xs
xsm
sm
md
lg

เสียกรุงมิใช่ไร้ฝีมือ! แต่เพราะแตกสามัคคีและมีคนทรยศต่อชาติ เปิดประตูให้ข้าศึก!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค


ในวันที่ ๗ สิงหาคม เมื่อ พ.ศ.๒๑๑๒ ขณะที่กรุงศรีอยุธยายืนยงมาได้ ๓๑๙ ปี ก็ต้องเสียทีแก่กองทัพพม่า และถูกยึดครองอยู่ถึง ๑๕ ปี แม้ในขณะนั้นพม่าจะอยู่ในยุคของพระเจ้าบุเรงนองที่กระเดื่องพระเดชานุภาพเป็น “ผู้ชนะสิบทิศ” และกรุงศรีอยุธยาอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ซึ่งเป็นมวยต่างชั้นเทียบฝีมือกันไม่ได้ แต่ด้วยความสามัคคีของเหล่าทหารและข้าราชการ พระเจ้าบุเรงนองที่ยกพลมาถึง ๕๐๐,๐๐๐ ก็ไม่อาจบุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ ต้องล้อมอยู่ถึง ๙ เดือน และที่เข้ายึดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือ หากแต่ใช้เล่ห์เพทุบายและอามิสสินจ้างคนขายชาติ

ก่อนที่พระเจ้าบุเรงนองจะยกทัพมานั้น ภายในราชวงศ์ของกรุงศรีอยุธยาก็เกิดขัดแย้งกัน พระมหาธรรมราช พระราชบุตรเขยหันไปใฝ่พระทัยในพระเจ้าบุเรงนอง สมเด็จพระจักรพรรดิได้สละราชบัลลังก์ไปผนวช ให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน แต่พอมีข่าวว่าพระเจ้าบุเรงนองจะยกทัพมา สมเด็จพระมหินทราธิราชทรงเห็นว่าเป็นศึกหนักเกินกว่าพระองค์จะรับได้ จึงไปทูลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิให้ลาผนวชกลับมาครองราชย์ตามเดิม

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจัดเตรียมป้องกันพระนครขนานใหญ่ เสริมป้อมและหอรบไว้ทุกระยะ ๑ เส้น วางปืนใหญ่ไว้ทุก ๑๐ วา แล้วยังเสริมด้วยปืนจ่ารงมณฑกอีกทุก ๕ วา กลางแม่น้ำรอบพระนครก็สร้างหอรบไว้เป็นระยะ ป้องกันไม่ให้ข้าศึกประชิดกำแพงพระนครได้

แล้วก็เป็นไปตามคาด พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมีกำลังพลถึง ๕๐๐,๐๐๐ คน มาตั้งค่ายรายล้อมกรุงศรีอยุธยา ค่ายหลวงเข้ามาตั้งถึงลุมพลี จึงถูกกรุงศรีอยุธยาถล่มด้วยปืนนารายณ์สังหาร ถูกช้างม้าไพร่พลล้มตายเป็นอันมาก พระเจ้าบุเรงนองต้องย้ายค่ายหลวงออกไปตั้งที่บ้านมหาพราหมณ์ ให้พ้นรัศมีปืนใหญ่ไทย กองทัพพม่าต้องตั้งให้ห่างกรุงทั้งหมด เพราะปืนใหญ่ไทยแรงมาก คอยสกัดไม่ให้พม่าเข้าใกล้ได้ พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ให้ไปตัดต้นตาลมมาปักเป็นแนวป้องกันปืนใหญ่ แล้วรุกเข้ามาทีละน้อย แต่ยิ่งเข้าใกล้เท่าไรไทยก็ยิงได้ถนัดขึ้น กองทัพพม่าล้มตายเป็นอันมาก ต้องขุดอุโมงค์กันในเวลากลางคืน ใช้เวลา ๒ เดือนจึงคืบเข้าถึงคูเมือง แต่ก็ต้องขุดรูอยู่ โผล่หัวขึ้นมาเป็นถูกเรือปืนไทยยิง พระเจ้าบุเรงนองจึงส่งกองเรือไปกักเรือไทยไว้ไม่ให้ไปช่วยได้ แล้วถมดินทำทางรุกเข้าไป คาดโทษว่าด้านไหนทำไม่สำเร็จแม่ทัพต้องหัวขาด พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ต่างเกรงพระอาญา ให้ทหารเอาต้นตาลบังตัวแล้วถมดินเข้าไป คนข้างหน้าตายคนข้างหลังก็เอาดินถมทับศพ แต่ก็ยังไม่สามารถข้ามคูเมืองได้

ขณะนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงประชวรจนสวรรคต สมเด็จพระมหินทร์จึงจำใจขึ้นครองราชย์ เป็นจอมทัพเข้าสู้ศึก แม้พระเจ้าบุเรงนองจะมีสมญานามที่น่าเกรงขามว่า “ผู้ชนะสิบทิศ” และยกมาด้วยแสนยานุภาพมหาศาล แต่ฝ่ายไทยก็ผนึกกำลังกันด้วยความสามัคคีที่จะสู้อย่างยอมถวายชีวิต

พระเจ้าบุเรงนองล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึง ๗ เดือน ก็ยังหักเอามิได้ ฤดูฝนก็ใกล้เข้ามาทุกทีทำให้ทรงวิตก พระมหาธรรมราชาซึ่งยอมไปเข้ากับพระเจ้าบุเรงนองจึงทูลว่า ที่กรุงศรีอยุธยาต่อสู้รักษาเมืองอยู่ได้ ก็เพราะมีพระยารามเป็นหัวแรงสำคัญ ถ้ากำจัดพระยารามเสีย ก็จะชนะได้โดยง่าย และรับอาสามีหนังสือลับไปถึงพระวิสุทธิกษัตรีย์ พระอัครชายาที่ถูกยึดตัวอยู่ในเมืองว่า ถ้าพระมหินทร์ดื้อดึงรบไปก็มีแต่จะทำให้ผู้คนล้มตาย พระเจ้าหงสาวดีรับสั่งว่าเรื่องทั้งปวงที่เกิดขึ้นก็เพราะพระยารามคนเดียวที่ยุแยกให้พี่น้องแตกกัน ถ้าส่งตัวพระยารามออกมาถวายก็จะทำให้เรื่องยุติ กลับเป็นไมตรีต่อกัน พระวิสุทธิกษัตรีย์นำหนังสือไปถวายสมเด็จพระมหินทร์ ปรึกษาข้าราชการทั้งปวง ทุกคนต่างเหนื่อยหน่ายต่อการสู้รบ ส่วนพระยารามก็กราบทูลว่า ถ้าบ้านเมืองจะสงบสุขได้ด้วยวิธีนี้ ตัวเองก็จะยอมเสียสละ

สมเด็จพระมหินทร์จึงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชให้ออกไปเจรจาขอเป็นไมตรี พร้อมทั้งให้ข้าราชการผู้ใหญ่นำตัวพระยารามออกไปถวายพระเจ้ากรุงหงสาวดี
เมื่อพระเจ้าบุเรงนองรับตัวพระยารามไปแล้วก็ปรึกษาบรรดาแม่ทัพ ต่างลงความเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ ถ้าจะขอสงบศึกก็ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ให้พระเจ้าแผ่นดินออกมาถวายบังคมด้วย ซึ่งคำตอบของพระเจ้าหงสาวดีทำให้บรรดาขุนนางข้าราชการของกรุงศรีอยุธยาพากันเป็นเดือดเป็นแค้นที่พระเจ้าบุเรงนองพลิกลิ้น จึงทูลอาสาสมเด็จพระมหินทร์จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะอีกไม่ช้าน้ำเหนือก็จะบ่ามาท่วมกองทัพหงสาวดีแล้ว พระเจ้าบุเรงนองจึงยังไม่สามารถบุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้

