1.“ทีมหมูป่า” เตรียมบวชหมู่อุทิศส่วนกุศลให้ “จ่าแซม” 24 ก.ค.นี้ ขณะที่ “แม่จ่าแซม” ได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่น “แม่ของผู้เสียสละ”!
ความคืบหน้าหลังจากนักเตะเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีพร้อมโค้ชรวม 13 คนได้รับการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัย ทั้งหน่วยซีลของไทยและนักดำน้ำชาวต่างชาติ รวมถึงหน่วยสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่ง จนออกมาจากถ้ำหลวงได้สำเร็จระหว่างวันที่ 8-9-10 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์นั้น
ปรากฏว่า หลังจากสภาพร่างกายน้องๆ แข็งแรงขึ้น และจิตใจดีขึ้นแล้ว เมื่อวันที่ 15 ก.ค. แพทย์ได้ตัดสินใจให้ญาติแจ้งข่าวการเสียชีวิตของ น.ต.สมาน กุนัน หรือจ่าแซม หน่วยซีลนอกราชการ ให้น้องๆ ทีมหมูป่าทราบ ซึ่งทันทีที่ทีมหมูป่าทราบ ทุกคนต่างร้องไห้ เสียใจ จากนั้นทุกคนได้เขียนความรู้สึกลงบนภาพวาดของจ่าแซม ก่อนยืนไว้อาลัยให้กับจ่าแซม พร้อมกล่าวขอบคุณและสัญญาว่าจะเป็นคนดี
วันต่อมา 16 ก.ค. จังหวัดเชียงรายได้จัดพิธีทำบุญใหญ่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่บริเวณหน้าถ้ำหลวง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซม พร้อมขอขมาเจ้าแม่นางนอนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
วันที่ 17 ก.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผยว่า รัฐบาลจะขอพระราชทานพระราชานุญาตใช้สถานที่พระลานพระราชวังดุสิต เพื่อเป็นสถานที่จัดเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 คนออกจากถ้ำหลวง
วันที่ 18 ก.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลานพระราชวังดุสิต เป็นสถานที่จัดเลี้ยงผู้ร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่า แต่ยังไม่มีการระบุวันและเวลา เพราะต้องดูสภาพลมฟ้าอากาศ และดูว่าช่วงเวลาไหนจะมีการใช้พระลานพระราชวังดุสิตทำกิจกรรมอีก เนื่องจากใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยนายกฯ มอบหมายให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปหารือกับผู้เกี่ยวข้อง สำหรับผู้ที่เดินทางกลับประเทศไปแล้ว นายวิษณุกล่าวว่า คงไม่กลับมาร่วมงานเลี้ยง แต่รัฐบาลจะเชิญทางสถานทูตมาร่วมงาน โดยในงานดังกล่าว นายกฯ จะมาร่วมงานด้วย เพราะรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (18 ก.ค.) เป็นวันที่แพทย์อนุญาตให้ทีมหมูป่าทั้ง 13 คนกลับบ้านได้ โดยก่อนกลับบ้าน คณะแพทย์ และพยาบาลได้นำทีมหมูป่าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และมีการถ่ายทอดสนผ่านรายการ เดินหน้าประเทศไทย ตอนพิเศษส่งหมูป่ากลับบ้าน ซึ่งก่อนการสัมภาษณ์ น้องๆ ได้เดาะบอลโชว์ด้วย สำหรับผู้ได้รับมอบหมายให้สัมภาษณ์ทีมหมูป่า คือ นายสุทธิชัย หยุ่น โดยมีคำถามกว่าร้อยคำถามจากสื่อทั่วโลก ซึ่งต้องได้รับการกลั่นกรองจากแพทย์และนักจิตวิทยาก่อน เนื่องจากละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของเด็ก
สำหรับบรรยากาศการสัมภาษณ์ทีมหมูป่านั้น น้องๆ และโค้ชเอกได้เล่าตั้งแต่วันที่เข้าไปในถ้ำหลวง ซึ่งตอนแรกกะว่าจะเข้าไปเที่ยวแค่ 1 ชั่วโมง โดยตั้งใจจะออกมาก่อน 5 โมงเย็น แต่สุดท้ายออกไม่ได้ เพราะมีน้ำปิดทางออก จึงต้องหนีเข้าไปด้านใน และพักอยู่บริเวณเนินนมสาว ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้องๆ ปรึกษากันว่า จะหนีเข้าไปให้ลึกกว่าเนินนมสาวหรือไม่ เผื่อมีทางออก แต่น้ำได้เพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว จึงต้องอยู่บริเวณเนินนมสาว โดยอาศัยน้ำจากหินงอกหินย้อยประทังความหิว ไม่มีอาหารหรือขนมติดตัวไปแต่อย่างใด เพราะกินขนมไปตั้งแต่อยู่ที่สนามบอลแล้ว ตอนแรกทีมหมูป่าคาดว่า น้ำที่ท่วมสูง อาจเป็นแค่ภาวะน้ำขึ้น-น้ำลง เดี๋ยวเช้าน้ำลด คงออกมากันได้ แต่ผิดคาด ทำให้ออกไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น น้องๆ ก็ไม่ได้นอนรอความช่วยเหลืออย่างเดียว ทุกคนได้ผลัดกันใช้ก้อนหินขุดผนังถ้ำ เผื่อช่วยให้ออกจากถ้ำได้ โดยขุดไปได้ประมาณ 3-4 เมตร หลังเวลาผ่านไป 10 วัน จึงมีนักดำน้ำชาวอังกฤษมาเจอน้องๆ ที่เนินนมสาว
ทั้งนี้ มีช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ ทีมหมูป่าได้พูดถึงความประทับใจและขอบคุณ น.ต.สมาน หรือจ่าแซม ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าด้วย พร้อมกันนี้ ทีมหมูป่ายังเผยด้วยว่า หลังจากนี้พร้อมที่จะบวชหมู่เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซมด้วย
ต่อมา วันที่ 19 ก.ค. ที่วัดพระธาตุดอยเวา จ.เชียงราย ได้มีการจัดพิธีสะเดาะเคราะห์สืบชะตาให้กับทีมหมูป่าทั้ง 13 คน พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซมด้วย ส่วนวันที่ทีมหมูป่าจะบวชหมู่นั้น เบื้องต้นกำหนดไว้วันที่ 24 ก.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ได้มีทหารจากค่ายเม็งรายมหาราชและค่ายอื่นๆ รวมทั้งหน่วยซีลจำนวน 9 นาย ที่เคยมาปฏิบัติภารกิจช่วยทีมหมูป่าที่ถ้ำหลวง ได้เข้าพิธีบวชหมู่ที่วัดบ้านจ้อง ต.โป่งผา ใกล้กับถ้ำหลวง เนื่องจากมีนายทหารคนหนึ่งได้บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า หากภารกิจประสบความสำเร็จ จะพาทหารออกบวช 9 นาย เป็นเวลา 9 วัน เมื่อภารกิจสำเร็จ จึงพากันมาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้าแม่นางนอน และ น.ต.สมาน รวมถึงเป็นการแก้บนดังกล่าวด้วย
ด้านสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศผลการคัดเลือกแม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2561 จำนวน 225 คน ซึ่งปีนี้ มีการพิจารณารางวัลพิเศษ แม่ของผู้เสียสละ โดยมอบให้แก่ นางสำราญ กุนัน อายุ 64 ปี มารดาของ น.ต.สมาน กุนัน หรือจ่าแซม อดีตหน่วยซีล ซึ่งได้สละชีพขณะปฏิบัติภารกิจร่วมช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี ที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย
2.สังคมถล่มยับ! ครูกลุ่มหนึ่งออกปฏิญญาหยุดชำระหนี้แบงก์ออมสิน ด้าน ผอ.ออมสินยันลูกหนี้ครูแค่ 1% ที่ไม่อยากใช้หนี้ พร้อมฟ้อง หากเบี้ยว!
