xs
xsm
sm
md
lg

แลนด์มาร์กของคนเศร้าบนโลกออนไลน์ : “พิม-พิมพรรณ มีชัยศรี” เจ้าของเพจ 1991

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใครว่า ‘ความเศร้า’ เลวร้ายเสมอไป วันนี้คงต้องคิดใหม่ เพราะความเศร้านี่แหละที่ทำให้วันนี้เพจ 1991 กลายเป็นแลนด์มาร์กที่ทำให้คนเหงา-คนเศร้าเข้ามารวมตัวกันมากกว่า 6 แสนคนไปแล้ว เบื้องหลังความสำเร็จนั้นก็มาจาก “พิม-พิมพรรณ มีชัยศรี” เจ้าของเพจฮิตดังกล่าวนั่นเอง

เพียงเพราะชื่นชอบการถ่ายภาพโทนเหงาๆ และชอบบรรยายภาพออกมาเป็นความรู้สึก ทำให้ “พิม-พิมพรรณ มีชัยศรี” หยิบ ความเศร้า จาก ความรัก และ ความสัมพันธ์” ในมุมที่ไม่สมหวังที่ตนเองเคยประสบพบเจอมากลั่นกรองเป็นตัวอักษร เล่าผ่านทางเพจ 1991 และทำมาเรื่อยๆ เป็นเวลากว่า 3 ปี จนวันนี้ประสบความสำเร็จมีผู้ติดตามมากกว่า 6 แสนคน อีกทั้งยังได้ต่อยอดการเขียนมาเป็นหนังสือ 1991 ระหว่างเราสูญหาย ให้ได้อ่านกันอีกด้วย

กว่าจะมาเป็นเพจ  ‘1991’
แลนด์มาร์กยอดฮิตของคนเหงา-คนเศร้า บนโลกออนไลน์

พิมทำเพจมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว เพจนี้เกิดจากที่เราชอบถ่ายรูป แต่การถ่ายรูปในที่นี้คือก็ถ่ายรูปจากมือถือธรรมดานี่แหละ เพราะเราก็เล่นกล้องอะไรไม่เก่งเท่าไหร่ จะชอบถ่ายรูปเล่น แต่ส่วนใหญ่โทนภาพจะเป็นอารมณ์เหงาๆ เป็นรูปที่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก สมมติว่าเจอวิว ท้องฟ้า ต้นไม้ เจออะไรก็จะถ่ายเก็บไว้ แต่จะไม่ค่อยถ่ายสิ่งของ นอกจากถ่ายรูปแล้วเรายังชอบบรรยายความรู้สึกของตัวเองเป็นแคปชันด้วย ก็เลยคิดว่าลองเปิดเพจดูดีกว่า

พอเริ่มเปิดเพจ...ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่แรกเริ่มเลยจะมีแอดมินทั้งหมด 3 คน เป็นพี่ที่ทำงานเก่าของเรา 2 คน แต่ละคนจะสไตล์เดียวกัน ติสท์ๆ เหงาๆ ชอบเสพดรามา ชอบถ่ายภาพและบรรยายความรู้สึกเหมือนกันก็เลยมารวมตัวกัน เปิดเพจชื่อว่า Past ขึ้นมา เนื้อหาในเพจก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอะไรที่ผ่านพ้นไปแล้ว

ตอนนั้นด้วยความที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน ก็เลยทำให้พวกเราทำงานกันลงตัวมาก แต่ว่าพี่ๆ เขาก็ทำได้อยู่ประมาณ 2-3 เดือน เพราะไม่ค่อยมีเวลาโพสต์เท่าไหร่ มันเลยกลายเป็นว่า ถ้าอย่างนั้นเราขอเทกโอเวอร์เลยดีกว่า (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นมาก็เลยขอทำเพจนี้เอง คุยกับพี่ๆ ว่าขอทำคนเดียวได้ไหม พี่ๆ เขาก็โอเค เราก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพจ

