เป็นตำนานเล่าขานกันมากว่า ๕๐ ปีแล้ว จนถึงวันนี้เมื่อมีการฆ่าผ่าศพควักเครื่องในกันเมื่อใด ก็จะต้องพูดไปถึง “ซีอุย” ฆาตกรสยองขวัญซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวในระหว่างปี ๒๔๙๗-๒๕๐๑
ซีอุยมีชื่อจริงว่า หลีอุย แซ่อึ้ง แต่ได้เรียกเพี้ยนกันไปเป็น ซีอุย ซึ่งก็มีหลายอย่างอีกที่เพี้ยนไปในคดีนี้ ซีอุยเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่ลักลอบข้ามาเมืองไทยเมื่อปี ๒๔๘๙ ขณะอายุได้ ๑๙ ปี และรับจ้างทำงานในสวนในไร่หลายแห่งอยู่ไม่เป็นที่ จนในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๑ ก็ถูกจับหลังจากฆ่าเด็กชายคนหนึ่งที่พ่อใช้ให้ไปซื้อผักที่ไร่ของซีอุย และเมื่อเห็นลูกชายหายไปผิดสังเกตจึงตามไป พบซากศพกำลังถูกเผา และยังพบตับกับหัวใจอยู่ในตู้กับข้าวของซีอุย เมื่อจำนนต่อหลักฐานซีอุยจึงรับสารภาพแต่โดยดี ทั้งยังรับสารภาพถึงเรื่องอื้อฉาวเก่าๆอีก ๖ คดี แม้ตำรวจจะไม่มีหลักฐานชี้ว่าเขาเป็นคนทำก็ตาม คือ
วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๙๗ ที่อำเภอทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด.ญ.บังอร กมรสูตร อายุ ๘ ขวบ ถูกคนร้ายจับตัวอุ้มไปในที่มืดข้างโรงสี และใช้มีดเชือดคอแต่ไม่ลึก เผอิญมีคนผ่านมาทำให้คนร้ายต้องหนีไป จึงรอดชีวิต
วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๙๗ ที่อำเภอทับสะแกเช่นเดียวกัน ด.ญ.นิด แซ่ภู่ อายุ ๑๐ ขวบ ถูกคนร้ายหลอกจากงานวัด พาไปฆ่าชำแหละศพใต้สะพานข้ามทางรถไฟ ถูกผ่าท้อง ตับ หัวใจหายไป
วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๙๗ ที่หมู่บ้านห้วยแห้ง ห่างจากอำเภอทับสะแก ๕ กิโลเมตร ด.ญ.ลิ้มเฮียง แซ่เล้า อายุ ๗ ขวบ ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกับรายที่ ๒ ทิ้งศพไว้ในสวนห่างบ้านแค่ ๓๐๐ เมตร
วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๔๙๗ ที่อำเภอสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด.ญ.กำหงัน แซ่ลี้ อายุ ๑๐ ขวบ ถูกเชือดคอ
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ที่สถานีรถไฟสวนจิตรดา กรุงเทพฯ ด.ญ.ลี่จู แซ่ตั้ง อายุ ๔ ขวบ ถูกฆ่าผ่าท้องบริเวณสถานีรถไฟ
วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ ด.ญ.ซิ่วจู แซ่ตั้ง อายุ ๕ ขวบ มาดูงิ้วในงานตรุษจีนที่พระปฐมเจดีย์ แล้วหลงกับแม่มาพบซีอุย เลยถูกพาไปฆ่าชำแหละศพในถ้ำบนลานพระปฐมเจดีย์ นครปฐม
รายสุดท้ายที่ถูกจับได้ในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๐๑ พร้อมหลักฐาน คือ ด.ช.สมบุญ บุญยกาญจน์ ที่ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
เรื่องราวของซีอุยเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ พร้อมกับภาพหาวอ้าปากกว้างซึ่งเป็นอาการที่เขาทำเป็นประจำ สร้างความสยดสยองไปทั่วประเทศ ซีอุยเผยว่าเมื่อเด็กเขาเป็นคนตัวเล็ก จึงถูกรังแกมาตลอด จนพบนักบวชคนหนึ่งสอนว่า ถ้าเอาหัวใจและตับของคนมากิน จะทำให้เขาฮึกเหิมกล้าสู้คน แต่ซีอุยก็ยังไม่กล้า กินแค่หัวใจและตับสัตว์เท่านั้น จนกระทั่งถูกเกณฑ์เป็นทหารและถูกข้าศึกล้อมจนอดอยาก จึงผ่าศพเพื่อนทหารที่ตายกินประทังชีวิต
เมื่อถูกฟ้องศาล ซีอุยยอมรับสารภาพทั้ง ๗ คดี ศาลชั้นต้นจึงปราณีลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต แต่อัยการอุทธรณ์ คดีจบที่ศาลอุทธรณ์ซึ่งตัดสินให้ประหารชีวิต ซีอุยถูกนำตัวเข้าหลักประหารในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๑ ส่วนศพถูกนำไปดองไว้ในพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ ที่โรงพยาบาลศิริราช
เรื่องราวของซีอุยถูกเล่าขานในด้านความสยดสยองผิดมนุษย์แล้ว ยังเกิดข้อสงสัยและพูดกันว่า นอกจากคดีสุดท้ายที่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งแล้ว อีก ๖ คดีก่อน ซีอุยทำจริงหรือมีคนหลอกให้รับ ว่าถ้ารับแล้วจะถูกส่งตัวกลับเมืองจีน เพราะบางคดีคำสารภาพของซีอุยก็ไม่ตรงกับหลักฐานในที่เกิดเหตุ หลังจากถูกประหารชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีรายการทีวีติดตามขุดคุ้ยความจริงในคดี จากการตามสอบถามญาติๆของผู้ตาย หลายรายก็ไม่เชื่อว่าซีอุยฆ่า ที่สำคัญเหยื่อของซีอุยที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงรายเดียว ที่ว่าถูกซีอุยเชือดคอแต่ไม่ตาย และเห็นผู้ที่เชือดคอตัวเองอย่างชัดแจ้ง ยืนยันว่าคนเชือดไม่ใช่ซีอุย แต่เป็นชายวิกลจริตที่ชื่อ “นายเกลี้ยง” เป็นพี่เมียปลัดอำเภอ แต่ซีอุยก็รับสารภาพไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ตำนานฆ่าเด็กกินหัวใจและตับ ก็เป็นตำนานที่เล่ากันไม่รู้จบ มีทั้งทีวีและภาพยนตร์นำเรื่องซีอุยไปสร้าง แม้ซากศพที่น่าสังเวชซึ่งถูกดองไว้ที่ศิริราช ก็ยังมีคนไปดู จนพิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ถูกเรียกเป็น “พิพิธภัณฑ์ซีอุย”ไป