1.คดีพลิก! ศาลอุทธรณ์พิพากษาประหาร “แม่หมอนิ่ม” จ้างวานฆ่า “เอ็กซ์ จักรกฤษณ์” ส่วน “หมอนิ่ม” รอด!

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ศาลจังหวัดมีนบุรีได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีจ้างวานฆ่านายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ที่อัยการศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นโจทก์ฟ้องนายจิรศักดิ์ กลิ่นคล้าย อายุ 47 ปี มือปืน, นางสุรางค์ ดวงจินดา อายุ 76 ปี มารดา พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม อายุ 42 ปี อดีตภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์, พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม, นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด อายุ 32 ปี และนายธวัชชัย เพชรโชติ อายุ 35 ปี คนขี่จักรยานยนต์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่า, มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่สาธารณะ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ส.ค. - 19 ต.ค. 2556 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานให้ จำเลย 1 กับพวกที่ยังหลบหนี ใชัอาวุธปืนยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตโกเรฟ ขนาด 7.62 มม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัดจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณหน้าวัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กทม.
ต่อมา เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิพากษาประหารชีวิตหมอนิ่ม และนายสันติ หรือทนายอี๊ด ส่วนคนขี่จักรยานยนต์ และมือปืนให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนนางสุรางค์ มารดาหมอนิ่ม ให้ยกฟ้อง ด้านจำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 มารดาของ พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 เป็นผู้จ้างวานให้นายสมจิตร หรือทนายอี๊ด ติดต่อให้นายจีรศักดิ์ จำเลยที่ 1 มือปืน และนายธวัชชัย จำเลย 4 คนขี่รถจักรยานยนต์มาฆ่าผู้ตายจริง เนื่องจาก น.ส.สุรางค์ยังโกรธแค้นที่ผู้ตาย ทำร้ายร่างกายหมอนิ่ม บุตรสาว และทำร้ายหลานสาวได้รับบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน และเชื่อว่า ผู้ตายไม่สามารถแก้ไขพฤติกรรมได้
ส่วน พ.ญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 ศาลเห็นว่ายังมีความรักใคร่ผู้ตาย อีกทั้งระหว่างที่เกิดเรื่องก็ยังเคยมีเพศสัมพันธ์กัน รวมทั้งเคยพาบุตรสาวไปเยี่ยมที่เรือนจำทหาร และไม่คัดค้านการประกันตัวผู้ตาย ที่ทำร้ายร่างกายหมอนิ่ม รวมถึงคดีเสพยาเสพติดด้วย ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ให้ประหารชีวิต น.ส.สุรางค์ มารดาหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 ฐานใช้จ้างวานให้ฆ่านายจักรกฤษณ์ ผู้ตาย อย่างไรก็ตาม คำให้การของ น.ส.สุรางค์ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ตลอดชีวิต และให้ร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2.5 ล้านบาท ร่วมกับจำเลยที่ 1, 4 และ 5 สำหรับจำเลยที่ 1, 4 และ 5 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 ศาลพิพากษากลับยกฟ้อง
สำหรับสาเหตุที่ศาลพิพากษายืนลงโทษจำเลยที่ 1, 4 และ 5 นั้น เนื่องจากเชื่อว่า จำเลยร่วมทำผิดในการติดต่อจ้างวาน และจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นคนร้ายร่วมก่อเหตุ แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นการจ้างวาน แต่มีข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ติดต่อเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ รวมทั้งข้อมูลการเคลื่อนที่ของสัญญาณโทรศัพท์ตามเส้นทางเกิดเหตุที่มีการเฝ้าติดตามผู้ตาย อีกทั้งมีกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 1 และ 5 ก็รับว่าบุคคลในภาพเป็นตน นอกจากนี้การแถลงข่าวหลังสอบสวน จำเลยทั้งสองก็ไม่มีท่าทีว่าถูกบังคับ ส่วนที่จำเลยที่ 1, 4 และ 5 อ้างว่าโอนเงินให้กันเพราะติดหนี้ ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น
ด้านนายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความของหมอนิ่ม เผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องหมอนิ่ม เนื่องจากยังมีความสงสัยในบางเรื่องเกี่ยวกับความรักความผูกพัน และมองว่า ถ้าหมอนิ่มจ้างวานฆ่า ไม่น่าต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องนั่งรถด้วยกัน
หลังฟังคำพิพากษา ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวมารดาหมอนิ่มประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ทนายความเผยด้วยว่า คดีนี้ มารดาหมอนิ่มต้องฎีกาอยู่แล้ว เพราะศาลพิพากษาลงโทษ ส่วนหมอนิ่ม ขึ้นอยู่กับอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจะฎีกาคำพิพากษาหรือไม่ เพราะหมอนิ่มเป็นฝ่ายชนะคดี
ด้านนางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดาของ เอ็กซ์-จักรกฤษณ์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นแบบนี้ ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล แต่ก็ดีกับหลาน เพราะหลานคนโตยังนอนกับคุณยาย ติดคุณยายมาก ส่วนหลานคนเล็กจะนอนกับแม่เขา คือหมอนิ่ม และว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา นางสุรางค์ มารดาหมอนิ่มก็ได้โทรนัดและให้ไปเจอหลานทั้ง 2 คน หลังจากไม่ได้เจอมานาน 1 ปี เมื่อเจอก็พาไปกินสุกี้ ส่วนหลานคนเล็กก็ไปไดร์ฟกอล์ฟ นางบุญคิด เผยด้วยว่า ส่วนตัวรู้สึกสงสารมารดาหมอนิ่ม เพราะอายุเยอะแล้ว และมีโรคประจำตัวด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ยังหลบหนี ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลจึงสั่งออกหมายจับแล้ว
2.ศาลพิพากษาจำคุก “อดีตเณรคำ” 114 ปี ฐานฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ แต่ กม.ให้จำคุกได้แค่ 20 ปี!