พระมหาธรรมราชารับอาสาเข้าไปเกลี้ยกล่อม แต่ก็ถูกฝ่ายกรุงศรีอยุธยาระดมยิงกระเจิง เพราะไม่เชื่อถือกันอีกแล้ว ถึงตอนนี้พระเจ้าบุเรงนองจึงคิดหาเล่ห์กลทุกอย่างที่จะไม่ต้องถอยทัพกลับไปให้เสียหน้า ตัดสินพระทัยที่จะใช้กลอุบายเอาพระยาจักรีที่ได้ตัวไปในครั้งก่อนให้เป็นไส้ศึก ส่วนพระยาจักรีเห็นแก่ผลประโยชน์ที่กษัตริย์พม่าล่อใจ จึงยอมที่จะขายชาติ

พระเจ้าบุเรงนองแกล้งจองจำพระยาจักรีด้วยโซ่ตรวนไว้ประมาณ ๔-๕ วัน แล้วให้คนแอบไปปล่อยตัวกลางดึก รุ่งเช้าก็ส่งทหารออกควานหาจนทั่วเพื่อให้เรื่องหนีของพระยาจักรีอื้อฉาว เมื่อไม่ได้ตัวก็ให้นำทหารพม่ามอญ ๓๐ คนที่มีหน้าที่ควบคุมตัวพระยาจักรีไปประหาร ตัดหัวเสียบประจานไว้หน้าค่าย เป็นการยืนยันให้เรื่องนี้สมจริงยิ่งขึ้น

พระยาจักรีหนีไปถึงหน้าประตูเมืองกรุงศรีอยุธยาทั้งโซ่ตรวน สมเด็จพระมหินทร์ก็สำคัญว่าพระยาจักรีหนีพม่ามาจริง จึงพระราชทานรางวัลให้ในฐานมีความดีความชอบ และทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ป้องกันพระนครแทนพระยาราม

พอได้รับตำแหน่ง พระยาจักรีก็จัดการสับเปลี่ยนโยกย้ายหน่วยป้องกันพระนคร จนอ่อนแอไปทุกด้าน พอมีโอกาสจึงเปิดประตูเมืองให้กองทัพพระเจ้าบุเรงนองเข้าเมืองได้โดยง่าย กรุงศรีอยุธยาจึงเสียแก่พม่าหลังจากที่ถูกล้อมมาถึง ๙ เดือน และก่อนน้ำเหนือจะไหลบ่ามาถึงเพียงไม่กี่วัน

การเสียกรุงครั้งนี้ จึงปรากฏเหตุที่เด่นชัดว่า เป็นเพราะบ้านเมืองอ่อนกำลังลงเนื่องจากการเมืองแตกเป็น ๒ ขั้ว พี่น้องที่ควรสมัครสมานกลับทำลายล้างกันเอง
แม้กระนั้นความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย ก็ยังสามารถรักษาบ้านเมืองไว้ได้ แม้ศัตรูจะเข้มแข็งยิ่งใหญ่ระดับ “ผู้ชนะสิบทิศ” ก็ไม่อาจพิชิตทิศนี้ได้
ที่สำคัญถ้าไม่มีคนไทยขายชาติ พระเจ้าบุเรงนองผู้ยิ่งใหญ่ ก็จะต้องยกทัพกลับไปอย่างหน้าแตก

ชัยชนะของพระเจ้าบุเรงนองครั้งนี้ จึงเป็นการชนะด้วยเล่ห์กล ความจริงแล้วต้องเป็นฝ่ายแพ้ความสามัคคีของคนไทย ซึ่งลูกหลานไทยควรยึดถือเป็นแบบฉบับ
ส่วนการเสียสละตัวเองเพื่อประเทศชาติของพระยาราม ก็น่าจะช่วยกระตุ้นต่อมจริยธรรมของนักการเมืองได้บ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น