ตอนแรกก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะตั้งชื่อเพจว่าอะไรดี สุดท้ายก็มาลงเอยที่ 1991 ซึ่งคนอยากรู้เยอะมากว่าทำไมถึงต้อง 1991 เขาก็เดากันไปว่าต้องเป็นปีเกิดของเราหรือเปล่า ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า “ใช่” แต่จริงๆ มันมีความหมายมากกว่านั้น เพราะเลข 19 มีความหมายกับชีวิตพิมมาก 19 คือเลขที่วันเกิด แล้วเราก็เกิดปี 91 ด้วย มันเลยรวมมาเป็น 1991

ส่วนอีกหนึ่งความหมายถ้าลองเขียนเป็นภาษาไทย เป็นคำว่า “หนึ่งก้าว ก้าวหนึ่ง” มันคือการที่ทำให้เราก้าวไปเรื่อยๆ “อีกก้าวหนึ่งนะ - อีกหนึ่งก้าวนะ” เราทุกคนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เสมอนะ เลยกลายมาเป็นเพจ 1991 และทำคนเดียวมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ทำหน้าที่สร้างคอนเทนต์ ‘ความรัก’ ในมุมเศร้า
ชูเอกลักษณ์ให้แตกต่าง จนมีคนติดตามกว่า 6 แสน

แรกเริ่มพิมจะเขียนเรื่องหวานๆ อินเลิฟมาก่อนนะ คนที่กดไลก์ก็จะเป็นคนที่เขาอินเลิฟหน่อย แต่ก็ไม่เยอะมาก แต่พอบริบทในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เกิดการเปลี่ยนแปลง เราหันมาเขียนดรามา กลายเป็นว่าคนเข้ามาเยอะมาก ก็เลยยึดแนวทางนี้มาตลอด

ตอนนี้ในเพจส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน หลักๆ แล้วเกิดจากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยผ่านมาแล้วส่วนใหญ่ เอกลักษณ์คือจะใช้คำว่า “คุณ” กับ “ฉัน” เพื่อทำให้ความรัก ความสัมพันธ์ดูโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เหมือนเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานคุยกัน ตรงนี้เลยอาจจะทำให้อ่านแล้วดูเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งนิดหนึ่ง 

เอกลักษณ์ของเพจอีกอย่าง คือ ความเศร้า เพราะเรามองว่าความเศร้ามันสากล เข้าได้กับคนทุกกลุ่ม มันไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะกับคนที่เศร้าอยู่ ถึงแม้ว่าคุณจะมีความรักหรือมีแฟน หรือมีครอบครัวที่ดีมาก แฮปปี้มาก เอาจริงๆ ถ้าเขามาอ่านเรื่องเศร้า เขาก็ยังอินเลย แต่คนที่กำลังเศร้าไปอ่านอะไรที่อินเลิฟ เขาก็คงไม่อินหรอก ในเพจของเราก็เลยจะเกี่ยวกับความรักในมุมเศร้าๆ เหงาๆ หน่อย

เพจนี้จึงทำหน้าที่หยิบเอาเรื่องที่คนอยากจะหนีไปมาพูด เพราะมันไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องเศร้าและอยากรู้สึกเศร้าหรอก เราเลยทำหน้าที่หยิบเรื่องเศร้าของตัวเองที่เคยผ่านมา ออกมาเล่าแทนคนอื่นๆ ก็เท่านั้นเอง พิมก็ต้องขอบคุณลูกเพจเหมือนกันนะที่เขามาติดตามความเศร้ากันจำนวนเยอะขนาดนี้

1991 ระหว่างเราสูญหาย
หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ต่อยอดมาจากการทำเพจ