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาให้ไทยเมื่อปี 2560 เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2) และมาตรา 60
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2552-27 มิ.ย.2556 จำเลยได้ใช้ความเป็นพระในฐานะประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม และความศรัทธาของประชาชน บังอาจหลอกลวงว่า จำเลยนิมิต(ฝัน) ว่า พบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระ โดยใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี, สร้างเครื่องทรงพระแก้ว 3 ฤดูด้วยทองคำแท้, ก่อสร้างเสาวิหารแก้ว 199 ต้นๆ ละ 3 แสนบาท, รูปหล่อพระทองคำ (รูปเหมือนจำเลย) ก่อสร้างวิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าขันติธรรม สาขา 1 จ.อุบลราชธานี, สร้างวัดที่ จ.สุพรรณบุรี รวมทั้งจัดซื้อเรือจากสหรัฐฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจำเลยได้ประกาศชักชวนให้ประชาชนนำเงิน ทองคำ และทรัพย์สินมาบริจาคกับจำเลย ที่วัดป่าขันติธรรม โดยจัดตู้บริจาคไว้จำนวน 8 ตู้
นอกจากนี้ จำเลยยังได้ใช้เว็บไซต์ www.luangpunenkham.com เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ จนมีผู้เสียหาย 29 ราย (เฉพาะที่มาร้องทุกข์) หลงเชื่อว่า จำเลยเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงร่วมบริจาคเงินและทรัพย์สินต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 28,649,553 บาท จากนั้น จำเลยได้โอนเงิน 1,130,000 บาท ที่ได้จากการฉ้อโกงไปซื้อรถยนต์โดยทุจริต และมิได้ก่อสร้างใดๆ ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม ในชั้นพิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความทำนองเดียวกันว่า ได้ตรวจสอบการนำข้อความเข้าสู่เว็บไซต์หลวงปู่เณรคำ มีใจความว่า จำเลยนิมิตพบพระอินทร์ให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อมีการตรวจสอบพิสูจน์แล้วพบว่า ใช้หินอ่อนหินปูนในการก่อสร้าง ไม่ใช่หินหยกจากอิตาลีตามที่จำเลยกล่าวอ้าง นอกจากนี้ จากการสอบปากคำพยานหลายคนพบว่า จำเลยได้เทศนาในหลายสถานที่เรื่องการให้สร้างพระแก้วมรกต บางรายอ่านหนังสือชีวประวัติจำเลย ทำให้เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้มีบุญ พบพญานาคเทวดา สามารถเดินจงกรมบนน้ำหรือในอากาศได้ ซึ่งนักวิชาการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เห็นว่า เป็นการอวดอุตตริมนุสธรรม ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ทั้งยังถูกสอบกรณีมีพฤติกรรมเสพเมถุน ดังที่เจ้าอาวาสมีคำสั่งให้ปาราชิก ซึ่งพ้นความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เสพเมถุน ทั้งหมดเป็นหลักฐานสำคัญว่า ไม่ใช่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ขณะที่ผู้เสียหายได้เบิกความยืนยันเหตุที่ร่วมทำบุญกับจำเลย เพราะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ปฏิบัติดี มีปาฏิหาริย์ เป็นพระอรหันต์ จึงมีจิตศรัทธาบริจาคให้โดยไม่คิดว่าจะถูกหลอก โดยการบริจาค มีทั้งมอบให้จำเลยโดยตรง โอนเงินผ่านบัญชี หรือหยอดตู้บริจาค ต่อมาพบว่า จำเลยใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยปราศจากเหตุผล ซื้อเครื่องบินส่วนตัว รถยนต์หรู อาทิ ปอร์เช่ บีเอ็มดับเบิ้ลยู โตโยต้าคัมรี่ และรถตู้รวมหลายสิบคัน บางคันมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยรถระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ มีพยานหลักฐานการเคลื่อนไหวบัญชีเงินฝาก 23 บัญชี พยานบุคคลเบิกความตามที่รู้เห็น พยานเอกสารสามารถตรวจสอบได้ ผู้เสียหายมีศรัทธาในพุทธศาสนา เคยกราบไหว้จำเลย เชื่อได้ว่าไม่มีเจตนาใส่ร้ายจำเลย
ส่วนทรัพย์สินที่จำเลยนำไปใช้ส่วนตัวนั้น ภายหลัง ศาลแพ่งได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์จำนวน 43,478,992 บาท ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญว่าจำเลยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจำเลยไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่า ที่มาของทรัพย์สินนั้นมาจากไหน อย่างไร และที่จำเลยอ้างว่า มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง แต่ใช้ชื่อจำเลยเพราะรู้จักกับโชว์รูม จ.สระแก้ว จึงซื้อได้ในราคาต่ำนั้น จำเลยไม่มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถมาเบิกความสนับสนุน และที่อ้างว่าใช้ในภารกิจของสงฆ์นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงหลายสิบคัน
ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง โดยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 29 กระทงๆ ละ 3 ปี รวม 87 ปี, จำคุกตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) เป็นเวลา 3 ปี และจำคุกตามความผิดฐานฟอกเงิน รวม 12 กระทงๆ ละ 2 ปี เป็นเวลา 24 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา 20 ปี พร้อมให้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 29 ราย ตามจำนวนที่ได้ฉ้อโกงไป ส่วนที่อัยการโจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีที่ถูกฟ้องข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงนั้น เนื่องจากศาลอาญายังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอดังกล่าว สำหรับคดีกระทำชำเราเด็กหญิงนั้น ศาลอาญานัดพิพากษาในเดือน ต.ค.นี้
3.“หม่อมเต่า” นั่งหัวหน้าพรรค รปช. “เอนก” ถอนตัวไม่ลงชิง ด้าน “สุเทพ” ยันไม่รับตำแหน่งใดๆ พร้อมเชื่อ รปช.จะได้เป็นรัฐบาล!

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 5 ส.ค. พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และอดีตเลขาธิการ กปปส. เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเปิดตัวพรรคเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค พร้อมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค 7 คน ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนนเสียง 331 คะแนน
ทั้งนี้ ก่อนที่ประชุมจะมีมติ ได้มีผู้ร่วมจัดตั้งพรรค เสนอชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรคด้วย แต่นายเอนกได้ประกาศขอถอนตัว โดยระบุว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล มีความเหมาะสมมากกว่า
ส่วนผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตอัยการ เป็นเลขาธิการพรรค ด้วยคะแนนเสียง 328 คะแนน, น.ส.จุฑาทัตต เหล่าธรรมทัศน์ หลานสาวนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นเหรัญญิกพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน, ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำสถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นนายทะเบียนพรรค ด้วยคะแนนเสียง 315 คะแนน, พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 327 คะแนน, นายวีระชัย คล้ายทอง อดีตอัยการ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน และนางสุเนตตา แซ่โก๊ะ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 324 คะแนน
ด้านนายสุเทพกล่าวว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้จะทำหน้าที่ไปจนกว่าจะมีการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก จากนั้นจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดถาวร ซึ่งส่วนตัว อยากให้มีสมาชิกพรรคประมาณ 5-6 แสนคน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค
นายสุเทพกล่าวยืนยันด้วยว่า ภูมิใจที่จะยืนเคียงข้างพรรคการเมืองนี้ และจะทำงานอย่างทุ่มเทกับทุกคน พร้อมย้ำ ตนจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ในพรรคนี้ จะไม่ลงสมัคร ส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ แต่จะขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคทั่วประเทศ พร้อมเชื่อมั่นว่า พรรคจะได้เป็นรัฐบาล และเชื่อว่า ภายหลังเลือกตั้ง จะไม่มีรัฐบาลพรรคเดียวแน่นอน แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ถึงเวลานั้น รอรับขันหมากได้เลย
ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล ให้สัมภาษณ์หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค รปช.ว่า หลังได้รับทาบทามให้มาทำงานกับพรรคนี้ ก็ตอบรับทันที เพราะต้องการแก้ปัญหาประเทศ และว่า ตนเชื่อเหมือนนายสุเทพว่า พรรค รปช.มีโอกาสเป็นรัฐบาล ส่วนจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ นั้น ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าวว่า ยังไม่มีประโยชน์ที่จะคิดล่วงหน้า แต่เชื่อว่า หลังเลือกตั้ง น่าจะได้นายกฯ จากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อ เชื่อว่าโอกาสที่จะไปถึงการเลือกนายกฯ คนนอก น่าจะเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่านายสุเทพเตรียมจัดขบวนคาราวานเดินสายปราศรัยทั่วประเทศให้พรรค รปช. สามารถทำได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า การจะทำอะไร ทุกคนต้องขออนุญาต คสช.ก่อน โดย คสช.จะมองเรื่องความสงบสุขและสันติสุขเป็นหลัก
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ยอมเผยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะอยู่พรรคไหน แม้ระหว่างลงพื้นที่ติดตามแผนรับมืออุทกภัยที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค. จะมีชาวบ้านเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูแลคน 70 ล้านคนต่อไป และอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไปตลอดชีวิตก็ตาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามชาวบ้านที่เชียรให้ตนเป็นนายกฯ ด้วยว่า “ทำไมต้องเป็นผม” ซึ่งชาวบ้านตอบว่า “เพราะใจถึงพึ่งได้”
4.สมาชิก สนช.ชงแก้ “พ.ร.ป. กกต.” โละ 616 ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ด้าน กรธ.ซัด สนช. “เข้ารกเข้าพง”!

