xs
xsm
sm
md
lg

ใครอมปืนใหญ่โบราณหน้ากลาโหม หายไปถึง ๕๑ ! โผล่ที่พิพิธภัณฑ์อินเดียแล้ว ๔ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลก็มี !!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

พญาตานี
มีข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ได้ขุดพบปืนใหญ่โบราณกระบอกหนึ่งกลางสนามหนามหลวง ในเขตที่เคยเป็นวังหน้ามาก่อน กรมศิลปากรได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นปืนใหญ่ขนาดกลาง ยาว ๓๐๕ ซม. เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกกว้าง ๒๒ ซม. ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เป็นแบบที่เคยใช้ในสงครามยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เช่นสงคราม ๙ ทัพในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทมีบทบาทที่สำคัญ

ข่าวนี้เลยทำให้นึกถึงพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวที่เปิดกลางแจ้ง และเป็นพิพิธภัณฑ์พิเศษเปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตั้งอยู่ริมถนนไม่เร้นลับ ทุกคนก็รู้ว่าอยู่หน้าศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมนี่เอง

พ.อ. ดำเนิร เลขะกุล อดีตหัวหน้ากองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร กรมการศึกษาวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้เขียนไว้ในหนังสืองานศพของ พ.อ. ปลั่ง กิตติวรรณ ผู้รวบรวมทำประวัติปืนใหญ่หน้ากระรวงกลาโหมไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ว่า เมื่อคราวที่ นายซี.เอ.ซีเมอร์ ซีเวลล์ สมาชิกของสยามสมาคม ได้มาสำรวจปืนใหญ่โบราณหน้ากระทรวงกลาโหม และนำไปอ่านให้สมาชิกสยามสมาคมเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๐๖ นั้น พบว่าปืนใหญ่หน้ากลาโหมมีถึง ๗๑ กระบอก แต่ตอนนี้หาอีกว่า ตามทำเนียบปืนใหญ่สำหรับรักษาพระนคร มีรายชื่อแจ้งชัดไว้ ๙๑ กระบอกยไป ๓๑ กระบอก เคยไปดูชื่อปืนใหญ่สองสามกระบอกที่ประดับอยู่ที่สนามหน้าทำเนียบรัฐบาล ก็พบว่ามีชื่อตรงกับปืนใหญ่ที่หายไปในจำนวนนี้ด้วย ทั้งยังทราบมา แสดงว่าก่อนที่จะมาอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมก็หายไป ๒๐ กระบอกแล้ว

ปืน ๓๑ กระบอกที่หายไปจากหน้ากระทรวงกลาโหมนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นปืนครกปากกว้าง ลำกล้องสั้น ซึ่งเคยวางอยู่แถวหน้าที่สนามหญ้า ปืนประเภทนี้เป็นปืนที่นิยมใช้กันอยู่ช่วงเวลาสั้นๆ มีไม่มากนัก และเป็นของหายาก จึงเป็นของมีราคาสูงในตลาดของเก่าต่างประเทศ ที่นายซีเวลล์มาสำรวจ ก็เพราะได้รับการขอร้องจาก เซอร์ เจ.อาร์. เฮนเดอร์สัน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษ ที่เมืองมัทราสในอินเดีย ให้ช่วยอ่านชื่อและคำอธิบายที่จารึกอยู่ในปืนใหญ่โบราณของไทย ๔ กระบอก ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ให้ด้วย นายซีเวลล์จึงไปศึกษาปืนที่หน้ากลาโหม แสดงว่า ๔ กระบอกไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของอังกฤษที่อินเดียแล้ว

เอาเป็นว่า แม้ในทำเนียบเก่าจะมีอยู่ถึง ๙๑ กระบอก แต่เอามาไว้ที่หน้ากลาโหมได้แค่ ๗๑ กระบอก ตอนนี้เหลืออยู่แค่ ๔๐ กระบอก ก็เอา ๔๐ กระบอกนี้ให้อยู่ครบตลอดไปก็แล้วกัน

