xs
xsm
sm
md
lg

เงี้ยวยึดเมืองแพร่ จับข้าหลวงประหาร! เจ้าหลวงต้องลี้ภัยไปลาว หลานปู่คือผู้แต่ง “ผู้ชนะสิบทิศ”!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

ส่วนหนึ่งของนักโทษกบฏเงี้ยว
เงี้ยว ก็คือชาวไทยใหญ่ในรัฐฉานของพม่า อยู่ในความปกครองของอังกฤษ เมื่อรู้สึกว่าถูกกดขี่จึงอพยพมาอยู่ในมณฑลพายัพของไทย พอมีจำนวนมากและรวมตัวกันได้เหนียวแน่น จึงตื่นเสรีภาพแข็งข้อกับทางราชการ ในสมัย ร.๕ มีพวกเงี้ยวในเมืองฝางก่อจลาจลสร้างความเดือดร้อนหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกปราบปรามจนราบคาบ

เงี้ยวก่อการจลาจลครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นใน พ.ศ.๒๔๔๕ ที่เมืองแพร่ เหตุร้ายได้เริ่มขึ้นตอนเช้าตรู่ เมื่อกลุ่มเงี้ยว พม่า และตองซู่ รวมตัวกันประมาณ ๔๐๐ คน มีดาบและปืนแก๊ปเป็นอาวุธ หัวหน้าชื่อ พะกาหม่อง เกิดความไม่พอใจการปกครองของไทย ได้จู่โจมเข้าปล้นสถานีตำรวจเป็นแห่งแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทันรู้ตัวจึงแตกหนีกันกระเจิง นางคำ ภรรยาของนายร้อยตำรวจตรีตาด อยู่บนบ้านพักหลังโรงพัก เห็นเงี้ยวบุกจึงคว้าปืนยิง พวกเงี้ยวเลยกรูขึ้นบนบ้าน ฟันแทงนางคำและเด็กผู้หญิงลูกเลี้ยงเสียชีวิต

เมื่อยึดโรงพักได้อย่างง่ายดาย พวกเงี้ยวก็ได้ใจเคลื่อนเข้ายึดที่ว่าการไปรษณีย์ ทำลายเครื่องโทรเลขและเอกสารต่างๆ พนักงานหนีไปได้ ขณะปล้นก็ยิงกราดไปทั่วเป็นการขู่ขวัญ แต่ก็โดนคนตาย

จากนั้นก็บุกไปบ้าน พระยาไชยบูรณ์ ข้าหลวงประจำเมืองแพร่ ที่อยู่ตรงข้ามถนนกับที่ทำการไปรษณีย์ โดยยิงปืนนำ พระยาไชยบูรณ์ยิงสู้ได้ไม่กี่นัดก็เห็นว่าจะทานกำลังเงี้ยวไม่ไหว จึงพาภรรยา คือ คุณหญิงเยื้อน หลบออกทางด้านหลังมุ่งไปคุ้มหลวง แต่ปรากฏว่า เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าผู้ครองนคร ทิ้งคุ้มหลบภัยไปแล้ว พระยาไชยบูรณ์จึงมุ่งไปนอกเมืองหวังเกณฑ์คนมาสู้

พวกเงี้ยวกวาดทรัพย์สินในบ้านพระยาไชยบูรณ์จนเกลี้ยงแล้ว ก็บุกต่อไปศาลากลางจังหวัด เอาเงินคลังไปได้ประมาณ ๓,๙๐๐ บาท และทำลายข้าวของเสียหาย จากนั้นก็มุ่งไปศาลจังหวัด ยิงปืนกราดไปที่ศาลและบ้านพักผู้พิพากษา ค้นเอาเอกสารคดีต่างๆมาฉีกทิ้ง ส่วนผู้พิพากษาหลบหนีไปได้

จากศาลก็ไปบ้านพธำมะรงค์เรือนจำซึ่งหนีไปได้ เงี้ยวจึงปล่อยนักโทษออกจากเรือนจำทั้งหมด พวกนักโทษได้เข้าสมทบกับพวกเงี้ยว ออกปล้นสะดมข้าราชการที่มาจากกรุงเทพฯ แต่ทุกบ้านก็หนีกันไปหมดแล้ว พวกเงี้ยวเลยกวาดทรัพย์สินเงินทองหมดบ้าน

รุ่งขึ้นอีกวัน หลวงวิมลฯ ผู้ช่วยข้าหลวง ซึ่งหลบหนีออกจากบ้านได้ ไปขออาศัยหลบซ่อนกับพญาติ กำนันบ้านป่าแดง แต่กลับเป็นการหนีเสือปะจระเข้ ถูกพญาติจับไปส่งพวกเงี้ยว ซึ่งขณะนั้นพวกเงี้ยวได้ยึดเมืองแพร่ไว้ได้หมดแล้ว เงี้ยวได้นำตัวหลวงวิมลฯไปประหารที่ประตูศรีชุม ในเมืองแพร่ ส่วนพธำมรงค์เรือนจำก็หนีไม่รอด ถูกนำไปประหารที่ประตูมาร นายร้อยตำรวจตรีตาดและจ่านายสิบอ่วม ถูกประหารที่ถนนหน้าเมือง นอกจากนั้นยังมีครอบครัวข้าราชการไทยถูกฆ่าอีกมาก ไม่เว้นแม้ผู้หญิงและเด็ก