สัปดาห์ที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียได้มีการแชร์คลิปภาพกรณีครูกลุ่มหนึ่งประกาศปฏิญญามหาสารคามที่มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคามเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องขอให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้โครงการสวัสดิการเงินกู้การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ทุกโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ ยังประกาศด้วยว่า ลูกหนี้ ช.พ.ค. 4.5 แสนคน จะยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสินตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไปด้วย ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมที่ครูกลุ่มดังกล่าว มีหนี้ แต่ส่อว่าจะชักดาบ ไม่ยอมใช้หนี้
ด้านนายอวยชัย วะทา ประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นแกนนำครูที่ประกาศปฏิญญาดังกล่าว ชี้แจงว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้ทำข้อตกลงกับธนาคารออมสินเมื่อปี 2552 เพื่อให้สมาชิก ช.พ.ค.และ ช.พ.ส. (องค์การช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกคุรุสภา) กู้เงินจากธนาคารออมสินรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดผ่อนชำระ 30 ปี หรือ 360 งวด เพื่อนำไปใช้หนี้สถาบันการเงินและหนี้นอกระบบ, เพื่อซื้อบ้านหรือสร้างที่อยู่อาศัย, เพื่อซื้อรถยนต์หรือยานพาหนะ, เพื่อซื้อหุ้นหรือลงทุนทำธุรกิจ และเพื่อใช้จ่ายในการศึกษาหรือธุรกรรมที่จำเป็นอื่นๆ โดยมีครู และบุคลากรสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมโครงการประมาณ 450,000 คน วงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ นายอวยชัย อ้างว่า การช่วยดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องเดือดร้อน แบกรับภาระหนี้สินจากการคิดดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังบังคับให้ทำประกันชีวิต บังคับหักเงินค่าประกัน 10 ปี งวดเดียว 80,000-200,000 บาท รวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยผู้กู้ไม่ได้รับประโยชน์
นายอวยชัย กล่าวอีกว่า วันที่ประกาศปฏิญญา มีนายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับข้อเรียกร้องขององค์กรครูไป ซึ่งมี 3 ข้อ คือ 1.ให้พักหนี้ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการ ช.พ.ค.โดยเร่งด่วน 2.ให้รัฐบาลประกาศพักหนี้ครูเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นให้ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1 เหมือนเกษตรกร และ 3.ให้ สนช.และรัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมการร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินครู พร้อมทั้งประกาศเป็นวาระแห่งชาติภายในเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การประกาศปฏิญญาของกลุ่มครูดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม โดยนายศักดิ์ชัย บรรณสาร ผู้อำนวยการ สกสค.สระแก้ว กล่าวว่า การที่ครูในจังหวัดภาคอีสานจะงดใช้หนี้กับธนาคารออมสิน ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะก่อนกู้ ในสัญญากู้เงิน ก็มีเงื่อนไขให้ศึกษาแล้ว ไม่มีใครบังคับให้กู้ยืมแต่อย่างใด
ขณะที่นายครรชิต วรรณชา ศึกษาธิการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า การประกาศปฏิญญาขอยุติการชำระหนี้ของครูกลุ่มดังกล่าว แม้จะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ไม่เหมาะสม และกลุ่มครูที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณ หากถามว่า การประกาศปฏิญญาขอหยุดพักหนี้ผิดวินัยหรือไม่ นายครรชิต กล่าวว่า ในเชิงกฎหมายถือว่ายังไม่ผิด เพราะเป็นปฏิญญาเฉยๆ แต่หากไม่ส่งเงินทั้งต้นและดอกเบี้ย ย่อมนำไปสู่กระบวนการตามกฎหมาย จนศาลพิพากษาว่าเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทางวินัย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงปฏิญญาของกลุ่มครูที่ขอพักหนี้ว่า “ครูส่วนใหญ่ชำระหนี้ดี และไม่ได้เห็นด้วยกับการยุติชำระหนี้ ผมสอบถามข้อเท็จจริง และข้อมูลจากกระทรวงศึกษาฯ แล้ว อย่าให้เป็นเรื่องราวใหญ่ขึ้นมา ให้เข้าใจกันทุกฝ่าย”
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า “ก็ไปยืมมา แล้วมีการเซ็นหนังสือสัญญารับผิดชอบหรือไม่ ถ้าเบี้ยว ก็ต้องไปตกลงกับคนที่ไปเซ็นสัญญาด้วย จะมาให้รัฐบาลช่วยอะไร รัฐบาลจะไปบังคับได้อย่างไร”
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ทางธนาคารคงไม่ต้องไปหารือหรือชี้แจงอะไร เพราะลูกหนี้ของธนาคารในโครงการ ช.พ.ค. ส่วนใหญ่ 99% เป็นลูกหนี้ที่ดี มีเพียงไม่ถึง 1% ที่มีปัญหาและไม่อยากผ่อนชำระคืน ดังนั้นเชื่อว่าหลังวันที่ 1 ส.ค. ลูกหนี้ครูส่วนใหญ่ยังจะผ่อนชำระหนี้เหมือนเดิม และว่า หากมีการหยุดชำระหนี้ ทางธนาคารต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย คือ ฟ้องร้อง หากกลุ่มครูถูกฟ้องร้องและกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ทางกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงยุติธรรมได้ชี้แจงไปแล้วว่า จะขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการ ต้องออกจากราชการ ไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาได้
