xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสความสำเร็จ “Is home furniture” เฟอร์นิเจอร์ยอดนิยมของคนรักตกแต่งบ้าน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เพราะเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้วยดีไซน์เฉพาะตัวที่สามารถปรับ - เปลี่ยน และเพิ่มเติมให้เหมาะสมลงตัวทุกไลฟ์สไตล์องศาชีวิตจากประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ทำให้ “Is home furniture” คือเบอร์ต้นๆ แห่งวงการตกแต่งบ้านชั้นนำของเมืองไทย

จากความชอบกลายเป็นความรักก่อนจะถักทอเข้าร่วมกับชีวิตอย่างสมบูรณ์ลงตัว “จิ๋ว - พัฒนพร จารุศร” คือบทพิสูจน์ในทุกๆ เรื่องราวที่สะท้อนส่งออกมาสู่ลูกค้าร้าน is home ที่ใครๆ ต่างยกนิ้ว

และนี่ก็คือเรื่องราวที่จะยิ่งตอกย้ำให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นสำหรับใครสักคนที่รักบ้าน ...ใครสักคนที่มีบ้านอันเป็นที่รักที่จะเดินควบคู่กันไปอย่างสวยงามและลงตัว

• จุดเริ่มต้น...

ต้องบอกก่อนว่าแรกเริ่มจริงๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ารักชอบทางด้านนี้ เนื่องจากตั้งแต่เด็กๆ เราก็ไม่รูว่าเราจะเรียนอะไร คุณพ่อเป็นหมอ พี่เป็นวิศวะ คนอื่นๆ ก็จะเรียนอักษรศาสตร์ จุฬาฯ คือเป็นสายวิชาการกันหมดเลย แต่เราเองตั้งแต่เด็กๆ เราไม่รู้จะไปทางไหน ก็มีเพื่อนๆ แนะนำว่าถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปเลือกเรียนมาร์เก็ตติ้ง มันไปได้หลายทางมากมากกว่า ไม่ว่าจะไปเป็นทางด้านการตลาด หรือว่าทางด้านโฆษณา หรือว่าขายของ มันก็ไปได้หมด ครอบคลุมมากกว่า

ก็เลยตัดสนใจเรียนทางด้านมาร์เก็ตติ้งแล้วเดี๋ยวค่อยไปว่ากันอีกทีหนึ่ง ทีนี้ก็มาเรียนมาร์เก็ตติ้ง แต่พอมาเรียนด้านมาร์เก็ตติ้ง ก็ยังไม่พบว่าตัวเองชอบอะไรหรือจะมีแนวโน้มมาทางด้านนี้ กระทั่งตอนเรียนจบก็ยังไม่พบความชอบของเราในตอนนั้นสักเล็กน้อย

• แล้วไปเจอการทำงานในแวดวงเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างไร

เริ่มจากตัวเองอีกค่ะ (ยิ้ม) เพราะตัวเราเองเป็นคนไม่อยากทำงานไกลบ้านเอาซะเลย ชอบที่จะทำงานใกล้ๆ บ้าน ก็ไปค้นหาบริษัทสมัครงานใกล้ๆ ก็ไปเจอบริษัทเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง (ยิ้ม) ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาคือบริษัทเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ เราก็ส่งประวัติไป แล้วเขาก็เรียกไป ได้รับตำแหน่งเป็น Sale Executive คือขายของให้กับแบรนด์ นั่นคือจุดเริ่มต้นในวงการเฟอร์นิเจอร์