จากกรณีที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) บางส่วนออกมาเคลื่อนไหวเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 หลังมองว่า การเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด 616 คนของ กกต.ชุดปัจจุบันเป็นไปด้วยความรีบเร่ง และอาจไม่เหมาะสม ควรให้ กกต.ชุดใหม่เป็นผู้คัดเลือกมากกว่า ขณะที่มีข่าวว่า ผู้ตรวจการเลือกตั้งฯ ที่ได้รับเลือก ส่วนใหญ่เป็นอดีตพนักงานและคนใกล้ชิดของ กกต.ชุดปัจจุบันด้วยนั้น
ปรากฏว่า มีความเห็นที่หลากหลายต่อการเคลื่อนไหวของ สนช.ดังกล่าว มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะที่บางคนมองว่า นี่อาจเป็นเกมเพื่อยื้อการเลือกตั้งให้ยืดออกไปจากโรดแมปที่วางไว้ โดยนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่เห็นด้วยที่ สนช.บางส่วนจะเสนอแก้ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เพื่อโละผู้ตรวจการเลือกตั้งฯ “ถือว่าเข้ารกเข้าพงกันหมดแล้ว ถ้าผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ได้รับเลือกมา ไม่ขาดคุณสมบัติ แล้วจะไปหาเหตุผลอะไรมายกเลิกเขา ปัญหาดังกล่าวมีทางออก ไม่น่าถึงขึ้นเสนอแก้ไขกฎหมาย”
ด้านนายมหรรณพ เดชวิทักษ์ สมาชิก สนช.ในฐานะผู้รวบรวมรายชื่อ สนช.เสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ชี้แจงว่า สาระสำคัญของการเสนอร่างแก้ไขดังกล่าว ก็คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง แทนการให้ กกต.ออกระเบียบคัดเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ฉบับปัจจุบัน เนื่องจาก สนช.ห่วงว่าระเบียบของ กกต.อาจมีความหละหลวม ไม่รอบคอบรัดกุมเพียงพอ เพราะระเบียบของ กกต.สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามยุคสมัยของ กกต.แต่ละชุดที่เข้ามาทำหน้าที่ อาจเป็นช่องว่างให้การได้มาซึ่งผู้ตรวจการเลือกตั้ง ถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองในอนาคตได้
ขณะที่นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช.ยอมรับว่า ตนเป็น สนช.คนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อขอแก้ไขร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เนื่องจาก กกต.ชุดปัจจุบันรีบร้อนตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้ง ไม่รอ กกต.ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ คล้ายกับกรณีโยกย้ายข้าราชการภายใต้รัฐมนตรีคนที่จะหมดวาระ ขณะที่รัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเห็นด้วยว่า การกระทำของ กกต.ชุดปัจจุบันน่าเกลียด เมื่อพูดถึงมารยาทแล้ว ไม่ควรทำ พร้อมยืนยัน สิ่งที่ สนช.ทำ ไม่ใช่การแทรกแซงอำนาจของ กกต.ชุดปัจจุบัน แต่อย่างน้อยควรดึงไว้หน่อย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ สนช.เข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เพื่อแก้ไขการสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้งว่า ไม่ใช่การแก้กฎหมายเพื่อล้มล้างผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องของการจะทำอย่างไรให้ กกต.ชุดใหม่และ กกต.ชุดเก่า ได้ร่วมมือคัดสรรผู้ตรวจการเลือกตั้ง ให้เกิดความเหมาะสม พร้อมยืนยัน ส่วนตัวไม่มองว่าเป็นการล้ม และไม่เคยแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระใดๆ ทั้งสิ้น
ขณะที่นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.กล่าวว่า สนช.เป็นคนกำหนดให้ กกต.เป็นผู้ออกระเบียบ และกว่าจะออกระเบียบ กกต.ได้มีการถกเถียงทุกแง่มุม เพื่อไม่ให้สอดคล้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ดังนั้น สนช.จะมาโทษว่าระเบียบ กกต.ไม่รอบคอบรัดกุม ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองว่าออกกฎหมายไม่รัดกุม และว่า กกต.ก่อนจะคัดเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้ง ได้ดูกรอบเวลาแล้วว่า ต้องดำเนินการ เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.กำหนดให้ใช้ผู้ตรวจการเลือกตั้งทั้งในการเลือก ส.ว.และเลือกตั้ง ส.ส. โดย พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.จะครบกำหนดเวลา 90 วันในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เมื่อกฎหมายประกาศใช้ ต้องเดินหน้าสรรหา ส.ว.ทันที จึงเกรงว่า ถ้าไม่เลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งไว้ จะกลายเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต.ชุดใหม่
นายศุภชัยกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ กกต.ได้ส่งรายชื่อผู้ตรวจการเลือกตั้งที่คัดเลือกไว้ 616 คน ไปปิดประกาศให้ประชาชนในแต่ละจังหวัดตรวจสอบแล้ว หากประชาชนต้องการร้องเรียนคุณสมบัติหรือพฤติการณ์ของผู้ได้รับคัดเลือก แจ้งมายัง กกต.จังหวัดได้ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศรายชื่อ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ทั้งนี้ นายศุภชัยยืนยันว่า กกต.ชุดนี้ไม่จำเป็นต้องวางคนของตัวเองเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เป็นนักการเมืองและไม่คิดจะลงเล่นการเมือง แต่อยากอยู่อย่างสงบหลังพ้นจากตำแหน่ง พร้อมแนะ สนช.ว่า หากมีข้อมูลว่าผู้ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งรายใดขาดคุณสมบัติ ส่งมาให้ กกต.พิจารณาได้ พร้อมมองว่า การโละผู้ได้รับเลือกเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง ทำได้เป็นรายบุคคล ถ้าถูกร้องเรียน แต่ไม่สามารถโละทั้งหมด 616 คนได้
ด้านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เผยว่า ขณะนี้ สนช.ที่ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ได้ยื่นเรื่องต่อประธาน สนช.แล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณา หากประธาน สนช.มีคำสั่งให้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิป สนช.) ก็คงเป็นสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดจากนั้น นายสุรชัยกล่าวด้วยว่า ที่มีการกล่าวหาว่า สนช.เสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. เพราะต้องการยื้อเลือกตั้งนั้น ถือว่าไม่เป็นธรรมกับ สนช.เพราะเป็นการใช้สิทธิของสมาชิก สนช.ที่จะเสนอแก้กฎหมาย พร้อมเชื่อว่า ไม่น่าจะมีอะไรกระทบโรดแมปเลือกตั้ง
5.ศาลอุทธรณ์ภาค 5-บ้านพักตุลาการ ยอมทิ้งดอยสุเทพ ไปสร้างใหม่ที่เชียงรายแทน!