ก่อนจะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ถามว่าเราอยากเป็นนักเขียนไหม จริงๆ เราไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยนะ ไม่เคยตั้งความฝันไว้สูงขนาดนั้น เพราะพิมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ถึงแม้ว่าเราชอบเขียนก็จริงแต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักเขียนได้ แค่อยากทำเพจไปวันๆ มีความสุขก็พอ แต่พอวันหนึ่งเราทำเพจจนมีคนติดตามมากขึ้น ความฝันที่อยากมีผลงานที่จับต้องเป็นรูปธรรม มีหน้าปก มีกลิ่นกระดาษ หรือกลิ่นของอะไรบางอย่างมันก็เริ่มเข้ามา มันก็คงเป็นความฝันเล็กๆ ของนักเขียนออนไลน์แหละเนอะ

จนวันหนึ่งมีสำนักพิมพ์ Her Publishing ติดต่อมาอยากให้ทำหนังสือ เขาก็ให้โจทย์มาว่าให้เขียนเรื่องสั้น 15 เรื่อง สารภาพตามตรงเลยว่าเราไม่รู้เลยว่าเรื่องสั้นคืออะไร ต้องเขียนยังไง เพราะในเพจจะเป็นความเรียง ระหว่างเพจกับหนังสือเลยจะค่อนข้างแตกต่างกัน

อย่างในเพจเราจะเขียนประมาณว่าฉันเจ็บปวด ฉันคิดถึงเขา ก็จบแล้ว แต่ในหนังสือที่เป็นเรื่องสั้นจะต้องมีตัวละคร มีการเชื่อมโยงความรู้สึกของตัวละครหลายๆ ตัว ต้องมีบริบท พล็อตเรื่องจะคล้ายๆ หนังสั้น อารมณ์ประมาณว่าที่เจ็บปวด ที่คิดถึงเป็นเพราะอะไร เพราะใคร ในอดีตส่งผลอะไรบ้างในปัจจุบัน ต่อไปจะเป็นยังไง จะมีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเลย สุดท้ายในเล่มนี้ก็จะได้เรื่องราวออกมาเป็นความเศร้าที่แตกต่างกันออกไป จะพูดถึงความเศร้าที่มีหลายมิติ เช่น เศร้าเพราะแอบรักเพื่อน เศร้าเพราะเป็นมือที่ 3 เศร้าเพราะโดนผู้ชายจากลา หรืออาจจะเป็นมุมที่ไม่แคร์ความรักแล้ว ถ้ามีคู่แล้วยังเหงาอยู่คนเดียวดีกว่า อะไรประมาณนี้

พิมก็เลยต้องทำการบ้านเยอะมาก ต้องไปหางานของคนอื่นมาอ่าน ต้องบิลด์ตัวเองด้วย เนื่องจากการทำหนังสือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย

สำหรับหนังสือเล่มนี้ ถ้าคนที่เศร้าอยู่แล้วมาอ่าน พิมว่ามันไม่ได้เป็นการตอกย้ำความเศร้านะ แต่มันจะทำให้เขารู้ว่ายังมีคนที่เจอแบบเขาอยู่เหมือนกันนะ หรือมีคนที่รู้สึกแบบเดียวกันกับเขาอยู่เหมือนกันนะ ยิ่งอ่านแล้วจะยิ่งเศร้า ยิ่งจมหรือเปล่า พิมว่าก็คงไม่ขนาดนั้น มันอาจจะช่วยให้เขาลุกขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่เขาคนเดียวที่เจอเรื่องแบบนี้ พิมก็หวังลึกๆ ว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีให้แก่คนอ่านได้

ยอดติดตามหลักแสน ไม่ได้มาเพราะฟลุก
แนะเทคนิคและเคล็ดลับการทำเพจให้ปัง

ตอนแรกที่พิมทำเพจคนเดียวก็มีคนกดไลก์หลักพันอยู่นะ ก็ทำมาเรื่อยๆ ถึงจะมีวันนี้ พูดตามตรงพิมไม่เคยโฆษณาเพจเลย เราเพิ่งจะมาโฆษณาช่วงหลังๆ ตอนที่มียอดไลก์สูงแล้ว เพราะว่าเราอยากลองดูว่าถ้าโฆษณาแล้วจะมีผลยังไง แต่ก็ทำไม่เกิน 5 ครั้ง และก็ด้วยเงินที่น้อยมาก เพราะพิมไม่กล้าเสี่ยงกับตัวเลขในออนไลน์เท่าไหร่ ส่วนตัวค่อนข้างกลัวเหมือนกัน