ทีนี้พอทำไปได้ 1 ปี ก็รู้สึกว่าได้เจอะเจอผู้คนหลากหาย ลูกค้าหลากหลาย ลูกค้าก็มีหลายประเภท น่ารักบ้าง เกรี้ยวกราดบ้าง เป็นกันเองบ้าง แล้วก็คนที่เป็นไอดอลของเราคือเขาน่ารักมาก ท่านน่ารักมาก เราก็...ตายแล้ว ทำอย่างไรดี คอมพ์เราก็ใช้ไม่เก่ง พิมพ์ช้า หาตัวอักษร A , B แต่ละทีอยู่ตรงไหน เราก็หาใหญ่เลย แต่ท่านก็น่ารักมาก ท่านก็บอกว่าเป็นกันเอง มีเวลาอยู่ที่นี้ได้ครึ่งวัน ตรงนี้ทำให้เรารู้สึกคนเขาเมตาเรามาก ก็เลยแบบโอเค…เราเจอสิ่งที่ใช่แล้วสำหรับเรา แปลว่าเส้นทางนี้ใช่ของเราแล้ว

• เกิดเป็นเส้นทางนักขายเฟอร์นิเจอร์มืออาชีพ

เรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ คือ 1 ปีหลังจากนั้น เราก็ขอเจ้าของย้ายตำแหน่งไปเป็น Purchasing Manager คือแผนกเลือกของเข้าร้าน การดูของว่าชิ้นนี้ๆ โอเค ของชิ้นนี้ๆ น่าจะขายได้ แล้ว Purchasing Manager อีกหน้าที่หนึ่งก็คือต้องประสานงานลูกค้าต่างประเทศด้วย ด้วยความที่เราได้ภาษาอยู่แล้วเราก็ติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ จากนั้นก็ประสานงานกับสายการเดินเรือแล้วก็เอาของเข้ามา ถัดจากนั้นเราก็มาดูของ ที่รับมา แบบนี้ราคามันควรจะเป็นเท่าไหร่ ให้ลูกค้ารายย่อย เราก็ได้พัฒนาตัวเราเองมากยิ่งขึ้น

ตอนตัดสินใจน่าจะมีคำถามเยอะจากประสบการณ์ที่ถือว่าเร็วมากเพียง 1 ปี เท่านั้น เราต้องทำอะไรอย่างไรหรือไม่เพื่อจะพิสูจน์ความสามารถในตรงนี้

ตอนนั้นต้องเรียนตามตรงว่าเจ้าของน่ารักมาก ให้โอกาสมากๆ ต้องกราบขอบพระคุณท่านเลย เพราะเขาให้เราลุยเองเลย ไม่เคยที่จะมาดูมาประกบว่าต้องอันนี้นะ เราก็ซึมซับมาด้วยตัวของตัวเอง ตรงนี้ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเราเลือกของได้ถูกใจลูกค้า แต่กับสิ่งที่ผ่านมาระยะเวลา 10 กว่าปีที่บริษัท มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราเลือกของได้ถูกต้อง และเราก็ขายของพวกนั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว

• ในแวดววงมาร์เก็ตติ้ง เราคือเบอร์ต้นๆ ทางด้านนี้เลย

ทำนองนั้นค่ะ (ยิ้ม) คือเรานำเข้ามาขายได้ ไม่มีค้างสต๊อก (ยิ้ม) ก็ทำทางด้านนี้ทั้งหมด 12 ปี แล้วก็ย้ายไปอีกทีหนึ่ง เป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการเฟอร์นิเจอร์เหมือนกัน เพื่อรับตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า คือ Product Management Develop Manager คือทำหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาตัวโปรดักส์อย่างไรให้มันขายได้ แล้วก็จะต้องทำพวกการตลาด รีเสิร์ชต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงขายไม่ได้ ยกตัวอย่าง สมมุติว่าสินค้าชิ้นนี้เข้ามา ทำไมมันขายไม่ได้ เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ว่าทำไมมันขายไมได้ เกิดปัญหาตรงที่ราคา หรือตรงรูปทรงดีไซน์ หรือว่าอะไร หรือว่าเพราะว่าตลาดไม่ต้องการของอย่างนี้ เป็นต้น

• ทำอยู่อีกกี่ปีกับตำแหน่งหน้าที่ระดับสูงขนาดนั้น

ก็ทำอยู่อีกประมาณ 3 ปี รวมทั้งหมด 15 ปี ก่อนจะออกมาสร้างแบรนด์ทำบริษัทของตัวเอง

• ทำไมถึงเลือกที่จะออกมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง

มันเหมือนกับถึงจุดอิ่มตัว เราก็อายุขนาดนี้แล้ว เราก็อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจบ้าง

