xs
xsm
sm
md
lg

“เพจทหาร” ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ชูลำบาก-เสียสละ ถ่ายภาพสวย กองทัพปัด “ทำไอโอ” ชวนเชื่อประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พบไลน์กลุ่มทหารตั้งแต่เหล่าทัพยันกองพัน แถมเพจทหารเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ชูภาพลำบาก เสียสละ ทุ่มเท ทำอินโฟกราฟิกหยิบคำพูดกินใจมาใส่ บางหน่วยถ่ายภาพสวยงาม สื่อหลักแค่ก๊อบฯ-วาง ขาดการตรวจสอบ-ค้นหาความจริง กังขาเป็นปฏิบัติการไอโอ ชวนเชื่อประชาชนหรือไม่ เลขานุการกองทัพบกปัดไม่เกี่ยวแต่เสริมได้ ย้ำถึงเพจเยอะแต่ก็ยังต้องพึ่งสื่อหลัก

วันนี้ (15 ส.ค.) เว็บไซต์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่รายงานพิเศษหัวข้อ “กองทัพในสื่อ ตั้งเพจทหารปรับตัวรุกโซเชียล” จัดทำโดยทีมงานจุลสารราชดำเนิน กล่าวถึงการทำงานประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ที่มักจะส่งข่าวและภาพข่าวผ่านกลุ่มไลน์ให้ผู้สื่อข่าว แล้วผู้สื่อข่าวก็ส่งให้สำนักข่าวที่ตนเองสังกัดเพื่อนำไปเผยแพร่ ในลักษณะก๊อบปี้-วาง (Copy-Paste) เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ข่าวออนไลน์ที่แข่งขันกันสูง

แม้กระทั่งกองทัพที่ในอดีตไม่ค่อยได้เผยแพร่ข่าว เพราะจะกระทบความมั่นคง ยังต้องใช้วิธีการส่งข่าวผ่านไลน์กลุ่มเพื่อประชาสัมพันธ์ ตอบโต้ข้อมูลที่ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ได้มอบหมายให้ทีมงานโฆษก คสช.ใช้ช่องทางนี้ชี้แจงประเด็นที่ถูกฝ่ายต่อต้าน คสช.กล่าวหา พร้อมประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างภาพลักษณ์บวกให้กับ คสช. กองทัพ และทหาร ในฐานะกำลังพลของหน่วย ที่ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง

รายงานชิ้นดังกล่าวระบุถึงการเปิดตัวของเพจทหารจำนวนมาก ที่จัดทำโดยหน่วยงานของกองทัพ กลายเป็นช่องทางการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ 13 นักฟุตบอลทีมหมูป่า อะคาเดมี ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบว่าเพจ “Thai NavySEAL” ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) หรือหน่วยซีล จากมียอดติดตามแค่ 1.6 หมื่นราย เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.2 ล้านราย ปัจจุบันมียอดติดตาม 1.7 ล้านวิว ปัจจัยที่ได้รับความนิยม มาจากแอดมินมีอาชีพสื่อ และใกล้ชิดกับหน่วยซีล สามารถโพสต์ข่าวได้รวดเร็ว ใช้ภาษาที่เข้าถึง แต่ก็ไม่กระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

ย้อนไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การเปิดตัวของเพจทหาร และเพจหน่วยราชการ นอกจากการปรับตัวให้ทันยุคสื่อดิจิทัลแล้ว ในแง่อิทธิพลของการนำเสนอ ถือเป็นยุทธวิธีน่าสนใจ เพราะสื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือที่ได้เปรียบในการเลือกส่งข้อมูลไปยังกลุ่มผู้รับสารโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งสื่อหลักเหมือนเมื่อก่อน แม้ในปัจจุบันยังไม่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย เพราะยึดติดการเขียนแบบทางการ และการนำเสนอที่ยังไม่สามารถดึงดูดคนเข้ามาคลิกดูได้ทันที แต่การยกระดับเนื้อหาและภาพให้จับต้องได้มากขึ้น ได้เริ่มดำเนินการกันแล้ว

แม้การพึ่งสื่อหลักกระจายข่าวสารยังมีความสำคัญอยู่ ปัจจุบันสื่อสายทหารและความมั่นคงที่รับข่าวสารทางไลน์กลุ่ม ต้องส่งข่าวมากขึ้นเพื่อป้อนทั้งสื่อออนไลน์ บางคนนำมารีไรท์เพิ่มเติมข้อมูลให้ครบถ้วนในข่าวเพื่อลงหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ทำให้ในแต่ละวันการค้นหาประเด็นซีฟ หรือสืบสวนลดความถี่ลง เพราะเนื้อหาที่หน่วยทหารส่งให้มีความรวดเร็ว ทันในช่วงสถานการณ์วันต่อวัน มีความครอบคลุม มีตัวเลข มีแหล่งข่าว (โฆษกฯ) อ้างอิงเป็นคำสัมภาษณ์ เมื่อต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามตอบโต้กันทั้งในไลน์กลุ่ม และถามไลน์ส่วนตัว ปริมาณข่าวในแต่ละวันมากพอ และเนื้อหาสามารถสนองตอบต่อการนำเสนอข่าวได้ทุกสื่อ

