เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ ได้ปรากฏข่าวในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวัน ซึ่งเรียกความสนใจของคนทั้งประเทศ ให้พุ่งมารวมเป็นจุดเดียวกันเช่นเดียวกับข่าว “หมูป่าติดถ้ำ” ก็ว่าได้ และต่างลุ้นระทึกติดตามข่าวอยู่หลายวัน เมื่อเด็กหญิงวัย ๑๖ เดือนลูกคนงานก่อสร้าง เดินเตาะแตะตกลงไปในรูเสาเข็มที่กำลังก่อสร้างอาคารหลังใหม่ของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ถนนวิภาวดีรังสิต ทุกฝ่ายต่างระดมกันเข้าช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยและค่าใช้จ่ายที่มากกว่า ๑๐ ล้านบาท
รูของเสาเข็มที่เกิดเหตุ เป็นรูของเสาเข็มที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๕๐ เซนติเมตร แต่มีรูตรงกลางกว้างแค่ ๒๐ เซนติเมตร ยาวท่อนละ ๑๒ เมตร ฝังลงไป ๒ ท่อนแล้ว เมื่อได้รับแจ้งว่า ด.ญ.สร้อยเพชร บุญน้อย ตกลงไปในรูกลางของเสาเข็ม ร.ต.อ.ไตรรงค์ ชิตบัณฑิตย์ หัวหน้าสายสืบ สน.ดินแดง ได้เดินทางไปทันที
เมื่อเวลา ๐๘.๐๕ น. พบนางสมภาร บุญน้อย แม่ของเด็กยืนร้องไห้อยู่ที่หลุมเสาเข็ม ท่ามกลางคนงานก่อสร้างยืนมุงอยู่รอบ มองลงไปในรูเสาเข็มก็มีแต่ความมืด แต่เมื่อเอาไฟฉายส่องลงไปจึงเห็นเงาของเด็กเลือนราง และได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องแว่วๆ จึงแจ้งให้ พล.ต.ต.ศักดิ์รพี ปรักกมะกุล ผช.ผบช.น.ทราบ
พล.ต.ต.ศักดิ์รพีมีประสบการณ์ในการบรรเทาสาธารณภัยมาโชกโชน และยังเป็นผู้ดูแลหน่วยนี้อยู่ จึงเรียกตำรวจหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมาพร้อมกับรถยก ๒ คัน หย่อนเชือกลงไปด้วยมือตนเอง จนสิ้นสุดลงแค่ ๑๔ เมตร ได้ยินเสียงเด็กร้องแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงฉายสปอร์ตไลท์ลงไปก็มองไม่เห็น จึงใช้ไฟฉายผูกเชือกหย่อนลงไป เห็นมือเด็กไหวๆ ความหวังที่จะช่วยชีวิตจึงมีอยู่
ไม่นานที่ปากหลุมก็เป็นที่ชุมนุมทีมงานช่วยชีวิต ด.ญ.สร้อยเพชร นอกจาก พล.ต.ต.ศักดิ์รพี ปรักกมะกุลพร้อมทีมบรรเทาสาธารณภัยแล้ว ยังมี พ.ต.ต.ประสงค์ กฤษณะสุวรรณ รอง ผกก. ๕ ดพ. ร.ต.อ.ไตรรงค์ ชิตบัณฑิตย์ ร.ต.ท.วรนิตย์ สวนคร้ามดี และคณะแพทย์ รพ.ทหารผ่านศึก นำโดย นพ.สมภพ เปล่งขำ หน.กองเวชศาสตร์รักษา และนายสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรือง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู ซึ่งเดินทางมาบริการเครื่องดื่มและอาหารแก่ทีมงานช่วยชีวิต
แพทย์เกรงว่าอากาศในรูเสาเข็มซึ่งแคบและลึกอากาศจะไม่พอหายใจ จึงโรยสายออกซิเจนลงไป นางสมภารแม่ของเด็กถูกนำมาที่ปากหลุมด้วย เพื่อให้ส่งเสียงถึงลูก และร้องบอกไปว่า
“เพชรจับเชือกไว้ลูก...”
แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบ ทำเอานางสมภารทรุดลงอย่างหมดแรง
ทีมงานปรึกษากันที่จะใช้วิธีสร้างอุปกรณ์เฉพาะกิจ มีลักษณะคล้ายตะขอ หย่อนลงไปเกี่ยวตัวเด็กขึ้นมา แต่ก็ถกกันถึงอันตรายที่อาจจะเกิดแก่เด็ก ในที่สุดก็ตกลงให้ใช้วิธีดึงเสาเข็มต้นแรกยาว ๑๒ เมตรขึ้นมา ถ้าเด็กค้างอยู่ในช่วงนี้ก็จะได้ตัวเด็กขึ้นมาด้วย แต่ก็ถูกท้วงว่าถ้าเด็กอยู่ในต้นที่ ๒ ก็จะทำให้โคลนและน้ำทะลักเข้าไปท่วมเด็ก แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่า จึงต้องใช้วีนี้
นางสมภารบอกว่า ในตอนเกิดเหตุ ตนและนายบุญ พ่อของเด็กไม่อยู่ เพราะในช่วงตอกเสาเข็มนี้ที่นี่ไม่มีงาน นายบุญจึงออกไปรับงานที่อื่น ส่วนตนออกไปตลาด ฝากลูกไว้กับเพื่อนบ้านให้ช่วยดูแล พอกลับมาก็รู้ว่าลูกตกลงไปในรูเสาเข็มแล้ว
ในเวลา ๑๐.๐๕ น. ความหวังเกิดขึ้นอีกเมื่อเด็กสั่นเชือก ทีมงานจึงหย่อนตะแกรงลงไปกันดินไหลลงไปทับเด็ก พร้อมหย่อนท่อออกซิเจนลงไปด้วย
รถตักดินได้เข้ามาตักดินรอบเสาเข็มออกเพื่อดึงเสาเข็มขึ้น และพยายามดึงอย่างช้าๆ เกรงว่าถ้าเด็กติดอยู่จะตกลงไปอีก เวลาช่วงนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ท่ามกลางทีมช่วยชีวิต ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ และไทยมุงกว่า ๕๐๐ ชีวิต ล้อมอยู่รอบเสาเข็มที่เกิดเหตุ รวมทั้งคนป่วยในโรงพยาบาลก็ออกมามุงดูด้วย และส่งเสียงเชียร์เป็นระยะ บ้างก็วิจารณ์ถึงนามสกุล “บุญน้อย” ของเด็ก ว่าถ้ารอดขึ้นมาได้ คงต้องเปลี่ยนนามสกุลเป็น “บุญมาก”
๑๑.๑๕ น. แม่ของเด็กไปที่ศาลพระภูมิของโรงพยาบาล บนว่าถ้าลูกรอดชีวิตขึ้นมาจะแก้บนด้วยพวงมาลัย ๕๐ พวง ไข่ ๕๐ ฟอง กล้วย ๕๐ หวี
๑๑.๕๕ น. เชือกที่หย่อนลงไปเกิดตึงมือขึ้นมา เหมือนเกี่ยวตัวเด็กได้ จึงช่วยกันค่อยๆดึงขึ้นมาอย่างช้าๆ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ปากหลุมไม่กระพริบ แต่เพียง ๑ นาที ดึงเชือกขึ้นมาได้ราว ๕ เมตร ก็เบาหวิวไปทันที พร้อมกับความหวังที่วูบลง
๑๒.๓๐ น. เมื่อรถตักดินโกยดินออกลึกได้ ๘ เมตร ขยายปากหลุมได้ ๔ เมตร รถตักดินทำท่าว่าจะลื่นลงไปที่ปากหลุม ต้องช่วยเอาขอนไม้มารองจึงทำงานต่อได้
๑๓.๐๐ น.หลังจากที่ ด.ญ.สร้อยเพชรตกลงไป ๕ ชั่วโมงแล้ว ก็มีแรงกระตุกเชือกอีก ทีมงานช่วยชีวิตพยายามตะโกนลงไปให้จับตะขอเกี่ยวตัวไว้ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบ อาจจะเป็นเพราะเด็กอายุ ๑๖ เดือนยังไร้เดียงสาที่จะรับรู้
๑๓.๓๐ น. เสาเข็มที่ถูกขุดดินโดยรอบออกเริ่มโยกได้ ทำให้โคลนและน้ำไหลพรูลงไปอย่างน่ากลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็ก แต่ต่อมาก็มีสัญญาณสั่นเชือกอีก ความหวังของทีมช่วยชีวิตจึงยังมีอยู่