• ความมั่นคงก็ดี ฐานการเงินก็สูงอยู่แล้ว

เราก็คิดว่าเรามีประสบการณ์ เรามีรสนิยมที่ดี เรามีทุกอย่างที่เราสามารถที่จะมาตั้งบริษัทเราเองได้แล้ว และจริงๆ ก็อย่างที่กล่าวไป มันก็เหมือนกับความฝันของคนๆ หนึ่ง ของทุกๆ คนที่อยากจะมีอะไรเป็นของตัวเองบ้างในชีวิต

• เป็นอย่างไรบ้างในก้าวออกมาวันแรกบนเส้นทางของตัวเอง

แอบหวั่นใจ บอกตรงๆ ใจก็นึกว่ารอดหรือไม่รอด (ยิ้ม) แต่ก็โอเค พอเวลาผ่านไปครึ่งปี ผลการตอบรับดีมาก ทั้งๆ ที่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีด้วย และลูกค้ามาหาเราเองที่นี่ เราไม่เคยติดต่อลูกค้าฐานเก่าเลย เพราะเราคิดว่าผิดจรรยาบรรณ เขาได้ยินมาเองว่าของเราแตกต่าง ของคนไทยด้วย ก็เริ่มบอกปากต่อปาก เพราะวงการเฟอร์นิเจอร์มันไม่ได้กว้าง ลูกค้าที่ชอบตกแต่งก็คงได้ยินมา

• พอมาเจอ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเราอย่างนั้นหรือไม่

ส่วนมากไม่รู้จักเลยดีกว่าค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ตกใจ เนื่องจากสิ่งที่เราตกใจมากกว่าคือลูกค้าที่เข้ามาโชว์รูมของเรานั้นระดับท็อปเท็นหมดเลย นามสกุลดังๆ ทั้งนั้น โชว์รูมเราก็เล็กๆ เราก็ภูมิใจที่อย่างน้อยลูกค้าท็อปเท็นก็เดินเข้าร้านเรา

• เหตุผลหรือสาเหตุที่ลูกค้ากลุ่มระดับ Hi-end เลือกที่จะมาร้านเราซึ่งเป็นร้านแบรนด์ใหม่ คิดว่าเพราะอะไร

คงต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่ชื่อของเราก่อน is home จริงๆ ตั้งหลายชื่อมาก เราแรกๆ กะว่าจะตั้งชื่อเพื่อให้มันเข้ากับกับชื่อย่านร้านของเรา แต่พอดีสามีที่เป็นอินทีเรียเราก็เลยลองใช้ is ที่แปลว่าเป็น-อยู่-คือ แล้วก็ Home ที่แปลว่าบ้าน มันก็เลยลงตัว โลโก้มันก็ลงตัวหมด แล้วลูกค้าเวลาใครถามว่าไปไหนก็ไปไหน is home อะไรอย่างนี้ มันก็เลยกลายเป็นที่มาของคำว่า is home ไปโดยปริยาย ติดหู ติดปาก ฟังง่าย ความหมายชัดเจน ในการเข้ามา is home อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผล

สอง เราครบวงจรทั้งในด้านนำเข้าและเป็นศูนย์รวมของตกแต่งบ้าน ทุกอย่างมีทั้งผลิต ทั้งคัสตอม เมด เนื่องจาก is home ต้นกำเนิดคือคัสตอมเมดเฟอร์นิเจอร์ ที่เราตั้งไว้อย่างนี้ก็เพราะว่า ... อย่างเช่นลูกค้าบางคนจะแต่งคอนโด ห้องเล็ก เวลาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วๆ ไป มันจะไม่มีไซส์สเกลที่เล็กๆ แบบที่ลูกค้าต้องการ ฉะนั้น เราก็นั่งนึกว่าเราจะทำอะไรที่แหวกออกไปจากคนอื่นที่เขาแค่นำเข้ามาแล้วเขาก็ขายออกไป