จึงมีคำถามตามมาว่า ข่าวในลักษณะก็อปวางเพียงพอหรือไม่ในการทำหน้าที่สื่อ เพราะสิ่งที่ขาดไปคือการทำหน้าที่ตรวจสอบและค้นหาความจริง ในอนาคตสื่อหลักยังมีความจำเป็นหรือไม่ ถ้าหน่วยงานต่างๆ ในกองทัพได้พัฒนาเพจทหารที่มีอยู่ จนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กลายสถานะเป็นสื่อเสียเอง

จากการสำรวจข้อมูลการประชาสัมพันธ์ของหน่วยทหาร พบว่ามีไลน์กลุ่มตั้งแต่ระดับเหล่าทัพ กองทัพภาค กรม ลงไปถึงระดับกองพัน และการแยกย่อยเป็นส่วนประชาสัมพันธ์ ขณะที่เพจทหารต่างๆ ได้เริ่มทยอยเปิดตัวกันมาตั้งแต่ปี 2560 มีการแชร์ภาพภารกิจช่วยเหลือประชาชน การฝึกทางทหาร ที่สะท้อนถึงความรู้สึก และการทำงานของทหารที่ยากลำบาก เสียสละ ทุ่มเท สร้างความรู้สึกและอารมณ์ร่วมของผู้เข้าไปชมให้พึงพอใจต่อองค์กรกองทัพ ยังไม่นับการทำอินโฟกราฟิกภาพของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพ พร้อมประโยคคำพูดที่กินใจ

รวมไปถึงการชี้แจงประเด็นที่ถูกโจมตี หรือเพจของสำนักโฆษกฯ เช่น สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม มีการถ่ายคลิป พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกฯ นั่งแถลง เพจของระดับกองทัพภาคก็เริ่มมีบทบาทสำคัญ มีการใช้ภาพที่ดึงดูด และเร้าอารมณ์คนที่ชอบงานด้านการฝึกทางทหาร เช่น เพจของกองทัพภาคที่ 3 นำเสนอภาพที่สวยงาม โดยมีการฝึกเจ้าหน้าที่ กำลังพล ช่างภาพ (Combat Camera) มีการฝึกอบรมเป็นระยะ

แต่ก็มีข้อสงสัยว่า การประชาสัมพันธ์ของทหารกลายเป็นงาน “ไอโอ” (Information Operation) หรือปฏิบัติการด้านข่าวสารหรือไม่ เพราะมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการข้อมูลข่าวสารทั้งของฝ่ายตนเองและฝ่ายตรงข้ามให้เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบในการทำศึกสงคราม เพื่อต่อสู้เพื่อเอาชนะฝ่ายข้าศึกศัตรู

ในกรอบของกองทัพบก หน่วยงานทางด้านไอโออยู่ในส่วนงานของกรมยุทธการของเหล่าทัพ มีประชุมคณะทำงานกับกองประชาสัมพันธ์ทุกสัปดาห์ โดยจะกำหนดธีม (Theme) การให้ข้อมูลข่าวสารการประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับภารกิจ ผลงาน ภาพลักษณ์ สนับสนุน คสช. และรัฐบาล เป้าหมายหลักคือให้ข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้ และเชิญชวนให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมและงานด้านความมั่นคง โดยกองประชาสัมพันธ์จะไปคิดวิธีการนำเสนอเอง

แหล่งข่าวจากสายงานไอโอ ระบุว่า สื่อหลักยังมีความจำเป็น เพจทหารต่างๆ เป็นการเพิ่มช่องทาง พื้นที่กระจายข่าวสารตามยุคสมัย เพราะปัจจุบันคนยังดูทีวีมาก ต่างจังหวัด บางอำเภออินเตอร์เน็ตยังใช้งานอย่างจำกัด วิทยุก็ยังมีความจำเป็น เพจเฟซบุ๊กของหน่วยงานยังเป็นแค่ช่องทางเสริมตามกลุ่มคนรุ่นใหม่

พล.ต.ปัณณทัต กาญจนะวสิต เลขานุการกองทัพบก ดูแลศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทัพใช้โซเชียลมีเดียประชาสัมพันธ์หลายช่องทาง โดยมีแผนกแผนฯ ประสานกับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก และกรมฝ่ายเสนาธิการ เพื่อนำข้อมูลมาทำเป็นข่าว พร้อมวางแผนการประชาสัมพันธ์ เช่น ภาพลักษณ์ ป้องกันแก้ไขความเข้าใจผิดในภาวะวิกฤติ หากมีข้อกล่าวหา ข่าว ข้อเขียน บทความจากสื่อกระแสหลักที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ก็จะประสานงานไปยังหน่วยที่ถูกพาดพิงเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง โดยจะเตรียมข้อมูลชี้แจง ผ่านโฆษกกองทัพบก