นายชาติชาย ยืนยันด้วยว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้พยายามช่วยเหลือลูกหนี้ครูมาตลอด ไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้แบบไม่เป็นธรรม ซึ่งได้มีการรับหนี้นอกระบบของครูเข้ามาอยู่กับออมสินทั้งหมด และคิดดอกเบี้ยต่ำ 6-6.5% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดสูงสุดปีละ 28% และน้อยกว่าหนี้นอกระบบ ที่คิดเดือนละ 10% นอกจากนี้ยังขยายเวลาการผ่อนชำระถึง 30 ปี ให้เลือกใช้บุคคลค้ำประกัน หรือทำประกันชีวิตกับธนาคารไว้เป็นหลักประกันได้ นอกจากนั้นยังช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ให้ครู โดยหากผ่อนชำระแล้วเหลือเงิน 30% ของเงินเดือน จะช่วยเหลือให้ผ่อนแค่ดอกเบี้ย แต่ไม่ต้องส่งเงินต้น แต่หากผ่อนแล้วเหลือเงิน 15-30% ไม่ต้องผ่อนเงินต้น และผ่อนดอกเบี้ยเพียงแค่ครึ่งเดียว และถ้าผ่อนแล้วเหลือเงินน้อยกว่า 15% ไม่ต้องผ่อนเงินต้น แต่ผ่อนดอกเบี้ยเพียง 25% และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ที่มีประวัติผ่อนชำระดี 0.5-1%
3.“กลุ่มสามมิตร” เตรียมหารือ 500 นปช. รอ คสช.ไฟเขียว พร้อมบุกคุย กปปส.ขอใช้ “บ้านทรงไทย” เป็นศูนย์ประสานงาน!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องรัฐบาลเตรียมไปประชุม ครม.สัญจรที่ จ.อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ในวันที่ 23-24 ก.ค.นี้ ที่ถูกนักการเมืองหลายพรรคมองว่า มีนัยยะทางการเมือง เพื่อไปดูด ส.ส.แล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของกลุ่มสามมิตร ที่ถูกมองว่ายังคงเดินสายดูด ส.ส.เพื่อเข้าร่วมกลุ่มเพื่อร่วมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯ กลุ่มสามมิตร และอดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน พร้อมทีมงาน ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวการเดินสายแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภาคอีสาน โดยยืนยันว่า จุดยืนของกลุ่มสามมิตร คือต้องการสร้างความปรองดองของชาติ การเลือกตั้งจะสมบูรณ์แบบไม่ได้ หากยังมีความคิดเห็นแตกแยกเป็นหลากสี ดังนั้นจึงแสวงหาจุดร่วมเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปด้วยความเรียบร้อยสมานฉันท์ การเดินทางไปแลกเปลี่ยนความคิดกับ นปช.กว่า 10 จังหวัด เพื่อฟังความคิดว่า จากนี้ 4-5 ปี หรือ 10-20 ปี จะเดินหน้าโดยไม่ต้องทะเลาะหรือแตกแยกกันได้อย่างไร
ทั้งนี้ นายภิรมย์เผยด้วยว่า เพื่อให้เกิดความปรองดองจริง จะมีการประชุมระหว่างกลุ่มสามมิตรกับ นปช. คาดว่ามี นปช.อยากจะมามากกว่า 500 คน ส่วนสถานที่ประชุม อาจจะเป็นอิมแพคเมืองทองธานีหรือที่ใด ต้องขออนุญาต คสช.ก่อน ถ้าอนุญาต ก็ทำได้ในเร็วๆ นี้
นายภิรมย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ กลุ่มสามมิตรมีเกือบ 200 คนแล้วที่จะขับเคลื่อนการเมือง เพื่อนำความคิดแต่ละกลุ่ม ทุกสี มากำหนดนโยบายทำงานให้ประเทศชาติต่อไป “ยืนยันว่า ไม่เคยใช้เงินดูดตามที่กล่าวหา ถ้ามีข่าวว่าใช้เงิน จะดังกว่านี้”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.กล่าวถึงกรณีนายภิรมย์ เลขาฯ กลุ่มสามมิตรเตรียมพูดคุยกับแกนนำ นปช.ในภาคอีสานเพื่อสร้างความปรองดองว่า เคยหารือนอกรอบกับแกนนำ นปช.แล้ว มีข้อสรุปตรงกันว่า การร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองใด ถือเป็นเสรีภาพ ตราบที่ยังยืนยันหลักการประชาธิปไตย ถือว่าความเป็น นปช.ยังอยู่ แต่หากละทิ้งจุดยืนนี้ เท่ากับสิ้นสภาพ ไม่เหลือความเป็น นปช.อีกต่อไป
นายณัฐวุฒิยังกล่าวทำนองเย้ยกลุ่มสามมิตรด้วยว่า ถ้าคาดหวังว่าประชาชนที่เคยร่วมต่อสู้ในนาม นปช.จะไปร่วมมือในแผนสืบทอดอำนาจ คงต้องคิดใหม่ เพราะกว่า 10 ปีในสนามการต่อสู้ พี่น้อง นปช.เอาชีพกับอิสรภาพเข้าแลก และยังคงแบกความอยุติธรรมร่วมกันในคดี 99 ศพ จนถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองบางประเภทในกลุ่มสามมิตรที่ประชาชนรู้ไส้รู้พุง จะย่อยสลายแล้วดูดลงคอได้ง่ายๆ
ขณะที่นายเทพพนม นามลี แกนนำ นปช.สุรินทร์ กล่าวถึงข่าวกลุ่มสามมิตร เดินสายพูดคุยกับกลุ่ม นปช.หลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยมีชื่อนายเทพพนมอยู่ด้วย โดยยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และตนเป็นฝ่ายเข้าหานายภิรมย์ กลุ่มสามมิตรเอง เพราะเห็นว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดดี สร้างความปรองดองของคนในชาติ และทำเพื่อประชาชนส่วนรวม นายเทพพนมยังเผยเงื่อนไขที่เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรด้วยว่า “ยืนยันว่าไม่ทิ้งนายทักษิณแน่นอน เพราะนายทักษิณจะอยู่ในใจตลอด ถ้ามาร่วมกับกลุ่มสามมิตรแล้ว ขอ 2 เรื่อง คืออย่าให้เปลี่ยนอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง และ นปช. และอย่าให้ไปด่านายทักษิณ ซึ่งนายภิรมย์รับปาก เมื่อรับปากก็พร้อมที่จะทำงานช่วยกลุ่มสามมิตรเต็มที่”
ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เจ้าของฉายา “แรมโบ้อีสาน” อดีตแกนนำ นปช. ซึ่งเคยสาบานต่อหน้าย่าโมว่าจะไม่เล่นการเมืองแล้ว แต่ปัจจุบันมีชื่อนายสุภรณ์เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตร ก็ได้ออกมาเผยว่า “จะไปจุดธูปบอกกับย่าโมว่า ผมขออนุญาตถอนคำสาบาน กลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้งเพื่อรับใช้ประชาชน เชื่อว่าย่าโมเข้าใจและไม่มีปัญหา เพราะผมคือลูกหลานย่าโม เป็นคนโคราชโดยกำเนิด”
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มสามมิตรจะเตรียมประชุมหารือครั้งใหญ่กับกลุ่ม นปช.แล้ว ยังได้เริ่มพูดคุยกับแกนนำของฝั่ง กปปส.บ้างแล้ว โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายภิรมย์ เลขาฯ กลุ่มสามมิตร ได้เดินทางไปที่บ้านทรงไทยแจ้งวัฒนะ กทม. เพื่อพบหารือกับนายสิระ เจนจาคะ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 1 ในอดีตแกนนำ กปปส.และศิษย์เอกของอดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการปรองดองของคนในชาติ พร้อมกันนี้ นายภิรมย์ได้ขอใช้สถานที่บ้านทรงไทยของนายสิระ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกลุ่มสามมิตรในพื้นที่ กทม.ด้วย ซึ่งนายสิระยินดีให้ใช้สถานที่ได้เต็มที่
4.สลด! ฮ. “เหยี่ยวข่าว 7 สี” ตกกลางทุ่งนาขอนแก่น ดับ 4 ราย คาดทัศนวิสัยไม่ดี!