สำหรับพระยาไชยบูรณ์ ข้าหลวงเมืองแพร่ ที่เงี้ยวถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุด ตั้งค่าหัวไว้ ๓๐๐ บาทกับม้าอีก ๒ ตัว ได้หลบไปซ่อนอยู่ในป่ากับนายแม้น พนักงานอัยการ ส่วนคุณหญิงเยื้อนได้พลัดพรากกันไปตอนเหตุการณ์ชุลมุน พระยาไชยบูรณ์ได้ใช้ให้นายแม้นไปเกณฑ์ราษฎรที่บ้านกาศมาช่วย นายแม้นเกณฑ์มาได้ราว ๘๐ คน แต่พระพิไชยราชา เจ้านายเมืองแพร่ ค้านว่าจะพาคนไปตายเสียเปล่าๆ เพราะเงี้ยวมีกำลังมากกว่าและกำลังฮึกเหิม ทั้งคิดจะฆ่าแต่ข้าราชการที่มาจากกรุงเทพฯเท่านั้น ไม่ทำคนพื้นเมือง พวกที่นายแม้นเกณฑ์มาเลยเปลี่ยนใจพากันหนีไป

พระยาไชยบูรณ์ไปตามนายแม้นที่บ้านกาศ เลยถูกกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้ลูกบ้านช่วยกันจับไปส่งเงี้ยว ขณะพวกเงี้ยวคุมตัวพระยาไชยบูรณ์มาถึงบ้านร่องแวง ห่างศาลากลางจังหวัดเพียง ๒ กม. เงี้ยวก็สังหารข้าหลวงเมืองแพร่อย่างโหดร้ายทารุณ โดยใช้ดาบฟันถึง ๓ ครั้ง ครั้งแรกเข้าที่กกหู ครั้งที่ ๒ ฟันที่หน้าเข้าตา ครั้งที่ ๓ ฟันที่ท้องจนไส้ทะลักสิ้นชีวิต

ส่วนคุณหญิงเยื้อน เมื่อพลัดพรากจากพระยาไชยบูรณ์ หลบหนีไปกับนางแจ๋วคนใช้ ตั้งใจว่าจะหนีไปเมืองพิชัย แต่ถูกเงี้ยวจับได้ เอาไปฝากให้เงี้ยวแก่คนหนึ่งคุมตัวไว้ก่อน กะจะฆ่าในวันรุ่งขึ้น เงี้ยวแก่เป็นคนใจบุญ เมื่อคุณหญิงอ้อนวอนขอชีวิตให้ปล่อยตัวเอาบุญ เงี้ยวชราจึงแกล้งไล่คุณหญิงให้ไปอยู่บนยุ้งข้าว พอตกค่ำคุณหญิงเยื้อนกับคนใช้จึงหลบหนีเข้าป่า เดินต่อไปจนถึงเมืองพิชัย

ทางด้านเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ ซึ่งหลบหนีออกจากคุ้มหลวงไปพร้อมกับผู้ติดตามอีกราว ๑๐ คน ขออาศัยอยู่ในบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่า พวกเงี้ยวก็ติดตามไปจนพบ พร้อมกับจับเจ้านายเมืองแพร่ได้อีกหลายคน เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นชาวเมืองแพร่ มีความสำคัญต่อบ้านเมือง พวกเงี้ยวจึงงดเว้นการฆ่า แต่ขอให้เจ้าหลวงเป็นผู้นำของบรรดาเจ้านายเมืองแพร่ที่ถูกควบคุมตัว ให้ทำสัญญาดื่มน้ำสาบานว่าจะร่วมมือกันต่อไป เจ้าหลวงและเจ้านายทั้งหลายไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงต้องยอมทำตาม

การเข้าปล้นเมืองของพวกเงี้ยวถูกรายงานถึงกรุงเทพฯทางโทรเลข พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (ทองสุข ดิษยบุตร) ข้าหลวงเมืองพิชัย เป็นแม่ทัพยกมาปราบ ขณะเดียวกันในวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๕ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) เป็นแม่ทัพใหญ่ขึ้นมาสมทบ

พวกเงี้ยวรู้ว่ากองทัพจากเมืองหลวงยกขึ้นมาก็วางแผนสู้ แบ่งกำลังเป็น ๓ หน่วยรบ หน่วยที่ ๑ มีกำลังประมาณ ๑๐๐ คนได้ปะทะกับกองทัพเมืองพิชัยในวันที่ ๓ สิงหาคม ผลปรากฏว่าเงี้ยวแตกพ่ายตายยับ

