xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 ส.ค.2561

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

1.“บิ๊กตู่” เตรียมใช้ ม.44 แก้ปัญหาไพรมารีโหวต-นัด คสช.ถกคลายล็อกให้พรรคการเมือง 28 ส.ค.นี้!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการโปรดเกล้าฯ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ชุดใหม่ 5 คน ปรากฏว่า กกต.ชุดใหม่ได้เผยแผนปฏิบัติการเลือกตั้ง ส.ส.เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้าแล้ว โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ยืนยันว่า กำหนดการเลือกตั้งที่เร็วสุด คือ 24 ก.พ.2562 และช้าสุดคือ 5 พ.ค.2562 ส่วนจะมีปัจจัยอะไรทำให้เกิดการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นที่ กกต.จะพิจารณา

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เข้าหารือกับ กกต.ชุดใหม่ หลังหารือ นายวิษณุ เผยว่า ได้หารือกับ กกต.10 ประเด็น เป็นการต่อยอดจากการประชุมเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการคลายล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ 6 อย่าง โดยไม่ต้องขออนุญาต คสช. เช่น การจัดประชุมใหญ่เพื่อรับสมาชิกใหม่ และการทำสิ่งที่คล้ายกับการทำไพรมารีโหวตที่กำหนดไว้ในกฎหมายพรรคการเมือง เพราะหากทำตามกฎหมายพรรคการเมือง จะมีความยุ่งยากตามมา ซึ่ง กกต.ระบุว่ามีหลายวิธีที่สามารถดำเนินการได้ และชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทาง ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป โดยตนจะรวบรวมเสนอ คสช.เพื่อพิจารณาแก้ไขต่อไป นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้ต้องจัดการเลือกตั้งช้ากว่าวันที่ 24 ก.พ.2562

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวหลังประชุม ครม.สัญจรที่ จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ถึงปฏิทินการเลือกตั้ง โดยยังคงยืนยันว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นในเดือน ก.พ.2562 ตามที่เคยพูดไว้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ค่อยมาว่ากันอีกที ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์เผยด้วยว่า ในเดือน ก.ย.นี้ จะมีมาตรการต่างๆ ออกมา มีการปลดล็อกในบางเรื่อง รวมถึงเรื่องการทำงานของ กกต.ที่สามารถดำเนินการได้ รวมทั้งจะมีการหารือกับตัวแทนพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเดือน ก.ย.นี้ด้วยเช่นกัน

วันต่อมา 22 ส.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พูดถึงการแก้ปัญหาเรื่องไพรมารีโหวตอีกครั้งว่า การแก้ไขไพรมารีโหวตจะนำไปสู่การแก้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยแนวทางที่จะเสนอให้ คสช.พิจารณา มีทั้งข้อเสนอเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะเปลี่ยนมาเป็นไพรมารีโหวต รวมถึงการทำไพรมารีระดับภาค ไพรมารีระดับจังหวัด ไพรมารีระดับเขต และไม่ทำไพรมารีโหวต แต่การไม่ทำไพรมารีโหวตคงไม่เกิดขึ้น เพราะจะขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 และไม่ว่า คสช.จะเลือกแนวทางใด จะใช้เวลาไม่นาน อาจใช้เวลาแค่ 1-2 วันในการแก้ไข เพราะได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า จะมีการใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ในการแก้ปัญหาเรื่องไพรมารีโหวต และการแก้ไข พ.ร.ป.พรรคการเมือง

ขณะที่พรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ส.ค.เรียกร้องให้มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองโดยสิ้นเชิง เพื่อเปิดทางไปสู่การเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า ถ้า คสช.ยังไม่คลายล็อกให้พรรคการเมือง ก็ควรปลดล็อกให้ กกต.สามารถเร่งแบ่งเขตเลือกตั้งได้ เพราะการแบ่งเขตเลือกตั้งจะเป็นตัวบ่งบอกให้พรรคต้องเตรียมการ ทั้งการหาสมาชิก การตั้งสาขาพรรคเพื่อจะมาทำไพรมารีโหวตให้ลงล็อกกับพื้นที่ที่แบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ คสช.ควรแก้ให้ตรงจุดคือ ให้ความชัดเจนเรื่องเขตเลือกตั้ง