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. เวลา 09.30 น. ตำรวจ สภ.ชนบท จ.ขอนแก่น ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า เกิดเหตุเครื่องบินตกกลางทุ่งนา ต.วังแสง อ.ชนบท จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเครื่องบินเล็กแบบเฮลิคอปเตอร์โดยสารตกอยู่กลางทุ่งนาในสภาพพังยับเยิน และมีไฟลุกไหม้ เจ้าหน้าที่จึงรีบควบคุมเพลิง
ด้านว่าที่ ร.ต.อัธยา ลาภมาก ผู้อำนวยการท่าอากาศยานขอนแก่น เผยว่า จากการตรวจสอบร่วมกับหอบังคับการบินพบว่า เครื่องบินดังกล่าวได้วางแผนบินเส้นทางสระบุรี-ขอนแก่น โดยหอบังคับการบินได้รับแจ้งจากจากสนามบินต้นทางว่า ขอลงจอดที่สนามบินขอนแก่น ในเวลา 09.00 น. โดยมีผู้โดยสาร 4 คน และได้ขาดการติดต่อไป เบื้องต้นคาดว่า ทัศนวิสัยไม่ดี เนื่องจากพื้นที่ขอนแก่น มีเมฆปกคลุมและฝนตกตลอดเวลา
ขณะที่นายประยุทธ พุทธพึ่ง ชาวบ้านหูลิง ซึ่งบ้านอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ เล่าว่า เห็นเฮลิคอปเตอร์บินต่ำกว่าปกติ สูงจากพื้นดินประมาณ 40 เมตร บินวนไปมา 2 รอบ จากนั้นเสียงเครื่องดับกลางอากาศ ก่อนพุ่งลงกลางทุ่งนา และไฟลุกท่วม จึงรีบวิ่งเข้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต แต่เฮลิคอปเตอร์ระเบิด และเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบศพผู้ตาย จึงรีบแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ
จากการตรวจสอบพบว่า เฮลิคอปเตอร์ดังกล่าว เป็น ฮ.ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ได้เช่าเพื่อทำข่าวและรายการต่างๆ ของทางสถานี โดยก่อนเกิดเหตุ กำลังบินไปรับผู้สื่อข่าวที่ จ.ขอนแก่น แต่ขาดการติดต่อ กระทั่งพบว่า ประสบอุบัติเหตุตกกลางทุ่งนา
ทั้งนี้ อุบัติเหตุดังกล่าว ส่งผลให้นักบินและผู้โดยสารบนเครื่องรวม 4 คนเสียชีวิตทั้งหมด โดยแต่ละศพอยู่ในสภาพจำไม่ได้ เนื่องจากถูกไฟไหม้ทั้งหมด ซึ่งตอนแรกข่าวสับสนว่า ผู้โดยสารบนเครื่อง 2 คนคือช่างภาพของช่อง 7 แต่ภายหลังทางช่อง 7 ยืนยันว่า ไม่มีนักข่าว ช่างภาพ หรือพนักงานของช่องเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย 1.นายเสกสรร วรรณา นักบิน 2.พ.ต.อ.สินสมุทร สินเภตรา ผู้ช่วยนักบิน ซึ่งทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบิน เป็นพนักงานของบริษัท เฮลิลักซ์ เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเฮลิคอปเตอร์ 3.นายรณกฤต เพชรนิล เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเกิ้ล นิวส์ เอวิเอชั่น จำกัด และ 4.นายสำเนา น้อยสกุล ผู้จัดการทีมถ่ายทำและผลิตรายการ
ด้านสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ได้ทำรายงานพิเศษเพื่อไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตจาก ฮ.ตกทั้ง 4 คน พร้อมระบุว่า "เราไม่อาจปฏิเสธความโศกเศร้าที่มีต่อผู้เสียชีวิตจากบริษัท อีเกิ้ล นิวส์ ได้ ทุกคนได้กลายเป็นทีมเหยี่ยวข่าว 7 สี ร่วมกับช่อง 7 เอชดี ที่ผ่านความเสี่ยง ลำบาก และสำเร็จมาด้วยกัน”
ขณะที่นายณัชฐพงศ์ มูฮำหมัด ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่รอให้ ฮ.ดังกล่าวไปรับที่ขอนแก่น กล่าวหลังทราบเหตุเครื่องบินตกว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้ไปรอทีมงานที่สนามบินขอนแก่น เพื่อร่วมทำข่าวพายุฝนที่ จ.ร้อยเอ็ด ทีมข่าวให้มาสแตนด์บายเพื่อรายงานข่าวในพื้นที่ ขณะอยู่ที่สนามบินสระบุรี ยังคงคุยกับทีมงานอยู่ “ผมทำข่าวร่วมงานกับทีมเหยี่ยวข่าว 7 สี ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำข่าวเรื่องของตัวเองหรือพูดเรื่องของตัวเอง ผมเสียใจมาก เราอยู่กันแบบครอบครัว”
5.อย.ประกาศเรียกคืน “ยารักษาความดัน” หลังพบยาที่นำเข้าจากจีนมีสารก่อมะเร็ง พบผู้ป่วยในไทยใช้ยานี้ 2 หมื่นคน!
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้แถลงกรณีที่ อย.ได้ออกประกาศเรียกคืนยาวาลซาร์แทน (Valsartan) ซึ่งเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูงที่พบสารอาจก่อมะเร็ง โดยย้ำว่า สาเหตุที่เรียกคืนยาดังกล่าว เนื่องจากบริษัททางยุโรปตรวจพบสารก่อมะเร็งในวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาจาก Zhejiang Huahai Pharmaceuticals ของจีน ซึ่งในประเทศไทย มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าหรือสั่งยาวาลซาร์แทนเข้ามา 7 บริษัท และมีทะเบียนตำรับยาที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายยาดังกล่าว 16 ชื่อการค้า
จากการตรวจสอบพบว่า มีเพียง 2 บริษัทที่ใช้วัตถุดิบจาก Zhejiang Huahai Pharmaceuticals ของจีน ได้แก่ บริษัท สีลมการแพทย์ จำกัด และบริษัท ยูนีซัน จำกัด ซึ่งมีเลขทะเบียนตำรับรวม 5 ตำรับ คือ 1.ยา VALATAN 80 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 9/54 (NG) 2.ยา VALATAN 160 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 10/54 (NG) 3.ยา VALSARIN 80 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 4/60 (NG) 4.ยา VASARIN 160 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 5/60 (NG) และ 5.ยา VASARIN 320 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 6/60 (NG) ซึ่ง อย.เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ออกข่าวแจ้งเตือนเกี่ยวกับยานี้ให้ประชาชนทราบ
อย่างไรก็ตาม นพ.วันชัยกล่าวว่า ที่แจ้งเตือน ไม่ได้หมายความว่า พบผู้ป่วยที่กินยากลุ่มนี้แล้วเป็นมะเร็ง เพราะทั่วโลกยังไม่พบ แต่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พบในหนูทดลอง ซึ่งตามหลักความปลอดภัย เมื่อพบในสัตว์ทดลอง ต้องสั่งหยุดการใช้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยต้องหยุดการใช้ยา เพราะจะอันตรายมาก โดยมียาตัวอื่นๆ อีกจากบริษัทที่เหลือที่ไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากจีน ซึ่งมีตำรับยารวมทั้งหมด 38 ตำรับ จึงไม่ต้องกังวล ขอแค่ผู้ป่วยไปเปลี่ยนยา
ขณะที่ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย.แถลงว่า ยาความดันโลหิตมีหลายกลุ่ม กลุ่มที่เรียกคืนเป็นยานอกบัญยาหลัก และเป็นยาที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ เนื่องจากแพทย์จะให้ใช้ยากลุ่มแรกก่อน คือ ยาลอซาร์แทน (Losartan) แต่หากผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมความดันได้ หรือมีอาการข้างเคียง ก็อาจะเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มวาลซาร์แทน ซึ่งปัจจุบันใช้กันไม่มาก ตัวเลขปี 2560 มีข้อมูลว่า มีการใช้ยาความดันโลหิตทั้งหมด 30 กว่าล้านเม็ด และพบว่า มี 6 ล้านเม็ดที่เป็นยาวาลซาร์แทนจาก 2 บริษัทที่ขณะนี้ อย.เรียกคืน โดยพบว่า มีผู้ป่วยความดันโลหิตประมาณ 2 หมื่นคนที่ใช้ยาดังกล่าวอยู่