ฉะนั้น โจทย์เราและคำตอบของเราก็คือ ทำเป็นคัสตอมเมดเฟอร์นิเจอร์ นี่คือที่มา ของการที่เราทำเฟอร์นิเจอร์ ขายเฟอร์นิเจอร์ แล้วก็มีการออกแบบให้ทำ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้หมด และต่อไปในอนาคต เราจะเปิดบริษัทที่เป็นอินทีเรียครบรูปแบบเลย และเราก็จะนำแอคเซสเซอร์รี่เข้ามาเต็มรูปแบบเลย ก็จะยิ่งตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้นทุกๆ กลุ่ม

• ทำให้เรื่องรสนิยมในตัวบุคคลหรือความชอบเฉพาะบุคล ไม่เป็นปัญหา

ค่ะ คือทลายทุกลุ่มลูกค้าที่เขาสามารถซื้อได้ เพราะว่าตัวคัสตอมเฟอร์นิเจอร์มันตอบโจทย์ทุกบ้านเลย มันไม่ใช่ตอบโจทย์บ้านเล็กบ้านใหญ่หรือบ้านไหนๆ ก็ตาม ตอบโจทย์บ้านทุกบ้านเลย เพราะฉะนั้น ตรงนี้ไม่เป็นประเด็นอะไรเลย ก็มาได้ทุกกลุ่ม แล้วแต่กำลังของเรา

• งบน้อย แต่อยากได้โซฟาสลักเป็นชื่อของตัวเองก็ได้ ลดขนาดเตียงที่มีโชว์เพื่อความต้องการส่วนตัวก็ได้

ได้หมดค่ะ ตัวเล็กลงก็ทำได้ ปักชื่อก็ทำได้ เปลี่ยนสีผ้าก็ได้ สีขาก็ได้ หรือแม้แต่ใครที่ชอบให้ตกแต่งให้เลย ทางเราก็ทำได้ (ยิ้ม)

• ฟังดูเหมือนสำเร็จลุล่วงดีเรื่อยมา คำถามคืออะไรที่ทำให้ไม่พบเจอกับปัญหาทางธุรกิจบ้างเลย

ที่ทำให้ไม่เคยเจอ ก็เพราะว่าเราแพลนด้วย เราวิเคราะห์ด้วย เราดูทุกขั้นตอนว่ามีของอะไรเอาเข้ามาบ้าง ของอะไรเหมาะกับลูกค้า ของอะไรที่ลูกค้าต้องการ เราก็จะ Analyze มาเรียบร้อยแล้วว่าจะต้องตอบโจทย์ลูกค้าได้ สิ่งเหล่านี้ที่เราเลือกเข้ามา ลูกค้าจะต้องชอบจากประสบการณ์ที่เราเคยทำงานมา

ส่วนวิธีการ เวลาเราสต๊อกสินค้าให้ไม่เหลือ มันก็ทำให้ธุรกิจเราไม่ประสบปัญหา ต่อให้เศรษฐกิจเราไม่ค่อยดี และแถมสินค้าพวกนี้ก็เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ลูกค้าก็จะซื้อ เขาอาจจะเซอร์เวย์หาร้านเพิ่มขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็กลับมาที่ร้านเรา ด้วยสิ่งที่เราทำนั้นครอบคลุม

• นอกจากแพลนที่เราต้องคิดให้รอบคอบและครอบคลุม เรายังมีกลเม็ดอะไรอีกหรือไม่ ให้เราไม่ประสบปัญหาด้านการขาย

คิดว่า เอกลักษณ์ที่เป็นจุดแข็งของเรา คือร้านเราตอบโจทย์ทุกอย่าง คือที่อื่นๆ ที่เขาเป็นบริษัทที่เล็กกว่าเรา เขาไม่สามารถที่จะทำได้ครบวงจร อย่างเช่น งานสแตนเลสหรือโซฟารูปร่างประหลาดๆ สไตล์พวกแถบประเทศยุโรป เขาก็ไม่สามารทำได้ แต่เราทำได้ ฉะนั้น ลูกค้าก็กลับมาที่เรา เพื่อที่จะมาจบที่เราเจ้าเดียว