ล่าสุด 24 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันแล้วว่า จะมีการประชุม คสช.เพื่อหารือเรื่องคลายล็อกให้พรรคการเมืองในวันอังคารที่ 28 ส.ค.นี้

2.“ตร.-กรมขนส่งฯ-นักวิชาการ” ยันจำเป็นต้องเพิ่มโทษปรับ-จำคุกผู้ขับรถไม่มีใบขับขี่ ชี้ช่วยลดอุบัติเหตุ-การสูญเสีย!
(บน) ตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดแถลงยืนยันความจำเป็นในการเพิ่มโทษผู้ขับรถที่ไม่มีใบขับขี่ (ล่าง) ตัวเลขผู้ไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ และสถิติยืนยันใบขับขี่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่กรมการขนส่งทางบกได้เสนอปรับแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 เข้าด้วยกันให้เป็นกฎหมายฉบับเดียว และมีการเพิ่มโทษคนที่ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาต

ทั้งนี้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยรายละเอียดการเสนอปรับแก้กฎหมายดังกล่าวของกรมการขนส่งทางบกว่า มีการเสนอเพิ่มโทษสำคัญๆ ใน 3 มาตรา คือ 1.มาตรา 64 ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งตามกฎหมายเดิมลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท แต่กฎหมายใหม่เสนอให้ปรับเพิ่มโทษเป็น จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท

2.มาตรา 65 ขับรถในระหว่างใบอนุญาตสิ้นอายุ ถูกพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตหรือถูกยึดใบอนุญาต ตามกฎหมายเดิมลงโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่กฎหมายใหม่เสนอให้เพิ่มโทษจำคุกเข้ามาด้วย คือ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ส่วนโทษ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท

และ 3.มาตรา 66 ขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาต ตามกฎหมายเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่กฎหมายใหม่ เสนอให้ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

พ.ต.อ.กฤษณะ เผยด้วยว่า ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขได้ผ่านความเห็นชอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ร่างอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หากผ่าน สนช. แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องนำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ก่อนจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการหลังลงประกาศในราชกิจจาฯ ครบ 1 ปีไปแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ส.ค. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เปิดแถลงชี้แจงความจำเป็นที่ต้องแก้ไข พ.ร.บ.รถยนต์ และ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก โดยนายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ชี้แจงว่า การยกร่างกฎหมายนี้เป็นการปรับเนื้อหาให้ทันสมัย และเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน และว่า ข้อมูลจากศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย พบว่า กลุ่มผู้ขับขี่ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตร้อยละ 34 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ถึง 2 เท่า

นายกมล กล่าวด้วยว่า การเสนอแก้ไขปรับเพิ่มโทษผู้ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาต จะทำให้การพิจารณาโทษตามฐานความผิดอยู่ในดุลพินิจของศาล ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรมากขึ้น ยืนยัน การปรับแก้เพิ่มโทษ ผ่านการศึกษารวมรวมข้อมูลทางวิชาการแล้ว และปรับให้ทัดเทียมมาตรฐานสากลด้วย "ระบบที่เราพยายามนำมาใช้คือ ทำให้ใบขับขี่ออกยาก ยึดง่าย กรมการขนส่งทางบกเตรียมปรับปรุงการพิจารณาออกใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ออกยากขึ้น ปัจจุบันการสอบใบขับขี่ต้องสอบข้อเขียน 50 ข้อ เพิ่มการอบรมจากเดิม 2 ชั่วโมง เป็น 5 ชั่วโมง"

ด้าน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย กล่าวว่า ข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด เฉลี่ยปีละ 1,688 คน และว่า จากการศึกษาจากต่างประเทศที่ได้รับการยอมรับด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน พบว่าความผิดเกี่ยวกับการขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถในประเทศญี่ปุ่น มีโทษปรับไม่เกิน 300,000 เยน (88,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และถูกตัดแต้ม 12 คะแนน ส่วนสหรัฐอเมริกา มีโทษปรับไม่เกิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (800,000บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี และถูกบันทึกประวัติตลอดชีวิตด้วย

