เปิดประวัติ “เป้-นพพล พลคำ” กองกลางทีมชาติไทย จากนักเตะเมืองเกินร้อยอนาคตไกล กลายเป็นว่าชื่อเสียงที่สั่งสมพังย่อยยับจากโซเชียล พบตั้งแต่ต้นปี ในไทยลีกเจอใบเหลืองไป 10 ใบ โดนแบนไปแล้ว 2 รอบ
โต๊ะข่าวโซเชียลมีเดีย ... รายงาน
ความพินาศชิบหายย่อยยับของฟุตบอลทีมชาติไทย ในยุคที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ นอกจากกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่อินโดนีเซีย จะตกรอบแรกในรอบ 24 ปี
แฟนบอลไทยเสียใจไม่พอ ยังต้องมาเจอพฤติกรรมนักเตะหัวร้อน เฉกเช่น “เป้ นพพล พลคำ” กองกลางทีมชาติไทย ไล่คอมเมนต์ไม่สุภาพใส่แฟนบอล สะพัดโลกโซเชียล
ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “ทักมา” “โทรมาครับ” “รอไรล่ะครับ” “โทรมาหาผม ไม่ต้องเพื่อนผม”
ลามไปถึงการแจกพิกัดให้เจอกันแบบตัวต่อตัว “ลาดพร้าววังหิน 48 มาๆๆๆ นะครับ” หนักสุด “มึงโทรหากูเร็วๆ กูรออยู่”
กลายเป็นที่วิจารณ์ไม่เฉพาะแฟนบอลไทย แต่ยังรวมไปถึงสังคมโซเชียล ต่าง “ขยี้” ตลอดเวลา
ในที่สุดเมื่ออารมณ์เย็นลง ถึงให้สัมภาษณ์สื่อ ขอโทษแฟนบอลที่พูดจาไม่สุภาพออกไป ที่ทำไปเพราะเครียดเรื่องผลงานที่ทำได้ไม่ดี เลยตอบโต้ออกไป หลังจากนี้คงไม่ตอบโต้แฟนบอลอีกแล้ว
กลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนในโลกโซเชียล เวลาจะแสดงความคิดเห็นอะไร การคิดก่อนที่จะโพสต์น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้ไม่กลายเป็นเหยื่อให้ชีวิตย่อยยับ กลายเป็นประวัติศาสตร์บนโลกอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป
คนที่อาจจะไม่ใช่แฟนบอล คงอยากรู้ว่า “เป้ นพพล” มิดฟิลด์หัวร้อนรายนี้ นอกจากจะพักอยู่ในซอยลาดพร้าววังหิน 48 ตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง คงอยากจะรู้ว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน?
เป้-นพพล พลคำ เกิดเมื่อ 19 ก.ค. 2539 อายุ 22 ปี สูง 175 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม เกิดที่กรุงเทพฯ ครอบครัวเป็นชาว อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พ่อแม่ทำนาสลับกับรับจ้างที่กรุงเทพฯ มีพี่น้อง 3 คน
เรียนชั้นประถมศึกษา โรงเรียนบ้านโคก (ทองคุรุราษฏร์พัฒนา) ต.ดอกไม้ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด หัดเล่นฟุตบอลครั้งแรกตอน ป.3 โดยมี นายสุนทร กลีบจำปี นักการภารโรงเป็นคนสอนเล่นฟุตบอล
หลังคัดตัวที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี ไม่ผ่าน ก็กลับมาศึกษาต่อชั้น ม.1 ที่โรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย ในตัวอำเภอ ช่วงนั้นเขายอมรับว่าเป็นคนเกเร หนังสือไม่อ่าน โดดเรียนเป็นว่าเล่น
จบชั้น ม.3 ศึกษาต่อที่โรงเรียนพณิชยการราชดำเนิน ตามคำแนะนำของพ่อเพื่อน เล่นให้กับทีมโรงเรียนตั้งแต่ ปวช. 1 โดยมี อ.พยงค์ ขุนเณร เป็นผู้ฝึกสอน เคยเป็นนักเตะฝึกหัดของ บีอีซี เทโรศาสน แต่ไม่ได้ขึ้นชุดใหญ่
กระทั่ง “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ชักชวนให้มาร่วมทีม แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี จึงย้ายมาด้วยสัญญายืมตัว แต่เกิดการบาดเจ็บ พัก 3 เดือน ก่อนที่จะเข้าร่วมทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 22 ปี (U-22)