และที่สำคัญเลยก็คือหลักการในการทำธุรกิจของเราคือหนึ่งซื่อสัตย์ เราจะต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า อีกอันคือการมีเซอร์วิสมายด์ หัวใจสำคัญของการบริการ เราจะต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เซอร์วิสมายด์ลูกค้าอันนี้เป็นจุดหลักสำคัญของเราเลยที่ทำให้เราอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน

• ทิศทางในอนาคตที่จะก้าวต่อไป วางแผนไว้หรือไม่ว่าจะก้าวขึ้นสู้ระดับไหนอย่างไรบ้าง

ปีนี้ก้าวสู่ปีที่ 4 มองอนาคตฝันใหญ่ที่สุดคือเราก็อยากจะเป็นหนึ่งในตลาดที่ครองใจประชาชน ต้องใช้คำนี้ เพราะว่าด้วยสเกลตอนนี้ร้าน is home เป็นโชว์รูมเล็กๆ แต่ต่อไปในอนาคต ... ซึ่งตอนนี้จริงๆ แล้ว เราก็เล็งอยู่ด้วยว่าจะหาสเปซพื้นที่ที่ใหญ่กว่านี้เพราะฉะนั้น ตอนนี้เรากำลังก้าวในจุดต่อไป แล้วฝันของเราจะขยับขึ้นไปอีก จากตอนแรกที่เราไม่เคยทำธุรกิจด้วยตัวเอง ตอนนี้มันจะพาฝันของเราให้ก้าวขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง

โดยการหาโลเคชั่นดีๆ โดยการหาพื้นที่ๆ มันใหญ่ขึ้น ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้น คือจะเราทำให้ถึงขนาดนั้น แต่ต่อไปบริษัทเราจะโตขึ้น เราก็จะทำเป็นอินเฮาส์ไปเลย คือจะทำเป็นเป็นแบบเปอร์สเปคทีฟออกมาให้ลูกค้าได้เห็นได้หมดเลย ให้เห็นภาพหมดเลย ลูกค้าแค่เอาแปลนและบัดเจ็ทเข้ามาให้เรา เราไปแต่งให้ครบเลย สวยเหมือนเราไปเลือกบ้านไปเลือกคอนโดแบบนั้นเลย

• “เป็น อยู่ คือ บ้าน” ที่จะสานส่งต่อรากฐานแห่งความสุขในทุกๆ จังหวะชีวิต

ใช่ค่ะ... เพราะบ้าน คือทุกอย่างที่เจ้ามามันก็คือบ้าน คือเข้ามามีโซฟา มีเตียง มีองค์ประกอบเหมือนบ้าน มีความอบอุ่น มีแสงไฟ มีไลท์ติ้ง มีกลิ่นอายความหอมของการเป็นบ้าน ก็คือ is home (ยิ้ม)

เราอยากให้ลูกค้าและทุกๆ คนรู้สึกอย่างนั้น เริ่มต้นจากบ้าน จากตัวเรา ก้าวแบบมั่นคง ก้าวแบบมั่นใจ อันนี้มันจะต่อยอดกันออกมา เชื่อว่าหลายคนมีฝัน ใครที่กำลังอยากจะทำฝันของตัวเองให้เป็นจริง เราว่าลองก้าวออกมาสักนิดหนึ่ง แต่ว่าไม่ต้องก้าวมาก แต่ขอให้ก้าวอย่างมั่นใจเพื่อที่จะเราจะได้รู้ว่าฝันของเราเป็นจริงได้หรือไม่ คือเราไม่ได้ทิ้งทุกอย่างที่เรามีอยู่ แต่ว่าค่อยๆ ก้าว ก้าวอย่างมั่นคง ก้าวอย่างมั่นใจ คุณทำได้แบบที่เราทำได้เช่นกันค่ะ
ข้อมูล / ภาพ : รายการคนล่าฝัน
เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล



กำลังโหลดความคิดเห็น