นพ.ธนะพงศ์ เผยด้วยว่า "มีข้อมูลยืนยันจากการศึกษาพบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย อายุต่ำสุดคือ 9 ขวบเท่านั้น และเด็กเยาวชนที่ขี่จักรยานยนต์ได้ ส่วนใหญ่ เรียนรู้จากคนในครอบครัว คนรอบข้าง ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมให้ขับขี่บนท้องถนนร่วมกับผู้อื่นอย่างถูกวิธี นี่คือต้นเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุ ผมเชื่อว่าหากบังคับใช้กฎหมายเรื่องใบขับขี่อย่างเคร่งครัด อย่างน้อยก็ลดจำนวนความสูญเสียจากอุบัติเหตุของกลุ่มเด็ก ที่ขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตได้"

ขณะที่ รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กล่าวว่า จากสถิติพบว่า ผู้ขับขี่รถจักรยนยนต์กว่าร้อยละ 60 ไม่มีใบขับขี่ และมีโอกาสที่จะประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่มีใบขับขี่ 2 เท่า ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 24 ปี แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ แต่มาขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูงขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องปรับแก้กฎหมายเรื่องใบขับขี่ให้เหมาะสม ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เสริมสร้างวินัยจราจร โดยยึดหลักเกณฑ์ "ออกยาก ยึดง่าย"

ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ในฐานะคณะทำงานแก้ไขปัญหาจราจร ยืนยันว่า ตำรวจมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายการขับขี่สาธารณะเพื่อคุ้มครองชีวิตของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ที่ผ่านมาตำรวจก็เข้มงวดเรื่องการจับยึดใบอนุญาตขับขี่ แต่โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ถือเป็นลหุโทษ ปรับในชั้นตำรวจได้ ประชาชนไม่เกรงกลัว ยึดก็เอาคืน ปรับก็ไม่สนใจ ไม่มีก็ขับรถต่อไป เรียกว่าไม่เกรงกลัว จึงต้องมีการเพิ่มโทษให้หนักขึ้น ปรับในชั้นตำรวจไม่ได้แล้ว ต้องทำสำนวนส่งอัยการ ส่งศาล ปรับหรือจำคุกตามแต่ดุลพินิจของศาล เพื่อให้ประชาชนเคารพกฎหมายมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชน พร้อมยอมรับว่า ตลอดระยะเวลา 39 ปีที่มีการใช้กฎหมาย ประชาชนไม่มีความเกรงกลัว และฝ่าฝืนกฎหมายเรื่อยมา

3.ศาลให้ “กี้ร์ อริสมันต์” ประกันตัวคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรแล้ว ตั้งเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ!
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และอดีตแกนนำ นปช.
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อายุ 54 ปี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และอดีตแกนนำ นปช. ได้เดินทางพร้อมด้วยทนายความไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ , บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด, บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด และ น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัท ไทยเฉนหยูฯ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด แก่ตนเองหรือผู้อื่น และสนับสนุนนายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ซึ่งเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86, 91 หลังจากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา

แต่ปรากฏว่า หลังยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ศาลกำหนดหลักทรัพย์ในการประกัน 5 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับราคาประกันของนายวัฒนา เมืองสุข จำเลยคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในอีกสำนวนหนึ่ง แต่นายอริสมันต์หาหลักทรัพย์ได้เพียง 3 ล้านบาท ไม่พอตามที่ศาลกำหนด นายอริสมันต์จึงต้องถูกควบคุมตัวไว้ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อน

อย่างไรก็ตาม ช่วงบ่ายวันต่อมา 24 ส.ค. นายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความนายนายอริสมันต์ ได้นำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยจำนวน 5 ล้านบาท มายื่นต่อศาลเพื่อขอประกันตัวนายอริสมันต์อีกครั้ง ด้านศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เเล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายอริสมันต์ โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกประเทศเว้นจะได้รับอนุญาตจากศาล

นายกัณต์พัศฐ์กล่าวด้วยว่า นายอริสมันต์จะต้องเดินทางไปศาลในวันนัดสอบคำให้การในวันที่ 5 ต.ค. ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาคดีครั้งเเรกพร้อมกับสำนวนของนายวัฒนา เมืองสุข จำเลยคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร แต่คนละสำนวน ซึ่งในวันที่ 5 ต.ค. นายอริสมันต์ไม่ต้องยื่นประกันตัวใหม่ เนื่องจากได้ยื่นและได้ประกันตัวเรียบร้อยเเล้วในครั้งนี้