ผ่านประสบการณ์เป็นขุนพลทีมชาติไทย ตั้งแต่ทีมนักเรียนไทย ชุดแชมป์นักเรียนเอเชีย ที่ประเทศอินโดนีเซีย ปี 2557 ซึ่งมี “โค้ชรุณ” อรุณ ตุลย์วัฒนางกูร เป็นคนคุมทีม
ต่อมาติดทีมเยาวชน 19 ปี ทีมชาติไทย ที่มีโค้ชเตี้ยคุมทีม ไปลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศเมียนมา และยังติดชุดป้องกันแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่ประเทศมาเลเซีย กลางปี 2559
หลังจากเล่นให้แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ยืมตัวไป 2 ฤดูกาล นพพลได้กลับมาเล่นให้กับต้นสังกัดเก่า ที่เปลี่ยนชื่อเป็น โปลิศ เทโร เอฟซี
มาถึงการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศจีน ในปี 2561 นพพลติดโทษแบน เพราะสะสมใบเหลืองในเกมรอบคัดเลือก ก่อนจะพ้นโทษแบนในนัดต่อมาแต่ก็ตกรอบ
มาถึงไทยลีก ฤดูกาล 2018 นพพลรับใบเหลืองจากกรรมการไปแล้วถึง 10 ใบ โดนแบนไปแล้ว 2 รอบ จน “ทองสุข สัมปหังสิต” ประธานเทคนิค โปลิศ เทโร เอฟซี เตือนว่าต้องควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้
ล่าสุด ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย พบว่า นพพลติดกองกลาง ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ว่า “ไอซ์” จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ แบ็กขวาดาวรุ่งที่ไปค้าแข้งถึงญี่ปุ่น ถูกตัดออกจากทีมชาติ
“โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ อ้างว่า ที่ตัด ไอซ์ จักรกฤษณ์ ออกจากชุดเอเชียนเกมส์ 2018 เพราะโดยรวมแล้วเป็นนักเตะที่ดี แต่เกมรับยังทำได้ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับ รัตนากร ใหม่คามิ และ ชินภัทร์ ลีเอาะ
ผลงานในเอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย ทีมชาติไทย กลุ่ม B ทำได้แค่ เสมอกาตาร์ 1-1 เสมอบังกลาเทศ 1-1 และแพ้อุซเบกิซสถาน 0-1 จบที่ 3 ตกรอบแรก ชวดเหรียญทอง กลับบ้านเก่าไปตามระเบียบ
นำมาซึ่งแฟนบอลชาวไทยไม่พอใจ บางคนถึงกับขุดประโยคของ “สมยศ” ตำรวจไซด์ไลน์ ที่เคยกล่าวตำหนิ “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ว่า “ผมอาย ผมทนไม่ได้” มาเตือนความจำอีกครั้ง
เมื่อแฟนบอลไม่พอใจ ออกมาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กนักเตะ ช่องทางการสื่อสารยอดนิยมในยุคนี้ เมื่ออาการหัวร้อนของนพพลมารวมกัน ชื่อเสียงที่สั่งสมมา ถูกแทนที่ด้วยของพฤติกรรม “คอมเมนต์ไม่สุภาพ” สะพัดไปทั่ว
“โค้ชโย่ง” กล่าวเปิดใจถึงกรณีของนพพล ว่า พวกเขามีความกดดัน อายุแค่ 22-23 ปี เหมือนกับทหารไปรบแล้วแพ้สงคราม เมื่อกลับมาแล้วต้องลาออกเลยไหม ทั้งๆ ที่เป็นทหารอยู่
“ผมบอกทุกคนว่าเราอยู่ในที่สว่าง เราต้องยอมรับความพ่ายแพ้หรือชัยชนะต่างๆ คำติเตียนต้องเอามาปรับปรุงการเล่นของตัวเอง”
กรณีของ “นพพลหัวร้อน” เป็นบทเรียนที่ไม่ใช่เฉพาะนักเตะ แต่รวมถึงสาขาอาชีพที่ต้องอยู่ร่วมกันในโลกสาธารณะ ไม่เว้นแม้แต่โลกเสมือน จะพูดหรือโพสต์อะไรต้องใช้สติคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
เพราะตัวอย่างคนที่ “พังเพราะโลกโซเชียล” มีให้เห็นบ่อยครั้งอยู่แล้ว
อ่านประกอบ :
นักบอลนักเลง! แข้ง “ช้างศึก” หัวร้อน ท้าแฟนบอล “มึงโทร.หากูเร็วๆ”
ยอมแล้วจ้า! “นพพล” ขอโทษหลังท้าแฟนบอล “โทรหากูเร็วๆ” รับต่อไปไม่ทำอีก