ทั้งนี้ อย.ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ให้แจ้งเตือนผู้ป่วยนำยามาคืน และให้ยาตัวใหม่ไปแทน ซึ่ง อย.จะนำยาดังกล่าวไปทำลาย นพ.สุรโชค ได้เตือนผู้ป่วยโรคความดันด้วยว่า อย่ากังวลหรือหยุดใช้ยาทันที โดยเฉพาะผู้ป่วยความดันที่มีภาวะโรคหัวใจด้วยจะเสี่ยงมากหากหยุดยา แล้วไม่ได้รับยาใหม่ เพราะจะเกิดอันตรายและกระทบต่อสุขภาพได้ภายใน 7-10 วัน ซึ่งเป็นอันตรายที่สามารถเกิดได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ เมื่อเทียบกับโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาวนับสิบปี ที่สำคัญยังไม่พบผู้ป่วยมะเร็งจากการใช้ยาดังกล่าว เป็นการเฝ้าระวัง ซึ่งต้องรอดูข้อมูลจากทั่วโลกด้วย
ความคืบหน้าหลังจากนักเตะเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีพร้อมโค้ชรวม 13 คนได้รับการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัย ทั้งหน่วยซีลของไทยและนักดำน้ำชาวต่างชาติ รวมถึงหน่วยสนับสนุนอีกจำนวนหนึ่ง จนออกมาจากถ้ำหลวงได้สำเร็จระหว่างวันที่ 8-9-10 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์นั้น
ปรากฏว่า หลังจากสภาพร่างกายน้องๆ แข็งแรงขึ้น และจิตใจดีขึ้นแล้ว เมื่อวันที่ 15 ก.ค. แพทย์ได้ตัดสินใจให้ญาติแจ้งข่าวการเสียชีวิตของ น.ต.สมาน กุนัน หรือจ่าแซม หน่วยซีลนอกราชการ ให้น้องๆ ทีมหมูป่าทราบ ซึ่งทันทีที่ทีมหมูป่าทราบ ทุกคนต่างร้องไห้ เสียใจ จากนั้นทุกคนได้เขียนความรู้สึกลงบนภาพวาดของจ่าแซม ก่อนยืนไว้อาลัยให้กับจ่าแซม พร้อมกล่าวขอบคุณและสัญญาว่าจะเป็นคนดี
วันต่อมา 16 ก.ค. จังหวัดเชียงรายได้จัดพิธีทำบุญใหญ่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ที่บริเวณหน้าถ้ำหลวง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซม พร้อมขอขมาเจ้าแม่นางนอนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
วันที่ 17 ก.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผยว่า รัฐบาลจะขอพระราชทานพระราชานุญาตใช้สถานที่พระลานพระราชวังดุสิต เพื่อเป็นสถานที่จัดเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 คนออกจากถ้ำหลวง
วันที่ 18 ก.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลานพระราชวังดุสิต เป็นสถานที่จัดเลี้ยงผู้ร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่า แต่ยังไม่มีการระบุวันและเวลา เพราะต้องดูสภาพลมฟ้าอากาศ และดูว่าช่วงเวลาไหนจะมีการใช้พระลานพระราชวังดุสิตทำกิจกรรมอีก เนื่องจากใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยนายกฯ มอบหมายให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปหารือกับผู้เกี่ยวข้อง สำหรับผู้ที่เดินทางกลับประเทศไปแล้ว นายวิษณุกล่าวว่า คงไม่กลับมาร่วมงานเลี้ยง แต่รัฐบาลจะเชิญทางสถานทูตมาร่วมงาน โดยในงานดังกล่าว นายกฯ จะมาร่วมงานด้วย เพราะรัฐบาลเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (18 ก.ค.) เป็นวันที่แพทย์อนุญาตให้ทีมหมูป่าทั้ง 13 คนกลับบ้านได้ โดยก่อนกลับบ้าน คณะแพทย์ และพยาบาลได้นำทีมหมูป่าให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และมีการถ่ายทอดสนผ่านรายการ เดินหน้าประเทศไทย ตอนพิเศษส่งหมูป่ากลับบ้าน ซึ่งก่อนการสัมภาษณ์ น้องๆ ได้เดาะบอลโชว์ด้วย สำหรับผู้ได้รับมอบหมายให้สัมภาษณ์ทีมหมูป่า คือ นายสุทธิชัย หยุ่น โดยมีคำถามกว่าร้อยคำถามจากสื่อทั่วโลก ซึ่งต้องได้รับการกลั่นกรองจากแพทย์และนักจิตวิทยาก่อน เนื่องจากละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของเด็ก
สำหรับบรรยากาศการสัมภาษณ์ทีมหมูป่านั้น น้องๆ และโค้ชเอกได้เล่าตั้งแต่วันที่เข้าไปในถ้ำหลวง ซึ่งตอนแรกกะว่าจะเข้าไปเที่ยวแค่ 1 ชั่วโมง โดยตั้งใจจะออกมาก่อน 5 โมงเย็น แต่สุดท้ายออกไม่ได้ เพราะมีน้ำปิดทางออก จึงต้องหนีเข้าไปด้านใน และพักอยู่บริเวณเนินนมสาว ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้องๆ ปรึกษากันว่า จะหนีเข้าไปให้ลึกกว่าเนินนมสาวหรือไม่ เผื่อมีทางออก แต่น้ำได้เพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว จึงต้องอยู่บริเวณเนินนมสาว โดยอาศัยน้ำจากหินงอกหินย้อยประทังความหิว ไม่มีอาหารหรือขนมติดตัวไปแต่อย่างใด เพราะกินขนมไปตั้งแต่อยู่ที่สนามบอลแล้ว ตอนแรกทีมหมูป่าคาดว่า น้ำที่ท่วมสูง อาจเป็นแค่ภาวะน้ำขึ้น-น้ำลง เดี๋ยวเช้าน้ำลด คงออกมากันได้ แต่ผิดคาด ทำให้ออกไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น น้องๆ ก็ไม่ได้นอนรอความช่วยเหลืออย่างเดียว ทุกคนได้ผลัดกันใช้ก้อนหินขุดผนังถ้ำ เผื่อช่วยให้ออกจากถ้ำได้ โดยขุดไปได้ประมาณ 3-4 เมตร หลังเวลาผ่านไป 10 วัน จึงมีนักดำน้ำชาวอังกฤษมาเจอน้องๆ ที่เนินนมสาว
ทั้งนี้ มีช่วงหนึ่งของการสัมภาษณ์ ทีมหมูป่าได้พูดถึงความประทับใจและขอบคุณ น.ต.สมาน หรือจ่าแซม ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าด้วย พร้อมกันนี้ ทีมหมูป่ายังเผยด้วยว่า หลังจากนี้พร้อมที่จะบวชหมู่เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซมด้วย
ต่อมา วันที่ 19 ก.ค. ที่วัดพระธาตุดอยเวา จ.เชียงราย ได้มีการจัดพิธีสะเดาะเคราะห์สืบชะตาให้กับทีมหมูป่าทั้ง 13 คน พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้จ่าแซมด้วย ส่วนวันที่ทีมหมูป่าจะบวชหมู่นั้น เบื้องต้นกำหนดไว้วันที่ 24 ก.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ได้มีทหารจากค่ายเม็งรายมหาราชและค่ายอื่นๆ รวมทั้งหน่วยซีลจำนวน 9 นาย ที่เคยมาปฏิบัติภารกิจช่วยทีมหมูป่าที่ถ้ำหลวง ได้เข้าพิธีบวชหมู่ที่วัดบ้านจ้อง ต.โป่งผา ใกล้กับถ้ำหลวง เนื่องจากมีนายทหารคนหนึ่งได้บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า หากภารกิจประสบความสำเร็จ จะพาทหารออกบวช 9 นาย เป็นเวลา 9 วัน เมื่อภารกิจสำเร็จ จึงพากันมาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้าแม่นางนอน และ น.ต.สมาน รวมถึงเป็นการแก้บนดังกล่าวด้วย
ด้านสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศผลการคัดเลือกแม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2561 จำนวน 225 คน ซึ่งปีนี้ มีการพิจารณารางวัลพิเศษ แม่ของผู้เสียสละ โดยมอบให้แก่ นางสำราญ กุนัน อายุ 64 ปี มารดาของ น.ต.สมาน กุนัน หรือจ่าแซม อดีตหน่วยซีล ซึ่งได้สละชีพขณะปฏิบัติภารกิจร่วมช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี ที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย
2.สังคมถล่มยับ! ครูกลุ่มหนึ่งออกปฏิญญาหยุดชำระหนี้แบงก์ออมสิน ด้าน ผอ.ออมสินยันลูกหนี้ครูแค่ 1% ที่ไม่อยากใช้หนี้ พร้อมฟ้อง หากเบี้ยว!