๑๓.๔๕ น. เสาเข็มที่ถูกขุดดินโดยรอบออก โยกไปมาได้และเอียงไปหยุดที่ ๗๐ องศา รอยแยกระหว่างต้นที่ ๑ กับต้นที่ ๒ ทำให้โคลนและน้ำไหลลงไปในรูของท่อนที่ ๒ ซึ่งถ้าเด็กอยู่ในต้นที่ ๒ ก็คงถูกถูกโคลนทับตายแล้ว จึงตัดสินใจให้รถปั้นจั่นดึงเสาเข็มต้นที่ ๑ ขึ้นมา แต่รถปั้นจั่นแรงฉุด ๔๐ ตันก็ดึงไม่ไหว ต้องดับเครื่องยอมแพ้
พล.ต.ต.ศักดิ์รพีบอกผู้สื่อข่าวว่า แทบไม่เหลือความหวังอีกแล้ว นอกจากมีปาฏิหาริย์ เด็กติดอยู่ในท่อนที่ ๑ และยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตามความพยายามช่วยชีวิตก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ราว ๑๔.๐๐ น. เจ้าหน้าที่เอาขวดนมผูกเชือกโรยลงไป แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบ จากนั้นรถปั้นจั่นแรงฉุด ๘๐ ตันถูกตามเข้ามาแทนที่ แต่พอลงมือฉุด เสาเข็มท่อนที่ ๑ ก็หัก และไม่พบร่างของเด็กในรูเสาเข็มท่อนที่ดึงขึ้นมาได้
๑๗.๔๕ น. ราว ๑๐ ชั่วโมงที่ ด.ญ.สร้อยเพชรตกลงไป นายแพทย์วงศ์เมือง หงสกุล ผอ.โรงพยาบาลทหารผ่านศึก นายศิริชัย ลีนะบรรจง หน.งานตอกเสาเข็ม พล.ต.ต.ศักดิ์รพี ปรักกมะกุล และ พล.ต.ต.ทศ ธรรมกุล ผบก.ดพ. ก็ลงมติกันว่า เด็กต้องเสียชีวิตแน่แล้ว แต่ก็ต้องกู้ศพเอาขึ้นมาให้ได้
แม่ของเด็กบอกว่า “ไม่มีอะไรจะแทนค่าชีวิตของลูกได้ เมื่อเขาต้องจากไปแล้วก็จะไม่ขอเรียกร้องอะไรจากใคร สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือต้องการศพลูกขึ้นมา เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านลำนารายณ์ ซึ่งสร้อยเพชรเคยไปอยู่กับย่า”
การขุดเพื่อเอาศพขึ้นมาก็ยังดำเนินต่อไปตลอดคืนนั้น ซึ่งก็ยากขึ้นทุกทีเพราะน้ำได้ไหลทะลักเข้าท่วม และไทยมุงไม่ยอมถอย น้ำหนักของคนกว่า ๕๐๐ คนที่มุงกันอยู่รอบหลุมเป็นแรงกดดินปากหลุมด้วย จนทำให้แผ่นเหล็กที่กันดินลั่นเสียงดัง ถ้าถล่มลงไปก็ต้องกลบคนงาน ๕ คนที่โกยดินอยู่ในหลุมด้วย สารวัตรทหารจึงถูกตามมาเพื่อกันไทยมุงออกไป
ตอนเช้า ๐๘.๐๐ น. นายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรีมาตรวจ พอเห็นหลุมที่ขุดก็ตกใจ ว่าขุดขนาดนี้จะมีอะไรเหลือ และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวบุญน้อย พร้อมปลอบขวัญไปด้วยเงินจำนวนหนึ่ง ทีมงานยังคงทำงานกันต่อไปไม่หยุดแม้จะครบ ๒๔ ชั่วโมงแล้ว และ “สมมุติ”ว่า ด.ญ.สร้อยเพชรยังมีชีวิตอยู่
วันแรก คนที่ติดตามข่าวก็ยังมีคำถามเหมือนเป็นคำทักทายประจำวันว่า
“ช่วยเด็กหญิงสร้อยเพชรขึ้นมาได้หรือยัง?”