นายกัณต์พัศฐ์ยืนยันด้วยว่า นายอริสมันต์จะเดินทางไปศาลวันที่ 5 ต.ค.เเน่นอน โดยการเลือกมาแสดงตัวก่อนวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก ก็เพื่อเเสดงเจตนาว่าไม่หลบหนี พร้อมสู้คดี เเละว่า คดีนี้นายอริสมันต์ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการบ้านเอื้ออาทรเเละไม่เกี่ยวข้องกับนายวัฒนา โดยตอนเกิดเหตุ นายอริสมันต์ไม่ได้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง นายกัณต์พัศฐ์ยังส่งสัญญาณด้วยว่า หลังจากนี้ตนและนายอริสมันต์จะดูรายละเอียดในสำนวนเเละจะมีการฟ้องกลับ ส่วนจะฟ้องใครบ้าง ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากยังไม่ทราบรายละเอียดในสำนวนที่กำลังจะมีการพิจารณาคดี

4.แม่พลทหารแจ้งจับ ลูกชายโดน 3 รุ่นพี่ซ่อมปางตาย “ผู้พันลพบุรี” อ้างแค่ทะเลาะวิวาท “ผบ.ทบ.” ยันไม่มีระบบซ่อมแล้ว!
(บนซ้าย) พลทหารคชา พะชะ อายุ 22 ปี สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จ.ลพบุรี (บนขวา) พลทหารรุ่นพี่ 3 นาย ขอขมาพลทหารคชาที่หน้าเตียงผู้ป่วย (ล่าง) ผอ.โรงพยาบาลอานันทมหิดล นำแพทย์พร้อมบิดามารดาของพลทหารคชา แถลงไม่พบรอยช้ำหรือร่องรอยการถูกทำร้ายที่ร่างกายพลทหารคชา
เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักกรณีพลทหารสังกัดหน่วยทหารใน จ.ลพบุรี ถูกทหารรุ่นพี่ 3 คน ซ่อม หรือธำรงวินัยเกินกว่าเหตุ จนหัวใจหยุดเต้น ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอานันทมหิดล ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี โดยทหารที่บาดเจ็บ คือ พลทหารคชา พะชะ อายุ 22 ปี สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จ.ลพบุรี

ต่อมา น.ส.กาญจนาภรณ์ สีหะวงค์ น้าของพลทหารคชา เผยว่า ภรรยาของหลานทราบเหตุดังกล่าวจากแฟนของเพื่อนหลานเมื่อคืนวันที่ 21 ส.ค.ว่า พลทหารคชาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล มีอาการหัวใจหยุดเต้น ต่อมาพ่อของหลานจึงโทรไปสอบถามที่ค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ทหารที่รับสายอ้างว่าไม่ทราบรายละเอียด บอกแค่ว่าส่งโรงพยาบาลแล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วโมง นายทหารอีกคนโทรมาหาพ่อของหลานว่า ขณะที่พลทหารคชากำลังจัดสัมภาระเตรียมเข้าไปฝึก อยู่ดีๆ ก็น็อกขึ้นมา จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลอานันทมหิดล ห่างจากค่ายประมาณ 15 นาที

หลังจากนั้น เวลาประมาณตีสอง แพทย์ได้โทรมาบอกพ่อกับแม่ของพลทหารคชาว่า ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น ได้ปั๊มหัวใจมา 15 นาทีแล้ว ถ้าปั๊มแล้วยังไม่ขึ้น จะให้ปั๊มต่อหรือไม่ เพราะกลัวว่าซี่โครงจะหัก ทางพ่อแม่ยืนยันว่า ให้ปั๊มจนกว่าหัวใจจะกลับมาเต้น ต่อมา ช่วงเช้า พ่อกับแม่ได้ไปดูอาการที่โรงพยาบาล พลทหารเข้มอยู่ในห้องไอซียู ใส่เครื่องช่วยหายใจ แพทย์บอกว่า โอกาสรอดชีวิตเหลือแค่ 30% ขอให้ทำใจ ถ้าฟื้นขึ้นมา ก็อาจจะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนนาน หลังหัวใจหยุดเต้นไป 2-3 ครั้ง และตอนนำส่งโรงพยาบาล มีอาการไตวายด้วย น.ส.กาญจนาภรณ์ เล่าอีกว่า ตอนที่แม่เข้าไปเยี่ยมลูก ลูกลืมตามองแล้วน้ำตาไหลก่อนหลับไป ยังขยับร่างกายไม่ได้