สัปดาห์ที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียได้มีการแชร์คลิปภาพกรณีครูกลุ่มหนึ่งประกาศปฏิญญามหาสารคามที่มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคามเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องขอให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้โครงการสวัสดิการเงินกู้การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ทุกโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2561 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ ยังประกาศด้วยว่า ลูกหนี้ ช.พ.ค. 4.5 แสนคน จะยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสินตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไปด้วย ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมที่ครูกลุ่มดังกล่าว มีหนี้ แต่ส่อว่าจะชักดาบ ไม่ยอมใช้หนี้
ด้านนายอวยชัย วะทา ประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นแกนนำครูที่ประกาศปฏิญญาดังกล่าว ชี้แจงว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้ทำข้อตกลงกับธนาคารออมสินเมื่อปี 2552 เพื่อให้สมาชิก ช.พ.ค.และ ช.พ.ส. (องค์การช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกคุรุสภา) กู้เงินจากธนาคารออมสินรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดผ่อนชำระ 30 ปี หรือ 360 งวด เพื่อนำไปใช้หนี้สถาบันการเงินและหนี้นอกระบบ, เพื่อซื้อบ้านหรือสร้างที่อยู่อาศัย, เพื่อซื้อรถยนต์หรือยานพาหนะ, เพื่อซื้อหุ้นหรือลงทุนทำธุรกิจ และเพื่อใช้จ่ายในการศึกษาหรือธุรกรรมที่จำเป็นอื่นๆ โดยมีครู และบุคลากรสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมโครงการประมาณ 450,000 คน วงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ นายอวยชัย อ้างว่า การช่วยดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องเดือดร้อน แบกรับภาระหนี้สินจากการคิดดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังบังคับให้ทำประกันชีวิต บังคับหักเงินค่าประกัน 10 ปี งวดเดียว 80,000-200,000 บาท รวมแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยผู้กู้ไม่ได้รับประโยชน์
นายอวยชัย กล่าวอีกว่า วันที่ประกาศปฏิญญา มีนายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการการศึกษาและกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับข้อเรียกร้องขององค์กรครูไป ซึ่งมี 3 ข้อ คือ 1.ให้พักหนี้ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการ ช.พ.ค.โดยเร่งด่วน 2.ให้รัฐบาลประกาศพักหนี้ครูเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นให้ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1 เหมือนเกษตรกร และ 3.ให้ สนช.และรัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะกรรมการร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินครู พร้อมทั้งประกาศเป็นวาระแห่งชาติภายในเดือน ต.ค.นี้
ทั้งนี้ หลายฝ่ายได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การประกาศปฏิญญาของกลุ่มครูดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม โดยนายศักดิ์ชัย บรรณสาร ผู้อำนวยการ สกสค.สระแก้ว กล่าวว่า การที่ครูในจังหวัดภาคอีสานจะงดใช้หนี้กับธนาคารออมสิน ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะก่อนกู้ ในสัญญากู้เงิน ก็มีเงื่อนไขให้ศึกษาแล้ว ไม่มีใครบังคับให้กู้ยืมแต่อย่างใด
ขณะที่นายครรชิต วรรณชา ศึกษาธิการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า การประกาศปฏิญญาขอยุติการชำระหนี้ของครูกลุ่มดังกล่าว แม้จะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ไม่เหมาะสม และกลุ่มครูที่ออกมาเคลื่อนไหวส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกษียณ หากถามว่า การประกาศปฏิญญาขอหยุดพักหนี้ผิดวินัยหรือไม่ นายครรชิต กล่าวว่า ในเชิงกฎหมายถือว่ายังไม่ผิด เพราะเป็นปฏิญญาเฉยๆ แต่หากไม่ส่งเงินทั้งต้นและดอกเบี้ย ย่อมนำไปสู่กระบวนการตามกฎหมาย จนศาลพิพากษาว่าเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทางวินัย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงปฏิญญาของกลุ่มครูที่ขอพักหนี้ว่า “ครูส่วนใหญ่ชำระหนี้ดี และไม่ได้เห็นด้วยกับการยุติชำระหนี้ ผมสอบถามข้อเท็จจริง และข้อมูลจากกระทรวงศึกษาฯ แล้ว อย่าให้เป็นเรื่องราวใหญ่ขึ้นมา ให้เข้าใจกันทุกฝ่าย”
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า “ก็ไปยืมมา แล้วมีการเซ็นหนังสือสัญญารับผิดชอบหรือไม่ ถ้าเบี้ยว ก็ต้องไปตกลงกับคนที่ไปเซ็นสัญญาด้วย จะมาให้รัฐบาลช่วยอะไร รัฐบาลจะไปบังคับได้อย่างไร”
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ทางธนาคารคงไม่ต้องไปหารือหรือชี้แจงอะไร เพราะลูกหนี้ของธนาคารในโครงการ ช.พ.ค. ส่วนใหญ่ 99% เป็นลูกหนี้ที่ดี มีเพียงไม่ถึง 1% ที่มีปัญหาและไม่อยากผ่อนชำระคืน ดังนั้นเชื่อว่าหลังวันที่ 1 ส.ค. ลูกหนี้ครูส่วนใหญ่ยังจะผ่อนชำระหนี้เหมือนเดิม และว่า หากมีการหยุดชำระหนี้ ทางธนาคารต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย คือ ฟ้องร้อง หากกลุ่มครูถูกฟ้องร้องและกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ทางกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงยุติธรรมได้ชี้แจงไปแล้วว่า จะขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการ ต้องออกจากราชการ ไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาได้