ในจำนวนปืนทั้ง ๔๐ กระบอกหน้ากลาโหมนี้ พญาตานี นับว่าเป็นกระบอกเด่นที่สุดและยาวที่สุด คือมีความยาว ๖.๐๔ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดลำกล้อง ๒๔ ซม. โลหะปากลำกล้องหนา ๑๐ ซม. ตอนท้ายทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอนยื่นยาวออกไป มีห่วงใหญ่สำหรับจับยก ๔ ห่วง และที่เพลามีเครื่องประดับเป็นรูปราชสีห์ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มหาสุรสิงหนาท เสด็จไปปราบปรามเมืองปัตตานีใน พ.ศ.๒๓๒๙ ซึ่งแข็งเมืองมาตั้งแต่ตอนกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วนำปืนกระบอกนี้เข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯให้หล่อปืนขึ้นอีกกระบอก ๑ คู่กับพระยาตานี โดยเกณฑ์ทองเหลือง ทองแดง จากข้าราชการตามเบี้ยหวัดตั้งแต่ ๑๐ ตำลึงขึ้นไป เบี้ยหวัด ๑ ชั่งก็เอาทองเหลืองทองแดง ๑ ชั่งเหมือนกัน พระราชทานนามว่า “นารายณ์สังหาร” ตั้งไว้คู่กับพระยาตานี ทั้งยังโปรดให้หล่อขึ้นอีก ๖ กะบอกเป็น ๓ คู่ ชื่อ มารประไลย, ไหววรนพ, พิรุณแสนห่า, พลิกพสุธาหงาย, พระอิศวรปราบจักรวาล, พระกาฬผลาญโลก ซึ่งปืนชุดนี้ทั้งหมดตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน

นารายณ์สังหาร มีความยาวตลอดลำกล้อง ๓.๖๐ เมตร สั้นกว่าพญาตานี แต่ลำกล้องปืนกว้างกว่า คือกว้าง ๒๙.๕ ซม. โลหะปากกระอกหนา ๑๖.๕ ซม.

ส่วนปืน พระพิรุณแสนห่า เคยเป็นชื่อปืนสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นปืนขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก แต่ คอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ ก็แสดงความสามารถชั่งน้ำหนักจนได้ ทำให้เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์ ตอนกรุงศรีอยุธยาจะแตก ไทยหมดดินปืนจะยิง แต่ยังเสียดายปืน จึงเข็นไปทิ้งลงสระน้ำในพระราชวัง แต่ก็มีคนแอบไปเอาความดีความชอบกับพม่าจนได้ พม่าเลยงมขึ้นมาขนลงเรือจะเอาไปประเทศ แต่พอเรือมาถึงหน้าวัดเขมา นนทบุรี เห็นท่าว่าจะเอาไปไม่รอด เลยเอาขึ้นไประเบิดบนฝั่ง แล้วขนแต่ทองเหลืองกลับไป

พระพิรุณแสนห่า ที่หล่อใหม่นี้ มีลวดลายสวยงามมาก มีรูปราชสีห์เผ่นอยู่ที่เพลา มีห่วงจับยก ๔ ห่วง และเป็นปืนคู่ของพลิกพสุธาหงาย

ในจำนวนปืน ๔๐ กระบอกหน้ากลาโหมนี้ มีหลายกระบอกที่ส่งมาจากต่างประเทศ อย่างเช่น กระบอกที่มีชื่อไทยจารึกไว้ว่า “ชะนะหงสา” และมีชื่อภาษาฝรั่งเศสด้วยว่า “LE CAMELEON” A DOUAY PAR J.BERENGER 24.7 BRE 1767 บอกว่าสร้าง ณ โรงงานดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดย เจ.เบรังเยร์ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๑๐ สันนิษฐานว่าคงใช้งานในราชการสงครามสมัย ร.๑ ที่ไปตีเมืองทะวาย จึงได้ชื่อชะนะหงสา

ปืนหน้ากลาโหมที่มีจารึกว่าสร้างโดยโรงงานดูเอย์ ยังมีอีก ๕ กระบอก คือ ปราบอังวะ, มหาจักรกรด, พรหมมาศ, ปราบมาร, คนธรรพแผลงฤทธิ์ และ ลมประไลกัลป์

ส่วนอีก ๖ กระบอก มีชื่อภาษาไทยเหมือนกัน แต่ก็มีภาษาโรมันจารึกไว้ด้วยอย่างปืน “ปีศาจเชือดฉีกกิน” ลำกล้องยาว ๒.๐๔ เมตร หลอดลำกล้องกว้าง ๑๑ เซนติเมตร จารึกไว้ว่า “L. BANCHONGROTCHANA ANNO 1792 5 LIVRO” แสดงว่าหล่อโดย หลวงบรรจงรจนา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๕