หลังจากข่าวเงียบไประยะใหญ่ๆ กรณีการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักตุลาการ บริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ที่ถูกชาวเชียงใหม่คัดค้าน ล่าสุด 11 ส.ค. นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) สัญจร ที่ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 9-10 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่มีนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรม ทำความตกลงขอใช้ที่ดินจากกรมวิชาการเกษตร บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยของข้าราชการ และให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป
นายสราวุธ เผยด้วยว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ไปดูพื้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงรายเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ก่อนเสนอที่ประชุม ก.บ.ศ.ในวันที่ 10 ส.ค. เพื่อพิจารณาขอใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังกล่าว ซึ่งหากได้รับการจัดสรรงบประมาณและก่อสร้างจนเเล้วเสร็จ จะย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 จากบริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ใหม่นี้ทั้งหมด ทั้งที่ทำการศาลฯ เเละที่พักอาศัยข้าราชการ และเมื่อมีการย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่แล้ว จะต้องประสานกับรัฐบาลว่า จะทำอย่างไรกับพื้นที่เดิมที่ จ.เชียงใหม่
6.“4 หมูป่า” ได้สัญชาติไทยแล้ว ด้าน “หม่อง” แชมป์ร่อนเครื่องบินกระดาษ-สร้างชื่อเสียงให้ไทย รอมา 9 ปี ยังไม่ได้สัญชาติ!

เมื่อวันที่ 8 ส.ค. นายสมศักดิ์ คณาคำ นายอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้ได้รับสัญชาติไทยในพื้นที่ อ.แม่สาย จำนวน 30 คน โดยในจำนวนนี้ มีโค้ชและนักเตะทีมหมูป่าอะคาเดมีที่เคยติดถ้ำหลวงด้วย 4 คน ประกอบด้วย 1.พระวิสารโทภิกขุ หรือพระเอกพล จันทะวงษ์ หรือพระโค้ชเอก อายุ 25 ปี 2.ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน อายุ 14 ปี 3.ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม หรือน้องมาร์ค อายุ 13 ปี และ 4.นายพรชัย คำหลวง หรือน้องตี๋อายุ 16 ปี
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ยืนยันว่า เหตุที่ทั้ง 4 คนได้สัญชาติไทย ไม่ใช่เพราะเกิดเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำหลวง แต่เพราะมีคุณสมบัติครบ
ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคมได้เกิดคำถามว่า เหตุใดทีมหมูป่าทั้ง 4 คนจึงได้รับสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว ขณะที่นายหม่อง ทองดี วัย 21 ปี อดีตเด็กนักเรียนไร้สัญชาติที่เคยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยหลังเป็นตัวแทนนักเรียนไปแข่งขันร่อนเครื่องบินกระดาษที่ประเทศญี่ปุ่น และได้รับรางวัลกลับมา และมีกระแสข่าวว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะช่วยเหลือให้ได้รับสัญชาติไทย แต่ผ่านไป 9 ปีแล้ว เรื่องก็ยังเงียบ
เมื่อมีข่าวว่าทีมหมูป่าจะได้สัญชาติไทย นายหม่องได้ตัดสินใจยื่นคำร้องถึงกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอสัญชาติไทยให้ตัวเองอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา และเตรียมส่งหลักฐานเพิ่มเติมเป็นใบรับรองคุณงามความดีและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เพื่อประกอบการขอสัญชาติไทยด้วย หม่องหวังว่า ตัวเองจะได้รับสัญชาติไทย แม้จะต้องรอคอยกระบวนการพิจารณานานประมาณ 9 เดือนก็ตาม
หม่องเผยว่า ปัจจุบันกำลังเรียน กศน. ใกล้จะจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย และมีอาชีพรับจ้างถ่ายภาพมุมสูง หากมีเวลาว่างก็จะไปช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานรับจ้างก่อสร้าง ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ หากต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ ยอมรับว่ามีความยากลำบากพอสมควร เพราะต้องทำเรื่องขออนุญาตออกนอกพื้นที่ทุกครั้ง เนื่องจากยังไม่ได้รับสัญชาติไทย นอกจากนี้ หม่องยังใช้เวลาว่างช่วยเหลืองานของโรงเรียนห้วยทราย ที่ตัวเองเคยเรียนหนังสือ สอนการพับเครื่องบินกระดาษ และเทคนิคการทำให้เครื่องบินร่อนอยู่ในอากาศเป็นเวลานานให้แก่นักเรียนรุ่นน้องในโรงเรียนแห่งนี้ รวมทั้งทำการฝึกซ้อมให้ ซึ่งล่าสุด เตรียมที่จะส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ด้วย
ส่วนกรณีที่สมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมี 4 คนได้รับสัญชาติไทยไปแล้วนั้น หม่องบอกว่า ยินดีด้วยกับทั้ง 4 คน และไม่ได้รู้สึกอะไรที่มีคนพยายามเอาเรื่องของตัวเองไปเปรียบเทียบ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน และเชื่อว่า ท้ายที่สุด ตัวเองจะได้รับสัญชาติไทยเช่นกัน
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ศาลจังหวัดมีนบุรีได้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีจ้างวานฆ่านายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ที่อัยการศาลจังหวัดมีนบุรีเป็นโจทก์ฟ้องนายจิรศักดิ์ กลิ่นคล้าย อายุ 47 ปี มือปืน, นางสุรางค์ ดวงจินดา อายุ 76 ปี มารดา พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม อายุ 42 ปี อดีตภรรยาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์, พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม, นายสันติ ทองเสม หรือทนายอี๊ด อายุ 32 ปี และนายธวัชชัย เพชรโชติ อายุ 35 ปี คนขี่จักรยานยนต์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่า, มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่สาธารณะ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างเดือน ส.ค. - 19 ต.ค. 2556 จำเลยที่ 2-4 ร่วมกันจ้างวานให้ จำเลย 1 กับพวกที่ยังหลบหนี ใชัอาวุธปืนยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตโกเรฟ ขนาด 7.62 มม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัดจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณหน้าวัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กทม.