นายชาติชาย ยืนยันด้วยว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้พยายามช่วยเหลือลูกหนี้ครูมาตลอด ไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้แบบไม่เป็นธรรม ซึ่งได้มีการรับหนี้นอกระบบของครูเข้ามาอยู่กับออมสินทั้งหมด และคิดดอกเบี้ยต่ำ 6-6.5% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดสูงสุดปีละ 28% และน้อยกว่าหนี้นอกระบบ ที่คิดเดือนละ 10% นอกจากนี้ยังขยายเวลาการผ่อนชำระถึง 30 ปี ให้เลือกใช้บุคคลค้ำประกัน หรือทำประกันชีวิตกับธนาคารไว้เป็นหลักประกันได้ นอกจากนั้นยังช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ให้ครู โดยหากผ่อนชำระแล้วเหลือเงิน 30% ของเงินเดือน จะช่วยเหลือให้ผ่อนแค่ดอกเบี้ย แต่ไม่ต้องส่งเงินต้น แต่หากผ่อนแล้วเหลือเงิน 15-30% ไม่ต้องผ่อนเงินต้น และผ่อนดอกเบี้ยเพียงแค่ครึ่งเดียว และถ้าผ่อนแล้วเหลือเงินน้อยกว่า 15% ไม่ต้องผ่อนเงินต้น แต่ผ่อนดอกเบี้ยเพียง 25% และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ ที่มีประวัติผ่อนชำระดี 0.5-1%
3.“กลุ่มสามมิตร” เตรียมหารือ 500 นปช. รอ คสช.ไฟเขียว พร้อมบุกคุย กปปส.ขอใช้ “บ้านทรงไทย” เป็นศูนย์ประสานงาน!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะพุ่งเป้าไปที่เรื่องรัฐบาลเตรียมไปประชุม ครม.สัญจรที่ จ.อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ในวันที่ 23-24 ก.ค.นี้ ที่ถูกนักการเมืองหลายพรรคมองว่า มีนัยยะทางการเมือง เพื่อไปดูด ส.ส.แล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของกลุ่มสามมิตร ที่ถูกมองว่ายังคงเดินสายดูด ส.ส.เพื่อเข้าร่วมกลุ่มเพื่อร่วมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯ กลุ่มสามมิตร และอดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน พร้อมทีมงาน ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวการเดินสายแลกเปลี่ยนทางการเมืองกับกลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภาคอีสาน โดยยืนยันว่า จุดยืนของกลุ่มสามมิตร คือต้องการสร้างความปรองดองของชาติ การเลือกตั้งจะสมบูรณ์แบบไม่ได้ หากยังมีความคิดเห็นแตกแยกเป็นหลากสี ดังนั้นจึงแสวงหาจุดร่วมเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปด้วยความเรียบร้อยสมานฉันท์ การเดินทางไปแลกเปลี่ยนความคิดกับ นปช.กว่า 10 จังหวัด เพื่อฟังความคิดว่า จากนี้ 4-5 ปี หรือ 10-20 ปี จะเดินหน้าโดยไม่ต้องทะเลาะหรือแตกแยกกันได้อย่างไร
ทั้งนี้ นายภิรมย์เผยด้วยว่า เพื่อให้เกิดความปรองดองจริง จะมีการประชุมระหว่างกลุ่มสามมิตรกับ นปช. คาดว่ามี นปช.อยากจะมามากกว่า 500 คน ส่วนสถานที่ประชุม อาจจะเป็นอิมแพคเมืองทองธานีหรือที่ใด ต้องขออนุญาต คสช.ก่อน ถ้าอนุญาต ก็ทำได้ในเร็วๆ นี้
นายภิรมย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ กลุ่มสามมิตรมีเกือบ 200 คนแล้วที่จะขับเคลื่อนการเมือง เพื่อนำความคิดแต่ละกลุ่ม ทุกสี มากำหนดนโยบายทำงานให้ประเทศชาติต่อไป “ยืนยันว่า ไม่เคยใช้เงินดูดตามที่กล่าวหา ถ้ามีข่าวว่าใช้เงิน จะดังกว่านี้”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.กล่าวถึงกรณีนายภิรมย์ เลขาฯ กลุ่มสามมิตรเตรียมพูดคุยกับแกนนำ นปช.ในภาคอีสานเพื่อสร้างความปรองดองว่า เคยหารือนอกรอบกับแกนนำ นปช.แล้ว มีข้อสรุปตรงกันว่า การร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มบุคคลหรือพรรคการเมืองใด ถือเป็นเสรีภาพ ตราบที่ยังยืนยันหลักการประชาธิปไตย ถือว่าความเป็น นปช.ยังอยู่ แต่หากละทิ้งจุดยืนนี้ เท่ากับสิ้นสภาพ ไม่เหลือความเป็น นปช.อีกต่อไป
นายณัฐวุฒิยังกล่าวทำนองเย้ยกลุ่มสามมิตรด้วยว่า ถ้าคาดหวังว่าประชาชนที่เคยร่วมต่อสู้ในนาม นปช.จะไปร่วมมือในแผนสืบทอดอำนาจ คงต้องคิดใหม่ เพราะกว่า 10 ปีในสนามการต่อสู้ พี่น้อง นปช.เอาชีพกับอิสรภาพเข้าแลก และยังคงแบกความอยุติธรรมร่วมกันในคดี 99 ศพ จนถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่นักการเมืองบางประเภทในกลุ่มสามมิตรที่ประชาชนรู้ไส้รู้พุง จะย่อยสลายแล้วดูดลงคอได้ง่ายๆ
ขณะที่นายเทพพนม นามลี แกนนำ นปช.สุรินทร์ กล่าวถึงข่าวกลุ่มสามมิตร เดินสายพูดคุยกับกลุ่ม นปช.หลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยมีชื่อนายเทพพนมอยู่ด้วย โดยยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และตนเป็นฝ่ายเข้าหานายภิรมย์ กลุ่มสามมิตรเอง เพราะเห็นว่าเป็นกลุ่มที่มีแนวคิดดี สร้างความปรองดองของคนในชาติ และทำเพื่อประชาชนส่วนรวม นายเทพพนมยังเผยเงื่อนไขที่เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตรด้วยว่า “ยืนยันว่าไม่ทิ้งนายทักษิณแน่นอน เพราะนายทักษิณจะอยู่ในใจตลอด ถ้ามาร่วมกับกลุ่มสามมิตรแล้ว ขอ 2 เรื่อง คืออย่าให้เปลี่ยนอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง และ นปช. และอย่าให้ไปด่านายทักษิณ ซึ่งนายภิรมย์รับปาก เมื่อรับปากก็พร้อมที่จะทำงานช่วยกลุ่มสามมิตรเต็มที่”
ด้านนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เจ้าของฉายา “แรมโบ้อีสาน” อดีตแกนนำ นปช. ซึ่งเคยสาบานต่อหน้าย่าโมว่าจะไม่เล่นการเมืองแล้ว แต่ปัจจุบันมีชื่อนายสุภรณ์เข้าร่วมกับกลุ่มสามมิตร ก็ได้ออกมาเผยว่า “จะไปจุดธูปบอกกับย่าโมว่า ผมขออนุญาตถอนคำสาบาน กลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้งเพื่อรับใช้ประชาชน เชื่อว่าย่าโมเข้าใจและไม่มีปัญหา เพราะผมคือลูกหลานย่าโม เป็นคนโคราชโดยกำเนิด”
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มสามมิตรจะเตรียมประชุมหารือครั้งใหญ่กับกลุ่ม นปช.แล้ว ยังได้เริ่มพูดคุยกับแกนนำของฝั่ง กปปส.บ้างแล้ว โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. นายภิรมย์ เลขาฯ กลุ่มสามมิตร ได้เดินทางไปที่บ้านทรงไทยแจ้งวัฒนะ กทม. เพื่อพบหารือกับนายสิระ เจนจาคะ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 1 ในอดีตแกนนำ กปปส.และศิษย์เอกของอดีตหลวงปู่พุทธะอิสระ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการปรองดองของคนในชาติ พร้อมกันนี้ นายภิรมย์ได้ขอใช้สถานที่บ้านทรงไทยของนายสิระ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานกลุ่มสามมิตรในพื้นที่ กทม.ด้วย ซึ่งนายสิระยินดีให้ใช้สถานที่ได้เต็มที่
4.สลด! ฮ. “เหยี่ยวข่าว 7 สี” ตกกลางทุ่งนาขอนแก่น ดับ 4 ราย คาดทัศนวิสัยไม่ดี!
