พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับ เจ้าพระทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) บันทึกไว้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์ ได้ทรงรับอัญเชิญของเสนามาตย์ราษฎรทั้งหลาย เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครอบครองสยามประเทศแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชวงศานุวงศ์ เป็นเจ้าฟ้า ๑๙ พระองค์ คือสมเด็จพระพี่นาง ๒ สมเด็จพระอนุชาธิราช ๑ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ๔ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ๑๑ และพระเจ้าน้องยาเธอต่างพระชนนีอีก ๑ ซึ่งมีความชอบโดยอัญเชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระชนกนาถมาทูลเกล้าฯถวาย นอกจากนี้โปรดให้เป็นพระองค์เจ้าและหม่อมเจ้า หม่อมราชนิกูล โดยสมควรแก่บรรดาศักดิ์ ตามโบราณราชประเพณีปราบดาภิเษกประดิษฐานพระราชวงศ์ใหม่
ในจำนวนสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ๑๑ พระองค์ที่เป็นเจ้าฟ้านั้น ปรากฏพระนาม “เจ้าฟ้าตัน” ด้วยพระองค์หนึ่ง ซึ่งพระราชพงศาวดารได้บันทึกไว้ว่า
“อนึ่ง เจ้าฟ้าตัน พระราชภาคิไนย ซึ่งเป็นพระโอรสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อยนั้น โปรดให้ตั้งเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์...”
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อย ก็คือ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระนามเดิมว่า แก้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สมรสกับ เจ้าขรัว หรือ เจ้าสัว เงิน แซ่ตัน เศรษฐีเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบุตรคนที่ ๔ ของเชื้อสายมหาเสนาบดีแห่งกรุงปักกิ่งคนหนึ่ง ที่หนีมาอยู่เมืองไทยเมื่อราชวงศ์หมิงได้พ่ายแพ้แก่ราชวงศ์แมนจู พวกแมนจูบังคับให้คนจีนตัดผมมวยไปไว้ผมเปีย บิดาของเจ้าขรัวเงินไม่ยอมตัดจึงหนีมา และได้สมรสกับหญิงไทยตระกูลสูงศักดิ์ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ (อู่) และเป็นญาติพี่น้องกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคน เช่น หม่อมมุก พระวัสดาของกรมหลวงนรินทรเทวี หรือพระองค์เจ้ากุ พระเจ้าน้องนางต่างพระชนนีในรัชกาลที่ ๑ และเจ้าพระยาอภัยราชา (ปิ่น) บิดาของเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นต้น
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าขรัวเงิน แซ่ตัน มีพระโอรสธิดาด้วยกัน ๖ พระองค์ คือ
เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระนามเดิม ตัน ต้นราชสกุล เทพหัสดิน
เจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารี พระนามเดิม ฉิม สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ได้รับสถาปนาพระอัฐิให้เป็น กรมขุนอนัคฆนารี
เจ้าฟ้าขุนเณร (สิ้นพระพระชนม์เมื่อพระชันษา ๗ ปี)
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระนามเดิม บุญรอด พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระนามเดิม จุ้ย ต้นราชสกุล มนตรีกุล
เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ พระนามเดิม เกศ ต้นราชสกุล อิศรางกูร
พระราชวงศ์แต่ละพระองค์ในยุคนั้น ต่างต้องแบกรับภาระราชการสร้างบ้านสร้างเมืองตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เจ้าฟ้าตัน กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระโอรสองค์แรกของสมเด็จพระศรีสุดารักษ์กับเจ้าขรัวเงิน เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๐๒ ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ๘ ปี ไม่เคยรับราชการในสมัยกรุงธนบุรีมาก่อน เมื่อต้องคุมทัพไปราชการสงคราม จึงไม่มีผลงานที่น่าชื่นชมนัก และยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนำทัพเรือไปตีเมืองไซ่ง่อน เกิดเสียท่าจนต้องทิ้งเรือขึ้นบก ลุยป่าที่น้ำท่วมถึงอกหนีเข้าเขมรได้ กลับมาจึงได้รับพระราชอาชญา ครั้งต่อมาไปรบพม่าที่เมืองเหนือ แม้พม่าจะถูกตีกระเจิง แต่พระเจ้าหลานเธอผู้นี้ก็ได้รับพระราชอาชญาอีกจนได้
เหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ๒๓๒๗ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์เข้าวัยเบญจเพสพอดี ได้รับพระราชดำรัสให้เป็นแม่ทัพถือพล ๕,๐๐๐ ยกทัพเรือไปตีกรุงไซ่ง่อนคืนให้องเชียงสือ อดีตเจ้าเมืองไซ่ง่อนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และร่วมไปในกองทัพด้วย มีพระยาวิชิตณรงค์คุมกองทัพบกยกไปทางเขมร โดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เกณฑ์คนให้ ๕,๐๐๐ ไปสมทบ
พระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์ ไปถึงเมืองบันทายมาศ พระยาราชาเศรษฐี เจ้าเมือง ก็ยกทัพไปเสริมกำลังอีกทัพ แต่พอเข้าคลองวามะนาวที่จะไปไซ่ง่อน พวกญวนไกเซินมาตั้งค่ายสกัดไว้ กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงยกกำลังขึ้นบก หวังจะตีค่ายญวนเปิดทางไปไซ่ง่อน ไม่ทันระวังหลัง จึงถูกฝ่ายญวนเอาเรืออ้อมไปอีกทางตีขนาบเข้ามาทางปากคลอง กองทัพของเจ้าฟ้าตันจึงถูกกระหนาบทั้งสองด้าน ต้องพากันทิ้งเรือขึ้นบก ตอนนั้นน้ำขึ้นสูงท่วมป่าถึงอกถึงเอว ต้องลุยกันไปด้วยความยากลำบาก ข้าในกรมไปจับควายมาได้ตัวหนึ่งให้แม่ทัพเรือขี่ควายลุยน้ำเข้าเขมรไปได้
เมื่อความทราบถึงกรุงเทพฯ พระเจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวรทรงพิโรธ มีตราออกไปเรียกกองทัพกลับพระนคร แล้วลงพระราชอาชญาจองจำสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพที่เสียทีแก่ข้าศึก เสียทั้งเรือรบเรือลำเลียง เครื่องศาสตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อยแก่ข้าศึกไปหมดสิ้น
ถึงเป็นเจ้าฟ้าก็ไม่ได้เสพสุขอย่างสบายๆแต่ในวัง
ครั้นนานมา สมเด็จพระพี่นางทั้งสองพระองค์กราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กรมหลวงเทพหริรักษ์และข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ในเวรจำนั้น พ้นโทษด้วยกันทั้งสิ้น
ต่อมาในปี ๒๓๔๕ พระเจ้ากาวิละมีหนังสือแจ้งมาว่า พม่ากำลังจะยกทัพมาตีเชียงใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯจึงดำรัสสั่งให้พระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราช นำทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ และให้เจ้าอนุคุมทัพเวียงจันทน์ไปร่วมด้วยอีกทัพหนึ่ง ทั้งสมเด็จพระอนุชา กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็ยกทัพวังหน้าขึ้นไปด้วย
ครั้นเสด็จขึ้นไปถึงเมืองเถิน กรมพระราชวังบวรเกิดประชวรหนักด้วยโรคนิ่ว มีพิษร้อนถึงกับต้องนอนแช่น้ำ จึงไม่อาจขึ้นไปถึงเชียงใหม่ได้ รับสั่งให้ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ เป็นแม่ทัพ นำกองทัพวังหน้าขึ้นไปช่วยเชียงใหม่พร้อมกับกองทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์ เมื่อทั้งสองทัพยกขึ้นไปถึงเมืองลำพูนที่พม่ายึดครองอยู่ ก็รวมกำลังกันเข้าตีจนกองทัพพม่าแตกหนีถอยไปเชียงใหม่
ทางกรุงเทพฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่ากรมพระราชวังบวรประชวรอยู่ที่เมืองเถิน จึงรับสั่งให้กรมพระราชวังหลังยกทัพขึ้นไปอีกกอง เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน เห็นทรงพระประชวรหนักจนซูบผอม กรมพระราชวังหลังถึงกับทรงพระกันแสง แต่สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรรับสั่งว่า เจ็บไข้ยังไม่เป็นไรดอก จะเอาชีวิตไว้คอยท่าได้ ให้กรมพระราชวังหลังขึ้นไปแทนพระองค์ พร้อมกับพระราชทานพระแสงดาบให้กรมพระราชวังลัง ๑ องค์ แล้วให้ร่างตราสารใจความว่า ให้กรมพระราชวังหลังขึ้นมาแทนพระองค์ เมื่อขึ้นไปถึงทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์แล้ว ให้เร่งระดมตีทัพพม่าที่ล้อมเชียงใหม่อยู่ให้จงได้ อย่าให้คิดว่าพี่ว่าน้อง เอาแต่การแผ่นดินตามอาชญาทัพศึกเป็นสำคัญ