ต่อมา เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2559 ศาลจังหวัดมีนบุรีได้พิพากษาประหารชีวิตหมอนิ่ม และนายสันติ หรือทนายอี๊ด ส่วนคนขี่จักรยานยนต์ และมือปืนให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนนางสุรางค์ มารดาหมอนิ่ม ให้ยกฟ้อง ด้านจำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 มารดาของ พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 เป็นผู้จ้างวานให้นายสมจิตร หรือทนายอี๊ด ติดต่อให้นายจีรศักดิ์ จำเลยที่ 1 มือปืน และนายธวัชชัย จำเลย 4 คนขี่รถจักรยานยนต์มาฆ่าผู้ตายจริง เนื่องจาก น.ส.สุรางค์ยังโกรธแค้นที่ผู้ตาย ทำร้ายร่างกายหมอนิ่ม บุตรสาว และทำร้ายหลานสาวได้รับบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน และเชื่อว่า ผู้ตายไม่สามารถแก้ไขพฤติกรรมได้
ส่วน พ.ญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 ศาลเห็นว่ายังมีความรักใคร่ผู้ตาย อีกทั้งระหว่างที่เกิดเรื่องก็ยังเคยมีเพศสัมพันธ์กัน รวมทั้งเคยพาบุตรสาวไปเยี่ยมที่เรือนจำทหาร และไม่คัดค้านการประกันตัวผู้ตาย ที่ทำร้ายร่างกายหมอนิ่ม รวมถึงคดีเสพยาเสพติดด้วย ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้ให้ประหารชีวิต น.ส.สุรางค์ มารดาหมอนิ่ม จำเลยที่ 2 ฐานใช้จ้างวานให้ฆ่านายจักรกฤษณ์ ผู้ตาย อย่างไรก็ตาม คำให้การของ น.ส.สุรางค์ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ตลอดชีวิต และให้ร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2.5 ล้านบาท ร่วมกับจำเลยที่ 1, 4 และ 5 สำหรับจำเลยที่ 1, 4 และ 5 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนหมอนิ่ม จำเลยที่ 3 ศาลพิพากษากลับยกฟ้อง
สำหรับสาเหตุที่ศาลพิพากษายืนลงโทษจำเลยที่ 1, 4 และ 5 นั้น เนื่องจากเชื่อว่า จำเลยร่วมทำผิดในการติดต่อจ้างวาน และจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นคนร้ายร่วมก่อเหตุ แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นการจ้างวาน แต่มีข้อมูลบันทึกการใช้โทรศัพท์ติดต่อเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ รวมทั้งข้อมูลการเคลื่อนที่ของสัญญาณโทรศัพท์ตามเส้นทางเกิดเหตุที่มีการเฝ้าติดตามผู้ตาย อีกทั้งมีกล้องวงจรปิดใกล้ที่เกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 1 และ 5 ก็รับว่าบุคคลในภาพเป็นตน นอกจากนี้การแถลงข่าวหลังสอบสวน จำเลยทั้งสองก็ไม่มีท่าทีว่าถูกบังคับ ส่วนที่จำเลยที่ 1, 4 และ 5 อ้างว่าโอนเงินให้กันเพราะติดหนี้ ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ เท่านั้น
ด้านนายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความของหมอนิ่ม เผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องหมอนิ่ม เนื่องจากยังมีความสงสัยในบางเรื่องเกี่ยวกับความรักความผูกพัน และมองว่า ถ้าหมอนิ่มจ้างวานฆ่า ไม่น่าต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องนั่งรถด้วยกัน
หลังฟังคำพิพากษา ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวมารดาหมอนิ่มประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ทนายความเผยด้วยว่า คดีนี้ มารดาหมอนิ่มต้องฎีกาอยู่แล้ว เพราะศาลพิพากษาลงโทษ ส่วนหมอนิ่ม ขึ้นอยู่กับอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจะฎีกาคำพิพากษาหรือไม่ เพราะหมอนิ่มเป็นฝ่ายชนะคดี
ด้านนางบุญคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดาของ เอ็กซ์-จักรกฤษณ์ กล่าวว่า ไม่คิดว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นแบบนี้ ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล แต่ก็ดีกับหลาน เพราะหลานคนโตยังนอนกับคุณยาย ติดคุณยายมาก ส่วนหลานคนเล็กจะนอนกับแม่เขา คือหมอนิ่ม และว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา นางสุรางค์ มารดาหมอนิ่มก็ได้โทรนัดและให้ไปเจอหลานทั้ง 2 คน หลังจากไม่ได้เจอมานาน 1 ปี เมื่อเจอก็พาไปกินสุกี้ ส่วนหลานคนเล็กก็ไปไดร์ฟกอล์ฟ นางบุญคิด เผยด้วยว่า ส่วนตัวรู้สึกสงสารมารดาหมอนิ่ม เพราะอายุเยอะแล้ว และมีโรคประจำตัวด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ยังหลบหนี ไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลจึงสั่งออกหมายจับแล้ว
2.ศาลพิพากษาจำคุก “อดีตเณรคำ” 114 ปี ฐานฉ้อโกง-ฟอกเงิน-ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ แต่ กม.ให้จำคุกได้แค่ 20 ปี!