หลวงบรรจงรจนา เป็นบรรดาศักดิ์ขุนนางไทย มีหน้าที่เป็นช่างออกแบบ แต่ข้าราชการไทยคงไม่กล้าจารึกชื่อของตัวเองลงในกระบอกปืนใหญ่เช่นนี้ และจารึกไว้เป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย จึงสันนิษฐานกันว่า หลวงบรรจงรจนาคนนี้อาจจะเป็นชาวยุโรปที่เข้ามารับราชการไทยและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในหน้าที่หล่อปืนใหญ่ ยังมีปืนที่จารึกในชื่อ หลวงบรรจงรจนาเป็นภาษาโรมัน หล่อใน พ.ศ. ๒๓๓๕ อีก ๕ กระบอกคือ “ธรณีไหว” “ไฟมหากาล” “มารกระบิล” “ปล้องตันหักคอเสือ” และ “ศิลปนารายณ์”

ในกลุ่มปืนใหญ่หน้ากลาโหม มีเพียง ๓ กระบอกที่ไม่มีชื่อไทย และไม่ทราบประวัติความเป็นมา คงมีจารึกที่กระบอกปืนกระบอกหนึ่งว่า “ALEXO DE TEXEDA 1625 S.MICVEL” สันนิษฐานว่าหล่อที่สเปญ ปี พ.ศ. ๒๑๖๘ ส่วนอีก ๒ กระบอกเป็นปืนขนาดเล็ก ลำกล้องยาวเพียง ๑.๕๔ เมตร มีอักษรจารึกแต่เพียงว่า P1009 1860 และ P1010 1860 มีมงกุฎเป็นลายดุน ไม่มีประวัติ ไม่พบหลักฐานจึงไม่รู้ที่มา

ปืนใหญ่อีกกระบอกคือ “ไทยใหญ่แล่นหน้า” เป็นปืนที่ความยาวตลอดลำกล้องเพียง ๒.๐๑ เมตร ลำกล้องกว้าง ๙ ซม. ปืนกระบอกนี้เป็นปืนชุด “ปืนชนชาติต่างๆ” มีเพียง ๑๐ กระบอกเท่านั้นขนาดเท่ากันทั้งหมด มีลายดอกไม้และใบไม้อยู่รอบท้ายของลำกล้อง มีหัวคนเล็กๆ อยู่ที่รูชนวน มีหูสำหรับยกคู่หนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับที่โรงงานดูเอย์สร้าง หรือไม่ก็หล่อในเมืองไทยตามแบบของเบริงเยร์ ผู้สร้างปืนใหญ่ของยุโรป

ปืนทั้ง ๑๐ กระบอกนี้ก็มี ขอมดำดิน จีนสาวไส้ ไทยใหญ่เล่นหน้า ชะวารำกฤช มุดงิดทะลวงฟัน มักกะสันแหกค่า, ฝรั่งร้ายแม่นปืน แมนแทงทวน ยวนย่างง้าว ลาวตีคลี แต่ทว่าขณะนี้ ชะวารำกฤช กับ ลาวตีคลี ไม่มีอยู่หน้ากลาโหม คงหายไป ๒ กระบอก และไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่สมัยไหน

ปืนใหญ่โบราณเหล่านี้นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ จะหาปืนโบราณใหญ่ขนาดนี้คงไม่ได้อีกแล้ว แม้จะเชื่อว่ายังมีจมดินจมน้ำอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจมอยู่ตรงไหน นอกจากจะโชคดีเหมือนอย่างเจอที่สนามหลวงในวันนี้ เมืองไทยเรากำลังอาศัยการท่องเที่ยวทำรายได้สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศ ปืนใหญ่โบราณเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ปืนเหล่านี้ได้เคยปกป้องประเทศชาติ ถล่มอริราชศัตรูมาแล้ว จึงนับว่าทำคุณประโยชน์ให้คนไทยอย่างใหญ่หลวง

ในสมัยโบราณก็ช่วยปกป้องประเทศชาติไว้ มาสมัยนี้ยังส่งเสริมการท่องเที่ยว หารายได้ให้ประเทศอีก ของมีคุณค่าได้มากขนาดนี้ หาได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ





กำลังโหลดความคิดเห็น