ส่วนติดตาม ประเมินผล ของศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก จะติดตามข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้เทคโนโลยีเต็มรูปแบบ เราจะติดตามทุกเว็บไซต์ข่าว รวมถึงโซเชียลมีเดีย ถ้าเกิดมีข่าวที่มีผลกระทบทางลบ จะติดต่อหน่วยหาข้อมูล และ ตอบทันที บางครั้งพอหน่วยทหารรู้ว่ามีผลกระทบก็เข้าไปถึง ถ้าช่วงไม่เกิดวิกฤติ ก็พยายามสร้างภาพลักษณ์เป็นหลัก ตอนนี้ก็ต้องพัฒนาคน เพราะการประชาสัมพันธ์ของหน่วยทหาร ก็ต้องพัฒนาทหารให้มีความรู้ด้านประชาสัมพันธ์ ปัญหาที่มีคือคนที่มีความรู้ด้านการประชาสัมพันธ์แล้วบรรจุมาก็ไม่มีความรู้ด้านการทหาร จึงเขียนข่าวไม่ถูก

“คนที่เป็นทหารก็ต้องเรียนด้านการประชาสัมพันธ์ เรามีหลักสูตรของกรมกิจการพลเรือนทหารบก มีการเชิญวิทยากรภายนอกมาสอน อีกส่วนหนึ่งส่งบุคลากรไปเรียนที่กรมประชาสัมพันธ์ หรือในส่วนของมหาวิทยาลัยภายนอก นอกจากนั้น ใน 1 ปีก็จะมีการจัดสัมมนา 1 ครั้ง จะเลือกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็จะคุยว่าเราจะวางแนวทางอย่างไร เช่น ครั้งที่แล้วก็มีการพูดกันเรื่องการประชาสัมพันธ์ในยุค 4.0 โดยมีผู้แทนหน่วยทั่วประเทศเข้ามา ในส่วนของภาพถ่ายก็จะมีการฝึกอบรม มีการฝึกกันเอง เรียนรู้จากตำรา เราก็พัฒนาคนเราเป็นระยะ เราก็พยายามหาคนที่เก่งเรื่องคนถ่ายภาพ และมาฝึก” พล.ต.ปัณณทัตกล่าว

พล.ต.ปัณณทัตยืนยันว่า งานประชาสัมพันธ์ไม่เกี่ยวกับงานไอโอ นักประชาสัมพันธ์ไปทำงานไอโอไม่ได้ ไปทำงานปฏิบัติการจิตวิทยาไม่ได้ เพราะนักประชาสัมพันธ์ต้องพูดเรื่องจริง แต่เสริมได้ เช่น งานไอโอ จะทำกิจกรรม ก็ประชาสัมพันธ์ว่าจัดอะไร ที่ไหน ไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่บอกว่าพูดแต่แง่บวก แต่เป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงมากกว่า โฆษกฯ จะไม่มีการไซโค หรือโฆษณาชวนเชื่อ ส่วนกรอบเนื้องานการประชาสัมพันธ์ จะอยู่ในงานป้องกันประเทศซึ่งเป็นงานป้องกันชายแดน งานรักษาความมั่นคงภายใน รักษาความสงบเรียบร้อย พัฒนาประเทศ ช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ แม้ช่องทางโซเชียลมีเดียจะเข้าถึงมากขึ้น แต่กองทัพคงจะเป็นสื่อเองไม่ได้ ก็ต้องพึ่งสื่อหลัก เพราะสื่อหลักเป็นสื่อมืออาชีพ แต่ก็ต้องปรับตัวในยุค 4.0 เช่น หนังสือพิมพ์ ต่อไปจะอยู่ในมือถือ แต่ถ้าไม่มีสื่อมวลชน คอลัมนิสต์ ก็ไม่ใช่สื่อ ในส่วนของเราก็จะต้องปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละสื่อที่ส่งผ่านไป ไม่ใช่จะเลือกเฉพาะเจาะจงว่าเฉพาะสื่อนั้นสื่อนี้เพราะมีอิทธิพลต่อคนอ่าน แต่กลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน ในอนาคตข้างหน้าก็ต้องปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ตอนนี้กำลังวางแผนเรื่องการจัดตั้งแผนกสื่ออิเลคโทรนิคส์ ต้องพัฒนาคน และพัฒนาโครงสร้างด้วย ในอนาคตโฆษกฯ ก็อาจจะมานั่งจัดรายการ มีเฟซบุ๊กไลฟ์บ้าง เราก็ต้องพัฒนาไปตามสื่อที่ประชาชนต้องการ เมื่อก่อนเราซื้อเนื้อที่ประชาสัมพันธ์ เมื่อเรารู้ว่าคนไม่ดู เราก็ลดลงก็ไปให้น้ำหนักตรงอื่น


กำลังโหลดความคิดเห็น