่งเมืองกลิอ่อง ทางผ่านไปทวาย อีก ๑,๐๐๐ ตั้งรับบนเชิงเทินเมืองกลิอ่อง พร้อมกับส่งหนังสือไปทูลพระเจ้าอังวะว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุธยายกทัพหลวงมาตีทวาย

ก่อนถึงด่านวังปอนั้นเป็นภูเขาสูงชัน เมื่อทัพหน้าของไทยข้ามเขาไปก็พบค่ายของพม่าตั้งรับอยู่ จึงตั้งค่ายเป็นหลายค่ายเผชิญหน้า จากนั้นก็เข้าตีค่ายพม่า แต่พม่าก็ตั้งรับอย่างแข็งขันยิงปืนนกสับออกมา ถูกขาพระเสนานนท์ นายกองหน้า ทหารต้องช่วยพยุงเข้ามาในค่าย ทหารไทยโหมเข้าตีอยู่หลายวันก็ยังไม่ฝ่ากระสุนปืนพม่าเข้าหักค่ายได้ ๒ พระยานายทัพกองหน้า คือพระยาสุรเสนา พระยาสมบัติบาล ถูกปืนตายในที่รบ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา แม่ทัพหน้า จึงยกพลเข้าไปช่วยกองหน้า ระดมตีค่ายวังปอจนแตก ทหารพม่าหนีออกหลังค่ายไปเมืองกลิอ่อง ทหารไทยจึงพักรี้พลที่ค่ายวังปอ แล้วส่งม้าเร็วมากราบทูลทัพหลวง

วันต่อมากองทัพหน้าได้ยกตามไปเมืองกลิอ่อง ส่วนทัพหลวงก็เสด็จข้ามเขาสูง แต่เขานั้นชันมาก พระเจ้าอยู่หัวทรงช้างพระที่นั่งขึ้นไม่ได้ ดำรัสสั่งให้ผูกราวเชือก แล้วย่ำพระบาทยึดราวเชือกขึ้นไปตั้งแต่เช้า จนเที่ยงจึงถึงยอดเขา ส่วนช้างที่ต้องเอาขึ้นเขาไปนั้น ต้องใช้งวงยึดต้นไม้จึงเหนี่ยวกายขึ้นไปด้วยความยากลำบาก บางเชือกพลาดตกเขาตายทั้งช้างทั้งคน ทรงมีพระราชโองการดำรัสว่า

“ไม่รู้ว่าทางนี้เดินยาก พาลูกหลานมาได้ความลำบากยิ่งนัก”

ในที่สุดกองทัพไทยก็ตีเมืองกลิอ่องแตก กองทัพพม่าหนีไปทวาย แต่เมื่อไทยตามไปทวาย พม่าออกจากเมืองข้ามแม่น้ำไปซุ่มอยู่อีกฝั่ง ปล่อยคนบางส่วนปลอมปนอยู่กับชาวบ้านคอยยุแยง วางแผนแยบยลล่อให้ไทยเข้าไปในเมือง แล้วจะล้อมไว้ภายนอก เมื่อกองทัพไทยขาดแคลนเสบียงอาหาร ก็จะแย่งชาวเมืองกิน ทำให้เกิดความอดอยากไม่พอใจ จนเกิดจลาจลวุ่นวายขึ้นได้ พม่าก็จะฉวยโอกาสในตอนนั้นเข้าตี

เมื่อไทยเห็นความผิดปกติเกิดขึ้น ไม่มีคนประจำอยู่บนเชิงเทินเลย ปิดแต่ประตูเมืองไว้ คิดว่าพม่าต้องวางแผนอะไรไว้แน่ จึงยั้งทัพไว้นอกเมือง แล้วตั้งค่ายล้อมทั้งสามด้าน เปิดแต่ทางแม่น้ำไว้ ดูท่าทีของพม่าต่อไป

ฝ่ายพม่าเห็นว่าไทยไม่เดินตามแผน ก็กลับเข้าเมืองขึ้นรักษาเชิงเทินกำแพงป้องกันเมือง

เมื่อทัพหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ก็เข้าตั้งค่ายห่างค่ายกองหน้าที่ล้อมเมือง ๕๐ เส้น ขณะนั้นช้างต้นพังลีลาป่วยไม่จับหญ้าถึง ๓ วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกนัก ด้วยเป็นช้างระที่นั่งข้าหลวงเดิม ได้ทรงเสด็จไปงานพระราชสงครามมาทุกครั้ง ทรงพระอาลัยว่าเป็นราชพาหนะเพื่อนทุกข์เพื่อนยาก เกรงว่าจะล้มเสีย จึงทรงพระอธิษฐานเสกข้าว ๓ ปั้นให้ช้างนั้นรับพระราชทาน ด้วยเดชะพระบารมีเป็นมหัศจรรย์ ช้างทรงก็หายไข้เป็นปกติ พระเจ้าอยู่หัวทรงดีพระทัยยิ่งนัก

ฝ่ายพม่าเห็นไทยมาตั้งค่ายล้อมอยู่ก็ไม่ยอมออกมาต่อสู้ เป็นแต่สงบนิ่งอยู่แต่ในเมือง เจ้าอินท์ บุตรพระเจ้าล้านช้างที่ร่วมมาในกองทัพ ขออาสาจะเข้าตีเมืองทวายเอง อีกทั้งพระยาสีหราชเดโชและนายทัพนายกองหลายนายกราบบังคมทูลจะขอเข้าตีเมือง พระเจ้าอยู่หัวก็ดำรัสห้ามเสีย ด้วยไม่มีพระราชประสงค์จะยึดเมืองทวาย แต่ทรงกำราบพม่าให้เห็นแสนยานุภาพเท่านั้น พอเสบียงอาหารขาดลงก็ดำรัสให้เลิกทัพกลับมาทางคะมองส่วย

นี่ก็เป็นฉากหนึ่งในการรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานของบรรพบุรุษ ความยากลำบากและความตายนั้นเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับความคงอยู่ของบ้านเมือง จนเรามีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขในวันนี้ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดเนื้อของบรรพบุรุษ ฉะนั้นโปรดละเว้นการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกันบ้างเถิด ถ้าบรรพบุรุษของเราคิดอย่างนี้ วันนี้เราก็คงไม่มีแผ่นดินอยู่อาศัยกันแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น