หน่วยรบที่ ๒ ไม่มีการปะทะกับรัฐบาล

หน่วยที่ ๓ มีกำลังประมาณ ๒๐๐ คน พะกาหม่อง หัวหน้าใหญ่นำเอง มุ่งไปตีเมืองลำปาง เจอกับกองกำลังตำรวจของร้อยเอกเยนเซ่น นายตำรวจชาวเดนมารค ที่ทางเชียงใหม่ส่งมา ตั้งป้อมสกัดกลางถนน พวกเงี้ยวเชื่อว่าอยู่คงคงกระพันดาหน้าเข้าไป จึงตายเกลื่อนถนน เมื่อทัพใหญ่ของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีขึ้นไปถึง โจรเงี้ยวก็ราบคาบไปแล้ว จึงตั้งศาลขึ้นชำระความ

เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ ผู้ดื่มน้ำสัญญาว่าจะร่วมมือกับกบฏเงี้ยว ถูกตั้งข้อหา ๓ ประการ คือ
เกิดเหตุร้ายแล้วไม่รายงานด่วน
ทำสัตย์สาบานร่วมกับเงี้ยว
เกณฑ์คนช่วยเงี้ยวที่เทพสึ่ง

แม้เจ้าหลวงจะทำไปด้วยความจำใจ แต่ก็ยากจะแก้ตัวให้พ้นข้อหาได้ เป็นที่เปิดเผยต่อมาว่า เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเห็นใจเจ้าหลวงในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าหลวงให้พ้นโทษได้ จึงแอบกระซิบคุณหญิงเยื้อนให้ไปยุเจ้าหลวงให้หนีไปเสีย เจ้าหลวงจึงรีบออกจากเมืองแพร่ ข้ามเขตแดนไปเมืองหลวงพระบาง และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนสิ้นอายุไข

ส่วน เจ้าบัวไหล ชายาของเจ้าหลวง ไม่ได้หนีไปด้วย แต่ได้พาบุตรชายคนเดียวชื่อ เจ้าอินแปง ซึ่งยังอยู่ในวัยเยาว์ ลงมาถวายตัวเป็นข้าของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาไทย ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นส่วนตัวกับเจ้าหลวง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงก็ทรงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม เจ้าบัวไหลก็อยู่ในวังกับลูกตลอดมาจนเจ้าอินแปงเป็นหนุ่ม กรมหลวงดำรงฯจึงทรงอนุญาตให้กลับไปอยู่บ้านที่เมืองแพร่

เจ้าอินแปงผู้นี้ก็คือบิดาของ นายโชติ แพร่พันธุ์ นักประพันธ์เจ้าของนามปากกา “ยาขอบ” ผู้แต่งนิยายเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” และเป็นบิดาของ นายมานะ แพร่พันธุ์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส

ในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๔๕ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงได้สั่งปลดเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ พ้นตำแหน่งผู้ครองนครแพร่ หลังจากนั้นก็มีพระบรมราชโองกการโปรดเกล้าฯให้ เจ้าพระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ข้าหลวงเมืองพิชัย ไปเป็นข้าหลวงเมืองแพร่

ส่วนพระยาไชยบูรณ์นั้น รัฐบาลเห็นว่ามีความดีความชอบ มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ และมีความจงรักภักดีต่อแผ่นดิน จึงพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาราชฤทธานนท์พหลภักดี และสร้างอนุสาวรีย์ไว้ ณ บริเวณที่ถูกฆ่า ส่วนคุณหญิงเยื้อนผู้เป็นภรรยา ก็ได้รับพระราชทานเงินยังชีพเดือนละ ๓๐๐ บาทไปตลอดชีวิต

สำหรับกบฏเงี้ยวที่ถูกจับได้ ระดับหัวหน้า ๘ คน ถูกศาลพิเศษสั่งประหารชีวิตด้วยวิธียิงเป้า ซึ่งเริ่มใช้แทนตัดหัวในสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่วนพวกที่มีความผิดรองลงมาและคนพื้นเมืองที่ร่วมผสมโรงรวม ๖๐ คน ถูกส่งลงมาคุมขังที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการกวดขันพวกเงี้ยวและคนพื้นเมืองอย่างเข้มงวด มีคำสั่งให้เก็บปืนจากชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งในเฉพาะในเมืองแพร่ก็ยึดได้กว่าพันกระบอก

พร้อมกันนี้ กระทรวงมหาดไทยก็ได้โอกาสเข้าจัดระบบการปกครองใหม่ ทั้งด้านศาล การเก็บภาษีอากร และตำรวจ เป็นการแผ่อำนาจของส่วนกลางมากขึ้น อำนาจของเจ้าผู้ครองนครจึงหมดไป

การเข้ายึดเมืองแพร่ของพวกเงี้ยว กลับกลายเป็นการทำให้อำนาจจากส่วนกลางที่กรุงเทพฯเข้ายึดได้โดยเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา
อนุสาวรีย์ของพระยาไชยบูรณ์ที่เมืองแพร่
เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ ผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น