แต่พอวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ซึ่งเข้าวันที่ ๓ ที่ตกลงไป คำทักทายก็เปลี่ยนเป็นว่า
“ขุดศพเด็กหญิงสร้อยเพชรขึ้นมาได้หรือยัง?”
จนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ การขุดเอาศพขึ้นมาก็ยังไม่สำเร็จ ตะขอที่หย่อนลงไปเกี่ยวศพได้ ๒ ครั้ง แต่ก็ได้เพียงกลิ่นศพติดตะขอขึ้นมา ในตอนค่ำทีมงานเปลี่ยนวิธีการเป็นใช้ตะขอที่ทำเป็นพิเศษ ทะลวงโคลนที่อัดแน่นในรูเสาเข็มให้ทะลุออก แล้วอัดน้ำและลมลงไปให้ดันศพลอยขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี
ล่วงเข้าวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ เวลา ๐๔.๒๕ น. หลังจากการทำงานของทีมช่วยชีวิตที่ทุ่มเทกันไม่มีเวลาหยุดมาตั้งเช้าวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ เหล็กปลายแหลมตะขอจากมือ ด.ต.ยศ เกสรมาลา ตำรวจบรรเทาสาธารณภัย ดึงของหนักขึ้นมาได้ทีละน้อยๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้องไม่กระพริบ ชายเสื้อของเด็กโผล่ขึ้นมาให้เห็นก่อน ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของทีมช่วยชีวิตและกองเชียร์ไทยมุงที่ไม่ยอมถอย พอพ้นรูเสาเข็มที่หัก เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิร่วมกตัญญูก็เข้าไปอุ้มร่างอันไร้วิญญาณของ ด.ญ.สร้อยเพชร บุญน้อยไว้ในวงแขน ร่างของเด็กน้อยมีความยาวราว ๘๕ เซนติเมตร ช่วงไหล่กว้างประมาณ ๑๘ เซนติเมตร เล็กกว่ารูเสาเข็มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เธอคงลื่นไถลลงไปในหลุมเสาเข็มในลักษณะเอาขาลง มือทั้งข้างชูขึ้น เสื้อกล้ามตัวเดียวของเด็กน้อยกลายเป็นสีโคลน แขนขายังอยู่ในสภาพปกติ แต่ที่กระหม่อมมีรอยถูกแทงหลายแผลจนแหลกเหลว จากเหล็กแหลมที่หน่วยช่วยชีวิตส่งลงไปกระทุ้งดินที่กลบตัวเธออยู่ เพื่ออัดน้ำและลมไปดันศพให้ลอยขึ้นมา จากนั้นก็ส่งศพของเด็กน้อยที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วประเทศไปที่สถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ เพื่อพิสูจน์ตามระเบียบ
นายกฤติวัฒน์ ศรีพสุธร รอง ผจก.ห้างหุ้นส่วนพรไพบูลย์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถคำนวณค่าเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งนี้ได้ แต่ก็คาดว่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านบาทที่จะปรับพื้นที่ก่อสร้างให้กลับสู่สภาพเดิม แต่ก็ยังไม่เท่ากับความสูญเสียชีวิตของเด็กน้อย
ผลสรุปของความเสียหายในเรื่องนี้ ผู้รับเหมาคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แม้จะกั้นรั้วบริเวณก่อสร้าง มีป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด ตาม กม.ระบุให้ทำ แต่ก็เปิดช่องไว้ให้คนงานเข้าออกได้สะดวกโดยไม่มีประตูปิดกั้น ทำให้เด็กน้อยวัย ๑๘ เดือนเดินเตาะแตะเข้าไปด้วยความไร้เดียงสา
ส่วนผู้ปกครองของเด็กที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ก็ควรมีความระมัดระวังในการดูแลลูกที่ยังไร้เดียงสาให้มากกว่านี้ เธอคงไม่ได้ตายเพราะบุญน้อย แต่ตายเพราะการดูแลน้อยไปมากกว่า
นี่ก็เป็นบทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องมักง่ายและสัพเพล่าแบบนี้ก็ยังเกิดอยู่เป็นประจำ การมีความรับผิดชอบและสำนึกในความปลอดภัย จึงเป็นสิ่งที่จะป้องกันความเศร้าสลดแบบนี้ได้