น้าของพลทหารคชา เล่าต่อว่า พ่อของหลานได้โทรไปนายทหารคนหนึ่งยศพันโท เพราะไม่เชื่อว่า ลูกจะน็อกไปเอง เพราะเป็นคนแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว กระทั่งนายทหารดังกล่าวยอมรับว่า พลทหารคชาถูกพลทหารรุ่นพี่ 3 นายซ่อมจริง ซึ่งหลังเกิดเหตุ พลทหารทั้ง 3 นายได้ถูกควบคุมตัวและขังในคุกทหารแล้ว ยังไม่ได้ดำเนินคดีอะไร โดยพลทหารทั้ง 3 นายรับสารภาพว่าซ่อมจริง และว่า นายทหารคนดังกล่าวบอกว่า จะรักษาและดูแลเต็มที่ แต่ไม่อยากให้เป็นข่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. แม่และภรรยาของพลทหารคชา ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.เมืองลพบุรี เพื่อดำเนินคดีผู้ที่ทำร้ายพลทหารคชา โดยตำรวจได้เชิญพ่อและแม่พลทหารคชามาสอบปากคำด้วย ซึ่งต่อมา พ.ท.มลชัย ยิ้มอยู่ ผบ.ร.31 พัน 3 รอ. จ.ลพบุรี พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ ได้นำตัวพลทหารรุ่นพี่ 3 คน มากราบขอขมาพ่อแม่ของพลทหารคชา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาพลทหารทั้ง 3 คนแต่อย่างใด พ.ท.มลชัย ยังปฏิเสธด้วยว่า ข่าวที่ออกมาว่า พลทหารคชาโดนซ่อมจนบาดเจ็บสาหัสนั้น ไม่เป็นความจริง แต่เป็นการทะเลาะวิวาทกัน และตนยินดีจะนำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย

ขณะที่ พ.ต.อ.ศักดิ์ชัย เกษโกมล ผกก.สภ.เมืองลพบุรี เผยเหตุที่ยังไม่ตั้งข้อกล่าวหาใครว่า ต้องรอผลพิสูจน์จากแพทย์ก่อนว่า ผู้เสียหายบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด และต้องสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ รวมทั้งผู้ที่ร่วมทำร้ายทั้ง 3 คน และอาการของพลทหารคชา ยังคงสาหัส ม่านตายังไม่ตอบสนอง อาการยังไม่ดีขึ้น ยังไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้

วันเดียวกัน (23 ส.ค.) น.ส.วรรณิสา บุญตา ภรรยาของพลทหารคชา ซึ่งกำลังท้อง 5 เดือน ลูกคนที่สอง เผยว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน ทหารรุ่นพี่ทั้ง 3 นายได้เดินทางมากราบสามีที่เตียงผู้ป่วย พร้อมระบุว่า ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้ โดยญาติได้อโหสิกรรมให้ เพราะไม่อยากจองเวรต่อกัน แค่ขอให้รับผิดชอบก็พอ โดยทั้ง 3 คนรับปากจะรับผิดชอบ

ด้าน พ.ท.มลชัย ยิ้มอยู่ ผบ.ร.31 พัน 3 รอ. จ.ลพบุรี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งว่า ในฐานะผู้บังคับกองพัน หลังเกิดเหตุ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเพื่อดำเนินการทางวินัยและอาญา “พลทหารทั้ง 3 นายสารภาพว่า เป็นผู้กระทำ เป็นการทะเลาะวิวาทกันระหว่างพลทหารด้วยกันเอง สิ่งที่ดำเนินการที่ผ่านมา ยืนยันว่า ไม่ได้ปกปิดการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชา”

ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันเช่นกันว่า ไม่ใช่การซ่อม เท่าที่ทราบเป็นการวิวาทกัน ยืนยัน ระบบซ่อมต่างๆ ไม่มีแล้ว คนอยู่ด้วยกัน อาจทะเลาะเบาะแว้ง ชกต่อยกัน เป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งหน่วยก็ดำเนินการไปแล้ว ส่วนที่ญาติจะไปร้องนายกรัฐมนตรีนั้น จะตรวจสอบรายละเอียดให้ ไม่ต้องกังวล เรื่องเหล่านี้เป็นนโยบาย ถ้าใครผิด ก็ดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา

ต่อมา วันที่ 24 ส.ค. พล.ต.ชัชวาล บูรณรัช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล ได้นำคณะแพทย์ที่ทำการรักษาพลทหารคชามาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนพร้อมด้วยบิดา มารดา ของ พลทหารคชา โดยระบุว่า ช่วงที่มีผู้นำพลทหารคชาส่งโรงพยาบาลนั้น พบว่าได้สิ้นลมหายใจแล้ว แพทย์ได้ดำเนินการช่วยหายใจหลายครั้ง จนกลับมาหายใจได้และได้ต่อเครื่องช่วยหายใจให้ด้วย ขณะนี้อาการยังคงทรงตัว มีภาวะสมองบวม ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ แพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด และว่า ตั้งแต่วันแรกที่นำตัวมาส่งโรงพยาบาลนั้นได้มีการตรวจตามร่างกาย ไม่พบว่ามีรอยช้ำ หรือร่องรอยการถูกทำร้าย สำหรับสาเหตุที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทางโรงพยาบาลยังไม่สามารถบอกได้ ต้องไปหาข้อเท็จจริงก่อน

5.“ดีแทค-เอไอเอส” ชนะประมูลคลื่น 1800 MHz บริษัทละ 1 ชุด ได้เงินประมูลเข้ารัฐ 25,022 ล้าน!

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz โดยมีผู้ประกอบการ 2 ราย เข้าร่วมประมูล ประกอบด้วย บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) โดยการประมูลเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น. และสิ้นสุดลงในเวลา 11.15 น.

พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ประธาน กสทช. เผยผลการประมูลคลื่นว่า ผู้ประมูลทั้ง 2 ราย ชนะการประมูลรายละ 1 ชุด โดยเสนอราคาชุดคลื่นความถี่รวม 2 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 25,022 ล้านบาท และมีการเลือกย่านความถี่ที่ชนะการประมูล ดังนี้

1. บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) เสนอราคารวม 12,511 ล้านบาท เป็นผู้ชนะการประมูลจำนวน 1 ชุด คลื่นความถี่ชุดที่ 1 รวม 2 x 5 MHz ในช่วงความถี่วิทยุ 1740 - 1745 MHz คู่กับ 1835 - 1840 MHz และ 2. บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) เสนอราคารวม 12,511 ล้านบาท เป็นผู้ชนะการประมูลจำนวน 1 ชุด คลื่นความถี่ชุดที่ 2 รวม 2 x 5 MHz ในช่วงความถี่วิทยุ 1745 - 1750 MHz คู่กับ 1840 - 1845 MHz

พล.อ.สุกิจเผยขั้นตอนหลังจากนี้ด้วยว่า จะมีการประชุมเพื่อรับรองผลการประมูลภายใน 7 วันนับจากวันที่สิ้นสุดการประมูล สำหรับผู้ชนะการประมูลจะต้องชำระเงินประมูลงวดที่ 1 จำนวนร้อยละ 50 ของราคาการประมูลสูงสุดของตนเอง พร้อมจัดส่งหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินเพื่อค้ำประกันการชำระเงินประมูลในส่วนที่เหลือภายใน 90 วันนับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งจะจัดส่งภายหลังการรับรองผลการประมูล

ด้านนายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กรและพัฒนาธุรกิจ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า คลื่น 1800 MHz ที่ได้จากการประมูลครั้งนี้ จะนำมาให้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของลูกค้า 2G ที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงนำคลื่นดังกล่าวมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายบริการ 4G ตอบสนองการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

นายราจีฟเผยด้วยว่า ดีแทคมั่นใจว่า กสทช.จะอนุมัติแผนมาตรการคุ้มครองลูกค้าที่ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผู้ให้บริการและ กสทช.ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อไม่ให้ซิมดับหรือมีผลกระทบต่อการใช้งานของลูกค้าหลังจากสิ้นสุดสัมปทาน

ด้านนายสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประมูลครั้งนี้ ทำให้เอไอเอสมีคลื่นความถี่ 1800 MHz จำนวน 20 MHz ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยี 4G เพียงรายเดียวที่มีคลื่นความถี่ติดกันมากที่สุด ทำให้รองรับความเร็วของการใช้งานบริการดาต้าของลูกค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาด รวมทั้งสร้างโอกาสและเตรียมความพร้อมในการรองรับคลื่นความถี่ 5G ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น