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาให้ไทยเมื่อปี 2560 เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2) และมาตรา 60
คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 17 ก.พ. 2552-27 มิ.ย.2556 จำเลยได้ใช้ความเป็นพระในฐานะประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม และความศรัทธาของประชาชน บังอาจหลอกลวงว่า จำเลยนิมิต(ฝัน) ว่า พบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระ โดยใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี, สร้างเครื่องทรงพระแก้ว 3 ฤดูด้วยทองคำแท้, ก่อสร้างเสาวิหารแก้ว 199 ต้นๆ ละ 3 แสนบาท, รูปหล่อพระทองคำ (รูปเหมือนจำเลย) ก่อสร้างวิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าขันติธรรม สาขา 1 จ.อุบลราชธานี, สร้างวัดที่ จ.สุพรรณบุรี รวมทั้งจัดซื้อเรือจากสหรัฐฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจำเลยได้ประกาศชักชวนให้ประชาชนนำเงิน ทองคำ และทรัพย์สินมาบริจาคกับจำเลย ที่วัดป่าขันติธรรม โดยจัดตู้บริจาคไว้จำนวน 8 ตู้
นอกจากนี้ จำเลยยังได้ใช้เว็บไซต์ www.luangpunenkham.com เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ จนมีผู้เสียหาย 29 ราย (เฉพาะที่มาร้องทุกข์) หลงเชื่อว่า จำเลยเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงร่วมบริจาคเงินและทรัพย์สินต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 28,649,553 บาท จากนั้น จำเลยได้โอนเงิน 1,130,000 บาท ที่ได้จากการฉ้อโกงไปซื้อรถยนต์โดยทุจริต และมิได้ก่อสร้างใดๆ ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม ในชั้นพิจารณา จำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความทำนองเดียวกันว่า ได้ตรวจสอบการนำข้อความเข้าสู่เว็บไซต์หลวงปู่เณรคำ มีใจความว่า จำเลยนิมิตพบพระอินทร์ให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อมีการตรวจสอบพิสูจน์แล้วพบว่า ใช้หินอ่อนหินปูนในการก่อสร้าง ไม่ใช่หินหยกจากอิตาลีตามที่จำเลยกล่าวอ้าง นอกจากนี้ จากการสอบปากคำพยานหลายคนพบว่า จำเลยได้เทศนาในหลายสถานที่เรื่องการให้สร้างพระแก้วมรกต บางรายอ่านหนังสือชีวประวัติจำเลย ทำให้เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้มีบุญ พบพญานาคเทวดา สามารถเดินจงกรมบนน้ำหรือในอากาศได้ ซึ่งนักวิชาการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เห็นว่า เป็นการอวดอุตตริมนุสธรรม ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง ทั้งยังถูกสอบกรณีมีพฤติกรรมเสพเมถุน ดังที่เจ้าอาวาสมีคำสั่งให้ปาราชิก ซึ่งพ้นความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เสพเมถุน ทั้งหมดเป็นหลักฐานสำคัญว่า ไม่ใช่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ขณะที่ผู้เสียหายได้เบิกความยืนยันเหตุที่ร่วมทำบุญกับจำเลย เพราะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ปฏิบัติดี มีปาฏิหาริย์ เป็นพระอรหันต์ จึงมีจิตศรัทธาบริจาคให้โดยไม่คิดว่าจะถูกหลอก โดยการบริจาค มีทั้งมอบให้จำเลยโดยตรง โอนเงินผ่านบัญชี หรือหยอดตู้บริจาค ต่อมาพบว่า จำเลยใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยปราศจากเหตุผล ซื้อเครื่องบินส่วนตัว รถยนต์หรู อาทิ ปอร์เช่ บีเอ็มดับเบิ้ลยู โตโยต้าคัมรี่ และรถตู้รวมหลายสิบคัน บางคันมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยรถระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ มีพยานหลักฐานการเคลื่อนไหวบัญชีเงินฝาก 23 บัญชี พยานบุคคลเบิกความตามที่รู้เห็น พยานเอกสารสามารถตรวจสอบได้ ผู้เสียหายมีศรัทธาในพุทธศาสนา เคยกราบไหว้จำเลย เชื่อได้ว่าไม่มีเจตนาใส่ร้ายจำเลย
ส่วนทรัพย์สินที่จำเลยนำไปใช้ส่วนตัวนั้น ภายหลัง ศาลแพ่งได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์จำนวน 43,478,992 บาท ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญว่าจำเลยนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจำเลยไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่า ที่มาของทรัพย์สินนั้นมาจากไหน อย่างไร และที่จำเลยอ้างว่า มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง แต่ใช้ชื่อจำเลยเพราะรู้จักกับโชว์รูม จ.สระแก้ว จึงซื้อได้ในราคาต่ำนั้น จำเลยไม่มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถมาเบิกความสนับสนุน และที่อ้างว่าใช้ในภารกิจของสงฆ์นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงหลายสิบคัน
ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง โดยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 29 กระทงๆ ละ 3 ปี รวม 87 ปี, จำคุกตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) เป็นเวลา 3 ปี และจำคุกตามความผิดฐานฟอกเงิน รวม 12 กระทงๆ ละ 2 ปี เป็นเวลา 24 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา 20 ปี พร้อมให้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 29 ราย ตามจำนวนที่ได้ฉ้อโกงไป ส่วนที่อัยการโจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีที่ถูกฟ้องข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงนั้น เนื่องจากศาลอาญายังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอดังกล่าว สำหรับคดีกระทำชำเราเด็กหญิงนั้น ศาลอาญานัดพิพากษาในเดือน ต.ค.นี้
3.“หม่อมเต่า” นั่งหัวหน้าพรรค รปช. “เอนก” ถอนตัวไม่ลงชิง ด้าน “สุเทพ” ยันไม่รับตำแหน่งใดๆ พร้อมเชื่อ รปช.จะได้เป็นรัฐบาล!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 5 ส.ค. พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และอดีตเลขาธิการ กปปส. เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเปิดตัวพรรคเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค พร้อมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค 7 คน ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือก ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนนเสียง 331 คะแนน
ทั้งนี้ ก่อนที่ประชุมจะมีมติ ได้มีผู้ร่วมจัดตั้งพรรค เสนอชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรคด้วย แต่นายเอนกได้ประกาศขอถอนตัว โดยระบุว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล มีความเหมาะสมมากกว่า
ส่วนผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตอัยการ เป็นเลขาธิการพรรค ด้วยคะแนนเสียง 328 คะแนน, น.ส.จุฑาทัตต เหล่าธรรมทัศน์ หลานสาวนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นเหรัญญิกพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน, ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ อาจารย์ประจำสถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นนายทะเบียนพรรค ด้วยคะแนนเสียง 315 คะแนน, พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 327 คะแนน, นายวีระชัย คล้ายทอง อดีตอัยการ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 326 คะแนน และนางสุเนตตา แซ่โก๊ะ เป็นกรรมการบริหารพรรค ด้วยคะแนนเสียง 324 คะแนน
ด้านนายสุเทพกล่าวว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้จะทำหน้าที่ไปจนกว่าจะมีการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งแรก จากนั้นจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดถาวร ซึ่งส่วนตัว อยากให้มีสมาชิกพรรคประมาณ 5-6 แสนคน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค
นายสุเทพกล่าวยืนยันด้วยว่า ภูมิใจที่จะยืนเคียงข้างพรรคการเมืองนี้ และจะทำงานอย่างทุ่มเทกับทุกคน พร้อมย้ำ ตนจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ในพรรคนี้ จะไม่ลงสมัคร ส.ส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ แต่จะขึ้นเวทีปราศรัยช่วยพรรคทั่วประเทศ พร้อมเชื่อมั่นว่า พรรคจะได้เป็นรัฐบาล และเชื่อว่า ภายหลังเลือกตั้ง จะไม่มีรัฐบาลพรรคเดียวแน่นอน แต่จะเป็นรัฐบาลผสม ถึงเวลานั้น รอรับขันหมากได้เลย
ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล ให้สัมภาษณ์หลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค รปช.ว่า หลังได้รับทาบทามให้มาทำงานกับพรรคนี้ ก็ตอบรับทันที เพราะต้องการแก้ปัญหาประเทศ และว่า ตนเชื่อเหมือนนายสุเทพว่า พรรค รปช.มีโอกาสเป็นรัฐบาล ส่วนจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ นั้น ม.ร.ว.จัตุมงคลกล่าวว่า ยังไม่มีประโยชน์ที่จะคิดล่วงหน้า แต่เชื่อว่า หลังเลือกตั้ง น่าจะได้นายกฯ จากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดหรือไม่ เพราะถ้าไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อ เชื่อว่าโอกาสที่จะไปถึงการเลือกนายกฯ คนนอก น่าจะเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่านายสุเทพเตรียมจัดขบวนคาราวานเดินสายปราศรัยทั่วประเทศให้พรรค รปช. สามารถทำได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า การจะทำอะไร ทุกคนต้องขออนุญาต คสช.ก่อน โดย คสช.จะมองเรื่องความสงบสุขและสันติสุขเป็นหลัก
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ยอมเผยว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะอยู่พรรคไหน แม้ระหว่างลงพื้นที่ติดตามแผนรับมืออุทกภัยที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 8 ส.ค. จะมีชาวบ้านเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูแลคน 70 ล้านคนต่อไป และอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ไปตลอดชีวิตก็ตาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามชาวบ้านที่เชียรให้ตนเป็นนายกฯ ด้วยว่า “ทำไมต้องเป็นผม” ซึ่งชาวบ้านตอบว่า “เพราะใจถึงพึ่งได้”
4.สมาชิก สนช.ชงแก้ “พ.ร.ป. กกต.” โละ 616 ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ด้าน กรธ.ซัด สนช. “เข้ารกเข้าพง”!