เมื่อไปถึงเชียงใหม่ ทหารพม่าที่ล้อมอยู่ก็ยังไม่สามารถเข้าเมืองได้ เพราะพระยากาวิละรักษาเมืองไว้อย่างแข็งขัน กรมพระราชวังหลังให้เรียกนายทัพนายกองมาพร้อมกัน เชิญท้องตราออกอ่าน แล้วกรมพระราชวังหลังซึ่งทรงเป็นทหารเอกพระเจ้าตากสินมาก่อน จึงมีพระบัญชาสั่งให้เข้าตีกองทัพพม่าให้แตกภายในวันพรุ่งนี้ เข้าไปกินข้าวในเมืองเชียงใหม่ให้จงได้ ถ้าผู้ใดย่อท้อจะเอาโทษตามพระอัยการศึก ในยามสามคืนนั้น กองทัพไทยก็เข้าตีค่ายพม่าพร้อมกัน จนแตกไปทุกค่าย
พอพระอาการโรคค่อยทุเลา กรมพระราชวังบวรและกรมพระราชวังหลังก็ยกทัพกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงเยี่ยมสมเด็จพระอนุชา ทรงไต่ถามอาการแล้วก็ทรงตรัสเรื่องราชการ กรมพระราชวังบวรก็กล่าวโทษพระเจ้าหลานเธอกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชว่า ยกไปทัพขึ้นไปเชียงใหม่ เมื่อไปถึงเมืองลี้พบพม่ามายึดไว้แล้ว แทนที่จะเข้าตี กลับถอยทัพลงมาตั้งใต้เมือง จนเมื่อกองทัพวังหน้ายกขึ้นไปถึงลำพูนแล้วจึงยกขึ้นไป และเมื่อไปตีพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่นั้น กองทัพวังหน้าตีได้แล้ว ทัพกรมหลวงหริรักษ์และทัพเจ้าอนุมาไม่ทัน จึงปรับโทษกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชพร้อมกับเจ้าอนุ ให้ไปตีเมืองเชียงแสนที่พม่าแตกทัพหนีไปอาศัย
เมื่อพระเจ้าหลานเธอ กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช กลับจากเมืองเถินไปถึงเชียงใหม่แล้ว ก็ปรึกษากับเจ้ากาวิละและเจ้าอนุว่า ตอนนี้ก็เข้าฤดูฝนแล้ว ทั้งผู้คนก็บอบช้ำจากการรบ จะปล่อยให้ไปทำไร่ทำนาเสียก่อน เมื่อถึงฤดูแล้งค่อยนัดกันใหม่ ทุกฝ่ายก็เห็นดีด้วย กองทัพของกรมหลวงเทพหริรักษ์กับพระยายมราชก็พักอยู่เชียงใหม่ต่อไป
จนถึงปี ๒๓๔๗ จึงได้นัดกัน เมื่อไปถึงเชียงแสน พม่าไม่ได้ออกมาสู้รบ เป็นแต่รักษาเมืองไว้ ทัพไทยและเวียงจันทน์ล้อมอยู่เดือนเศษก็ยังตีไม่แตก จนขาดแคลนอาหารทั้งในเมืองและนอกเมือง ฝนก็เริ่มตกมาอีก ผู้คนในกองทัพเจ็บป่วยกันมาก กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงถอยทัพกลับ แต่กองทัพเวียงจันทน์ไม่ถอย จนผู้คนในเมืองอดอยากจึงออกมาสวามิภักดิ์ กองทัพพม่าเห็นว่าเอาไม่อยู่แล้วก็ยกทัพหนี กองทัพเวียงจันทน์ไล่ตีจนแม่ทัพพม่าตายในที่รบ แล้วเผาเมืองจนราบ กวาดต้อนผู้คนมาถึง ๒๓,๐๐๐ เศษ แบ่งเป็น ๕ ส่วน เอาไปไว้ที่เชียงใหม่ ลำปาง น่าน เวียงจันทน์ อีกส่วนถวายลงมากรุงเทพฯ โปรดให้ไปอยู่สระบุรีและราชบุรี ทรงพิโรธที่กองทัพพระเจ้าหลานเธอกลับมามือเปล่า ไม่ได้อะไรสักอย่าง กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชเลยต้องรับพระราชอาชญาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถูกจำอยู่ ๔-๕ วันก็โปรดให้พ้นโทษ
ความจริงเรื่องนี้ก็น่าเห็นใจกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระบรมวงศานุวงศ์ในยุคนั้นแทบทุกพระองค์จนถึงพระเจ้าอยู่หัว ทรงกรำศึกกู้ชาติมาอย่างหนักตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แต่เจ้าฟ้าตันพระชันษาก็ยังน้อย ทั้งยังเพิ่งเข้ารับราชการ พอมารับงานใหญ่จึงกลายเป็นขุนศึกมืออ่อนไป
กรมหลวงเทพหริรักษ์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ ขณะพระชันษา ๔๗ ปี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ทายาทของท่านได้รับพระราชทานนามสกุล เทพหัสดิน
ในเรื่องนี้ยังมีเจ้าที่มาจากคนจีนอีกองค์หนึ่ง คือ กรมขุนสุนทรภูเบศร์ ซึ่งกรมพระราชวังบวรรับสั่งที่เมืองเถินให้เป็นแม่ทัพวังหน้าขึ้นไปช่วยเชียงใหม่นั้น เดิมมีชื่อว่า จีนเรือง เป็นชาวชลบุรีได้มีอุปการะและร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเมื่อครั้งบ้านเมืองเป็นจลาจลเสียกรุงแก่พม่า ครั้งสถาปนาราชวงศ์ในรัชกาลที่ ๑ จึงทรงสถาปนาให้เป็นเจ้าทรงกรมตามพระราชประสงค์ของวังหน้า และได้สิ้นชีพิตักษัยในรัชกาลที่ ๑ ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ เชื้อสายของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า สุนทรกุล ณ ชลบุรี บางสายก็แยกไปใช้ สุนทรกิจ