เภสัชกรแชร์ประสบการณ์คนไข้เคยแพ้ยาจนเสียชีวิต ชี้เกิดจากร้านยาเถื่อนไม่มีเภสัชกร ไม่มีใบอนุญาต ทำคนไข้แพ้ยาจนถึงขั้นเป็นแผลพุพองทั้งตัวเสียชีวิตอย่างทรมาน โดยโพสต์นี้แชร์กันไปกว่า 1,600 ครั้ง กดไลก์กว่า 2,000 ครั้ง
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. เฟซบุ๊ก “พงษ์ศิวะ กู่นอก” เภสัชกร ได้ออกมาคัดค้านพระราชบัญญัติยาฉบับใหม่ โดยเล่าเหตุการณ์ที่เคยประสบเหตุการณ์เจอคนไข้แพ้ยาถึงขั้นเสียชีวิต โดยชี้ว่างานเภสัชกรรมเป็นงานที่ละเอียดมาก ต้องอาศัยคนเก่งๆ ตนเองไม่ใช่คนเก่งแต่ขยันเปิดหนังสือ ขยันอ่าน จึงพอไปได้ และอีกร้อยแปดปัญหาเกี่ยวกับยาซึ่งเภสัชกรถูกสอนให้สงสัยไว้ก่อน เมื่อเจอปัญหาเราก็จะ consult แพทย์ ให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งการใช้ยา เพื่อให้คนไข้ได้รับความปลอดภัยสูงสุด ตนเองนั้นเจอคนไข้แพ้ยา โดยเล่าว่า “โชคร้ายคุณลุงไปซื้อยากับร้านยาเถื่อน ไม่มีเภสัช ไม่มีใบอนุญาต ไม่มีห่าเหวอะไรทั้งนั้น ไม่มีถงไม่มีถามแพ้ยาสักคำ คุณลุงมาด้วยเจ็บคอ ไอ คนขายยาซึ่งไม่ใช่เภสัชก็จ่ายยา cotrimoxazole มาให้ ยานี้ประกอบด้วยยา sulfamethoxazole 800 mg/trimethoprim 160 mg คุณลุงกินเข้าไป เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง อาการก็เกิดขึ้น ใช่แล้วครับ คุณลุงแพ้ยาซ้ำ หลังจากกินยา คุณลุงไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ และถูกส่งตัวต่อมายังโรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ผมอยู่ สภาพคุณลุงก็เป็นอย่างในภาพที่เอาให้ดู
ต้องรองใบตองมาเลย น้ำเหลืองพุพองตลอดวัน ปวดแสบร้อน ทรมาน ถ้าลองกะประมาณชั่วโมงดูนะครับ ภายใน 8 ชั่วโมง ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายค่อนข้างรวดเร็วมาก เพราะอายุของคุณลุงด้วย ภูมิคุ้มกันต่ำ การรับยาที่แพ้ เข้ามาในครั้งที่ 2 ปฏิกิริยาจะตอบสนองรุนแรงกว่าครั้งแรก ผื่นที่เกิดขึ้นกับคุณลุง คือ ผื่น Stevens-Johnson Syndrome (SJS) และถูกพัฒนาจัดเป็น Toxic Epidermal Necrolysis (TEN) ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเจ้า TEN นี้เองคือด่านสุดท้ายแล้วครับ มันคือผื่นแพ้ยาที่รุนแรงที่สุด ผื่นคล้าย SJS แต่มีปริมาณพื้นที่มากกว่า 30% ของทั้งตัว และจะพบว่าผิวหนังพองเป็นตุ่มน้ำ และหลุดลอกง่าย แผลคล้ายรอยไหม้ อาการนำมักเป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว เมื่อยตามตัว เยื้อบุต่างๆ เช่น ริมฝีปาก เพดานปาก เหงือก ลิ้น หรือเป็นตามผิวหนังทั้งร่างกาย ถึงตรงนี้ผมก็พอรู้แล้วครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่ครับ คุณลุงกำลังจะตาย
จากข้อมูลทางการแพทย์ ถ้าผู้ป่วยขึ้น TEN แล้ว เภสัชกรจะทำการประเมินอัตราการรอดชีวิต นั่นคือการทำ SCORTEN ซึ่งได้เท่ากับ 12.1% นั่นคือรอด 87.9% ตาย 12.1% ในฐานะนักศึกษาเภสัชกรในตอนนั้น ผมทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพี่เภสัช คือ ขึ้นตึกไปดูรายการยา และอาหารให้คุณลุงทุกวัน วันที่ 3 ของการรักษา คุณลุงดีขึ้นมาก จนกระทั่งเดินลุงเข้าห้องน้ำเองได้ ถึงตรงนี้ผมก็ดีใจนะที่เห็นว่าลุงดีขึ้นแล้วแต่จู่ๆ เช้าวันที่ 4 ผมก็ต้องเจอข่าวเศร้า นั่นคือคุณลุงเสียชีวิต”
ทั้งนี้ ชาวเน็ตมีความคิดเห็นไปทางเดียวกับกลุ่มเภสัชกรที่ได้ออกมาคัดค้านว่ากฎหมายเปิดช่องให้วิชาชีพอื่นสามารถจ่ายยาได้ และห่วงว่าคนไม่ได้เรียนมาตรงจุดนี้จะสามารถจ่ายยาได้มากน้อยแค่ไหน และประชาชนจะมีความเสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้นหรือไม่