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. เวลา 09.30 น. ตำรวจ สภ.ชนบท จ.ขอนแก่น ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า เกิดเหตุเครื่องบินตกกลางทุ่งนา ต.วังแสง อ.ชนบท จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเครื่องบินเล็กแบบเฮลิคอปเตอร์โดยสารตกอยู่กลางทุ่งนาในสภาพพังยับเยิน และมีไฟลุกไหม้ เจ้าหน้าที่จึงรีบควบคุมเพลิง
ด้านว่าที่ ร.ต.อัธยา ลาภมาก ผู้อำนวยการท่าอากาศยานขอนแก่น เผยว่า จากการตรวจสอบร่วมกับหอบังคับการบินพบว่า เครื่องบินดังกล่าวได้วางแผนบินเส้นทางสระบุรี-ขอนแก่น โดยหอบังคับการบินได้รับแจ้งจากจากสนามบินต้นทางว่า ขอลงจอดที่สนามบินขอนแก่น ในเวลา 09.00 น. โดยมีผู้โดยสาร 4 คน และได้ขาดการติดต่อไป เบื้องต้นคาดว่า ทัศนวิสัยไม่ดี เนื่องจากพื้นที่ขอนแก่น มีเมฆปกคลุมและฝนตกตลอดเวลา
ขณะที่นายประยุทธ พุทธพึ่ง ชาวบ้านหูลิง ซึ่งบ้านอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ เล่าว่า เห็นเฮลิคอปเตอร์บินต่ำกว่าปกติ สูงจากพื้นดินประมาณ 40 เมตร บินวนไปมา 2 รอบ จากนั้นเสียงเครื่องดับกลางอากาศ ก่อนพุ่งลงกลางทุ่งนา และไฟลุกท่วม จึงรีบวิ่งเข้าไปเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต แต่เฮลิคอปเตอร์ระเบิด และเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบศพผู้ตาย จึงรีบแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ
จากการตรวจสอบพบว่า เฮลิคอปเตอร์ดังกล่าว เป็น ฮ.ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ได้เช่าเพื่อทำข่าวและรายการต่างๆ ของทางสถานี โดยก่อนเกิดเหตุ กำลังบินไปรับผู้สื่อข่าวที่ จ.ขอนแก่น แต่ขาดการติดต่อ กระทั่งพบว่า ประสบอุบัติเหตุตกกลางทุ่งนา
ทั้งนี้ อุบัติเหตุดังกล่าว ส่งผลให้นักบินและผู้โดยสารบนเครื่องรวม 4 คนเสียชีวิตทั้งหมด โดยแต่ละศพอยู่ในสภาพจำไม่ได้ เนื่องจากถูกไฟไหม้ทั้งหมด ซึ่งตอนแรกข่าวสับสนว่า ผู้โดยสารบนเครื่อง 2 คนคือช่างภาพของช่อง 7 แต่ภายหลังทางช่อง 7 ยืนยันว่า ไม่มีนักข่าว ช่างภาพ หรือพนักงานของช่องเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย 1.นายเสกสรร วรรณา นักบิน 2.พ.ต.อ.สินสมุทร สินเภตรา ผู้ช่วยนักบิน ซึ่งทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบิน เป็นพนักงานของบริษัท เฮลิลักซ์ เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของเฮลิคอปเตอร์ 3.นายรณกฤต เพชรนิล เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเกิ้ล นิวส์ เอวิเอชั่น จำกัด และ 4.นายสำเนา น้อยสกุล ผู้จัดการทีมถ่ายทำและผลิตรายการ
ด้านสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ได้ทำรายงานพิเศษเพื่อไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตจาก ฮ.ตกทั้ง 4 คน พร้อมระบุว่า "เราไม่อาจปฏิเสธความโศกเศร้าที่มีต่อผู้เสียชีวิตจากบริษัท อีเกิ้ล นิวส์ ได้ ทุกคนได้กลายเป็นทีมเหยี่ยวข่าว 7 สี ร่วมกับช่อง 7 เอชดี ที่ผ่านความเสี่ยง ลำบาก และสำเร็จมาด้วยกัน”
ขณะที่นายณัชฐพงศ์ มูฮำหมัด ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่รอให้ ฮ.ดังกล่าวไปรับที่ขอนแก่น กล่าวหลังทราบเหตุเครื่องบินตกว่า ก่อนเกิดเหตุ ได้ไปรอทีมงานที่สนามบินขอนแก่น เพื่อร่วมทำข่าวพายุฝนที่ จ.ร้อยเอ็ด ทีมข่าวให้มาสแตนด์บายเพื่อรายงานข่าวในพื้นที่ ขณะอยู่ที่สนามบินสระบุรี ยังคงคุยกับทีมงานอยู่ “ผมทำข่าวร่วมงานกับทีมเหยี่ยวข่าว 7 สี ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำข่าวเรื่องของตัวเองหรือพูดเรื่องของตัวเอง ผมเสียใจมาก เราอยู่กันแบบครอบครัว”
5.อย.ประกาศเรียกคืน “ยารักษาความดัน” หลังพบยาที่นำเข้าจากจีนมีสารก่อมะเร็ง พบผู้ป่วยในไทยใช้ยานี้ 2 หมื่นคน!
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ได้แถลงกรณีที่ อย.ได้ออกประกาศเรียกคืนยาวาลซาร์แทน (Valsartan) ซึ่งเป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูงที่พบสารอาจก่อมะเร็ง โดยย้ำว่า สาเหตุที่เรียกคืนยาดังกล่าว เนื่องจากบริษัททางยุโรปตรวจพบสารก่อมะเร็งในวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาจาก Zhejiang Huahai Pharmaceuticals ของจีน ซึ่งในประเทศไทย มีบริษัทที่ได้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้าหรือสั่งยาวาลซาร์แทนเข้ามา 7 บริษัท และมีทะเบียนตำรับยาที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายยาดังกล่าว 16 ชื่อการค้า
จากการตรวจสอบพบว่า มีเพียง 2 บริษัทที่ใช้วัตถุดิบจาก Zhejiang Huahai Pharmaceuticals ของจีน ได้แก่ บริษัท สีลมการแพทย์ จำกัด และบริษัท ยูนีซัน จำกัด ซึ่งมีเลขทะเบียนตำรับรวม 5 ตำรับ คือ 1.ยา VALATAN 80 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 9/54 (NG) 2.ยา VALATAN 160 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 10/54 (NG) 3.ยา VALSARIN 80 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 4/60 (NG) 4.ยา VASARIN 160 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 5/60 (NG) และ 5.ยา VASARIN 320 ทะเบียนตำรับยาเลขที่ 1A 6/60 (NG) ซึ่ง อย.เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ออกข่าวแจ้งเตือนเกี่ยวกับยานี้ให้ประชาชนทราบ
อย่างไรก็ตาม นพ.วันชัยกล่าวว่า ที่แจ้งเตือน ไม่ได้หมายความว่า พบผู้ป่วยที่กินยากลุ่มนี้แล้วเป็นมะเร็ง เพราะทั่วโลกยังไม่พบ แต่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พบในหนูทดลอง ซึ่งตามหลักความปลอดภัย เมื่อพบในสัตว์ทดลอง ต้องสั่งหยุดการใช้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยต้องหยุดการใช้ยา เพราะจะอันตรายมาก โดยมียาตัวอื่นๆ อีกจากบริษัทที่เหลือที่ไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากจีน ซึ่งมีตำรับยารวมทั้งหมด 38 ตำรับ จึงไม่ต้องกังวล ขอแค่ผู้ป่วยไปเปลี่ยนยา
ขณะที่ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย.แถลงว่า ยาความดันโลหิตมีหลายกลุ่ม กลุ่มที่เรียกคืนเป็นยานอกบัญยาหลัก และเป็นยาที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ เนื่องจากแพทย์จะให้ใช้ยากลุ่มแรกก่อน คือ ยาลอซาร์แทน (Losartan) แต่หากผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมความดันได้ หรือมีอาการข้างเคียง ก็อาจะเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มวาลซาร์แทน ซึ่งปัจจุบันใช้กันไม่มาก ตัวเลขปี 2560 มีข้อมูลว่า มีการใช้ยาความดันโลหิตทั้งหมด 30 กว่าล้านเม็ด และพบว่า มี 6 ล้านเม็ดที่เป็นยาวาลซาร์แทนจาก 2 บริษัทที่ขณะนี้ อย.เรียกคืน โดยพบว่า มีผู้ป่วยความดันโลหิตประมาณ 2 หมื่นคนที่ใช้ยาดังกล่าวอยู่
ทั้งนี้ อย.ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ให้แจ้งเตือนผู้ป่วยนำยามาคืน และให้ยาตัวใหม่ไปแทน ซึ่ง อย.จะนำยาดังกล่าวไปทำลาย นพ.สุรโชค ได้เตือนผู้ป่วยโรคความดันด้วยว่า อย่ากังวลหรือหยุดใช้ยาทันที โดยเฉพาะผู้ป่วยความดันที่มีภาวะโรคหัวใจด้วยจะเสี่ยงมากหากหยุดยา แล้วไม่ได้รับยาใหม่ เพราะจะเกิดอันตรายและกระทบต่อสุขภาพได้ภายใน 7-10 วัน ซึ่งเป็นอันตรายที่สามารถเกิดได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ เมื่อเทียบกับโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาวนับสิบปี ที่สำคัญยังไม่พบผู้ป่วยมะเร็งจากการใช้ยาดังกล่าว เป็นการเฝ้าระวัง ซึ่งต้องรอดูข้อมูลจากทั่วโลกด้วย