จากกรณีที่มีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) บางส่วนออกมาเคลื่อนไหวเสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 หลังมองว่า การเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัด 616 คนของ กกต.ชุดปัจจุบันเป็นไปด้วยความรีบเร่ง และอาจไม่เหมาะสม ควรให้ กกต.ชุดใหม่เป็นผู้คัดเลือกมากกว่า ขณะที่มีข่าวว่า ผู้ตรวจการเลือกตั้งฯ ที่ได้รับเลือก ส่วนใหญ่เป็นอดีตพนักงานและคนใกล้ชิดของ กกต.ชุดปัจจุบันด้วยนั้น
ปรากฏว่า มีความเห็นที่หลากหลายต่อการเคลื่อนไหวของ สนช.ดังกล่าว มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน ขณะที่บางคนมองว่า นี่อาจเป็นเกมเพื่อยื้อการเลือกตั้งให้ยืดออกไปจากโรดแมปที่วางไว้ โดยนายชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ไม่เห็นด้วยที่ สนช.บางส่วนจะเสนอแก้ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เพื่อโละผู้ตรวจการเลือกตั้งฯ “ถือว่าเข้ารกเข้าพงกันหมดแล้ว ถ้าผู้ตรวจการเลือกตั้งที่ได้รับเลือกมา ไม่ขาดคุณสมบัติ แล้วจะไปหาเหตุผลอะไรมายกเลิกเขา ปัญหาดังกล่าวมีทางออก ไม่น่าถึงขึ้นเสนอแก้ไขกฎหมาย”
ด้านนายมหรรณพ เดชวิทักษ์ สมาชิก สนช.ในฐานะผู้รวบรวมรายชื่อ สนช.เสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ชี้แจงว่า สาระสำคัญของการเสนอร่างแก้ไขดังกล่าว ก็คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่คัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง แทนการให้ กกต.ออกระเบียบคัดเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ฉบับปัจจุบัน เนื่องจาก สนช.ห่วงว่าระเบียบของ กกต.อาจมีความหละหลวม ไม่รอบคอบรัดกุมเพียงพอ เพราะระเบียบของ กกต.สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามยุคสมัยของ กกต.แต่ละชุดที่เข้ามาทำหน้าที่ อาจเป็นช่องว่างให้การได้มาซึ่งผู้ตรวจการเลือกตั้ง ถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองในอนาคตได้
ขณะที่นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช.ยอมรับว่า ตนเป็น สนช.คนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อขอแก้ไขร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เนื่องจาก กกต.ชุดปัจจุบันรีบร้อนตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้ง ไม่รอ กกต.ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ คล้ายกับกรณีโยกย้ายข้าราชการภายใต้รัฐมนตรีคนที่จะหมดวาระ ขณะที่รัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเห็นด้วยว่า การกระทำของ กกต.ชุดปัจจุบันน่าเกลียด เมื่อพูดถึงมารยาทแล้ว ไม่ควรทำ พร้อมยืนยัน สิ่งที่ สนช.ทำ ไม่ใช่การแทรกแซงอำนาจของ กกต.ชุดปัจจุบัน แต่อย่างน้อยควรดึงไว้หน่อย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ สนช.เข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.เพื่อแก้ไขการสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้งว่า ไม่ใช่การแก้กฎหมายเพื่อล้มล้างผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่เป็นเรื่องของการจะทำอย่างไรให้ กกต.ชุดใหม่และ กกต.ชุดเก่า ได้ร่วมมือคัดสรรผู้ตรวจการเลือกตั้ง ให้เกิดความเหมาะสม พร้อมยืนยัน ส่วนตัวไม่มองว่าเป็นการล้ม และไม่เคยแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระใดๆ ทั้งสิ้น
ขณะที่นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.กล่าวว่า สนช.เป็นคนกำหนดให้ กกต.เป็นผู้ออกระเบียบ และกว่าจะออกระเบียบ กกต.ได้มีการถกเถียงทุกแง่มุม เพื่อไม่ให้สอดคล้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. ดังนั้น สนช.จะมาโทษว่าระเบียบ กกต.ไม่รอบคอบรัดกุม ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองว่าออกกฎหมายไม่รัดกุม และว่า กกต.ก่อนจะคัดเลือกผู้ตรวจการเลือกตั้ง ได้ดูกรอบเวลาแล้วว่า ต้องดำเนินการ เพราะ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.กำหนดให้ใช้ผู้ตรวจการเลือกตั้งทั้งในการเลือก ส.ว.และเลือกตั้ง ส.ส. โดย พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.จะครบกำหนดเวลา 90 วันในวันที่ 13 ก.ย.นี้ เมื่อกฎหมายประกาศใช้ ต้องเดินหน้าสรรหา ส.ว.ทันที จึงเกรงว่า ถ้าไม่เลือกผู้ตรวจการเลือกตั้งไว้ จะกลายเป็นปัญหาต่อการทำงานของ กกต.ชุดใหม่
นายศุภชัยกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ กกต.ได้ส่งรายชื่อผู้ตรวจการเลือกตั้งที่คัดเลือกไว้ 616 คน ไปปิดประกาศให้ประชาชนในแต่ละจังหวัดตรวจสอบแล้ว หากประชาชนต้องการร้องเรียนคุณสมบัติหรือพฤติการณ์ของผู้ได้รับคัดเลือก แจ้งมายัง กกต.จังหวัดได้ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศรายชื่อ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว
ทั้งนี้ นายศุภชัยยืนยันว่า กกต.ชุดนี้ไม่จำเป็นต้องวางคนของตัวเองเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เป็นนักการเมืองและไม่คิดจะลงเล่นการเมือง แต่อยากอยู่อย่างสงบหลังพ้นจากตำแหน่ง พร้อมแนะ สนช.ว่า หากมีข้อมูลว่าผู้ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้งรายใดขาดคุณสมบัติ ส่งมาให้ กกต.พิจารณาได้ พร้อมมองว่า การโละผู้ได้รับเลือกเป็นผู้ตรวจการเลือกตั้ง ทำได้เป็นรายบุคคล ถ้าถูกร้องเรียน แต่ไม่สามารถโละทั้งหมด 616 คนได้
ด้านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เผยว่า ขณะนี้ สนช.ที่ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.ได้ยื่นเรื่องต่อประธาน สนช.แล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณา หากประธาน สนช.มีคำสั่งให้นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(วิป สนช.) ก็คงเป็นสัปดาห์หน้าหรือสัปดาห์ถัดจากนั้น นายสุรชัยกล่าวด้วยว่า ที่มีการกล่าวหาว่า สนช.เสนอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. เพราะต้องการยื้อเลือกตั้งนั้น ถือว่าไม่เป็นธรรมกับ สนช.เพราะเป็นการใช้สิทธิของสมาชิก สนช.ที่จะเสนอแก้กฎหมาย พร้อมเชื่อว่า ไม่น่าจะมีอะไรกระทบโรดแมปเลือกตั้ง
5.ศาลอุทธรณ์ภาค 5-บ้านพักตุลาการ ยอมทิ้งดอยสุเทพ ไปสร้างใหม่ที่เชียงรายแทน!
หลังจากข่าวเงียบไประยะใหญ่ๆ กรณีการก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักตุลาการ บริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ที่ถูกชาวเชียงใหม่คัดค้าน ล่าสุด 11 ส.ค. นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) สัญจร ที่ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 9-10 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่มีนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรม ทำความตกลงขอใช้ที่ดินจากกรมวิชาการเกษตร บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยของข้าราชการ และให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป
นายสราวุธ เผยด้วยว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ไปดูพื้นที่ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงรายเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ก่อนเสนอที่ประชุม ก.บ.ศ.ในวันที่ 10 ส.ค. เพื่อพิจารณาขอใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังกล่าว ซึ่งหากได้รับการจัดสรรงบประมาณและก่อสร้างจนเเล้วเสร็จ จะย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 จากบริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ใหม่นี้ทั้งหมด ทั้งที่ทำการศาลฯ เเละที่พักอาศัยข้าราชการ และเมื่อมีการย้ายไปยังสถานที่แห่งใหม่แล้ว จะต้องประสานกับรัฐบาลว่า จะทำอย่างไรกับพื้นที่เดิมที่ จ.เชียงใหม่
6.“4 หมูป่า” ได้สัญชาติไทยแล้ว ด้าน “หม่อง” แชมป์ร่อนเครื่องบินกระดาษ-สร้างชื่อเสียงให้ไทย รอมา 9 ปี ยังไม่ได้สัญชาติ!
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. นายสมศักดิ์ คณาคำ นายอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุมัติให้ได้รับสัญชาติไทยในพื้นที่ อ.แม่สาย จำนวน 30 คน โดยในจำนวนนี้ มีโค้ชและนักเตะทีมหมูป่าอะคาเดมีที่เคยติดถ้ำหลวงด้วย 4 คน ประกอบด้วย 1.พระวิสารโทภิกขุ หรือพระเอกพล จันทะวงษ์ หรือพระโค้ชเอก อายุ 25 ปี 2.ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน อายุ 14 ปี 3.ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม หรือน้องมาร์ค อายุ 13 ปี และ 4.นายพรชัย คำหลวง หรือน้องตี๋อายุ 16 ปี
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ยืนยันว่า เหตุที่ทั้ง 4 คนได้สัญชาติไทย ไม่ใช่เพราะเกิดเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำหลวง แต่เพราะมีคุณสมบัติครบ
ทั้งนี้ หลายฝ่ายในสังคมได้เกิดคำถามว่า เหตุใดทีมหมูป่าทั้ง 4 คนจึงได้รับสัญชาติไทยอย่างรวดเร็ว ขณะที่นายหม่อง ทองดี วัย 21 ปี อดีตเด็กนักเรียนไร้สัญชาติที่เคยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยหลังเป็นตัวแทนนักเรียนไปแข่งขันร่อนเครื่องบินกระดาษที่ประเทศญี่ปุ่น และได้รับรางวัลกลับมา และมีกระแสข่าวว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะช่วยเหลือให้ได้รับสัญชาติไทย แต่ผ่านไป 9 ปีแล้ว เรื่องก็ยังเงียบ
เมื่อมีข่าวว่าทีมหมูป่าจะได้สัญชาติไทย นายหม่องได้ตัดสินใจยื่นคำร้องถึงกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอสัญชาติไทยให้ตัวเองอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา และเตรียมส่งหลักฐานเพิ่มเติมเป็นใบรับรองคุณงามความดีและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เพื่อประกอบการขอสัญชาติไทยด้วย หม่องหวังว่า ตัวเองจะได้รับสัญชาติไทย แม้จะต้องรอคอยกระบวนการพิจารณานานประมาณ 9 เดือนก็ตาม
หม่องเผยว่า ปัจจุบันกำลังเรียน กศน. ใกล้จะจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย และมีอาชีพรับจ้างถ่ายภาพมุมสูง หากมีเวลาว่างก็จะไปช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานรับจ้างก่อสร้าง ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ หากต้องเดินทางออกนอกพื้นที่ ยอมรับว่ามีความยากลำบากพอสมควร เพราะต้องทำเรื่องขออนุญาตออกนอกพื้นที่ทุกครั้ง เนื่องจากยังไม่ได้รับสัญชาติไทย นอกจากนี้ หม่องยังใช้เวลาว่างช่วยเหลืองานของโรงเรียนห้วยทราย ที่ตัวเองเคยเรียนหนังสือ สอนการพับเครื่องบินกระดาษ และเทคนิคการทำให้เครื่องบินร่อนอยู่ในอากาศเป็นเวลานานให้แก่นักเรียนรุ่นน้องในโรงเรียนแห่งนี้ รวมทั้งทำการฝึกซ้อมให้ ซึ่งล่าสุด เตรียมที่จะส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ด้วย
ส่วนกรณีที่สมาชิกทีมหมูป่าอะคาเดมี 4 คนได้รับสัญชาติไทยไปแล้วนั้น หม่องบอกว่า ยินดีด้วยกับทั้ง 4 คน และไม่ได้รู้สึกอะไรที่มีคนพยายามเอาเรื่องของตัวเองไปเปรียบเทียบ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน และเชื่อว่า ท้ายที่สุด ตัวเองจะได้รับสัญชาติไทยเช่นกัน