การทำเพจของพิม พิมเริ่มจากความชอบก่อนนะ คือการที่พิมเปิดเพจขึ้นมา ส่วนตัวพิมไม่ได้จะเปิดมาเพื่อคิดว่าเราต้องได้อะไรจากมัน ไม่ได้คิดว่าจะทำให้ยอดไลก์สูงๆ เพื่อที่จะขายได้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เราคิดว่าเราจะใส่อะไรลงไปในนั้นต่างหากมากกว่า แต่หลังจากนั้นจะมีโฆษณา มีคนมาโปรโมต หรือมีอะไรเข้ามา มันก็คือกำไร 
 
มีคนที่ทักมาหาพิมเยอะมากเหมือนกันว่า พี่คะ, พี่ครับ อยากทำเพจทำยังไงให้ยอดไลก์เยอะแบบพี่บ้าง เรามองว่าบางคนเขาก็ไม่มีความอดทนนะ เหมือนว่าเปิดเพจปุ๊บเขาต้องการให้ปังเลย เป็นที่รู้จักเลย จริงๆ มันไม่ใช่ พิมก็เลยยกตัวอย่างเคสของตัวเองไปว่ากว่าที่เราจะมีวันนี้เราใช้เวลานานมากนะ เราไม่ได้โฆษณาเพจมาตั้งแต่แรก เราทำมันด้วยความสบายๆ ชิลๆ เลย

ถ้าอยากทำจริงๆ พิมอยากให้เริ่มทำอะไรจากที่เราชอบ เรารัก เราทำแล้วมีความสุขก่อน ไม่แนะนำให้ไปเลียนแบบคนอื่น อยากให้ลองหาสไตล์ หาแนวทางของตัวเองให้เจอว่าเราชอบอะไร ทำอะไรแล้วมีความสุข มันจะทำให้เราอยู่กับมันได้นาน แต่ถ้ายังไม่เจอตัวเอง ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร จริงๆ ก็ลองให้หมดไปเลยก็ได้ ลองไปเลย จะได้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ ไม่ชอบก็จบ อย่าไปซีเรียส อย่าไปกังวลกับยอดไลก์ หาคอนเทนต์ดีๆ ที่เราเขียนแล้วไม่ฝืน เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ

นอกจากนี้แล้ว ความสม่ำเสมอก็สำคัญ คือต้องทำอะไรให้ไม่ขาดตอน ไม่ใช่ว่าทำแค่ช่วงโปรโมชันช่วงแรกแล้วก็หายไป ทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ไม่แนะนำ อย่าทำเลย อย่างที่พิมทำมา พิมจะอาศัยโพสต์ทุกวันเลย อย่างน้อยๆ ต้องวันละ 1 โพสต์

อีกอย่างการตอบคอมเมนต์ การมีส่วนร่วมกับลูกเพจก็สำคัญ พิมเป็นคนที่ชอบตอบคอมเมนต์มาก เราไม่รู้ว่าเพจอื่นๆ เป็นไหม เขาขยันตอบคอมเมนต์หรือเปล่า เราไม่รู้ แต่เราจะเป็น และเราก็ทำมาตั้งแต่เปิดเพจแรกๆ แล้วด้วย เพราะพิมมีความรู้สึกว่าเวลาที่เราไปคอมเมนต์เพจไหนก็ตามที่ชอบแล้วเขาไม่ตอบ หรือไม่แม้แต่จะมากดไลก์ เราก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

การทำเพจมันควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันได้ ทำให้เขามองว่าเราก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มาคุย มาคอมเมนต์ได้นะ ทำให้เขารู้สึกว่าแอดมินเพจสามารถจับต้องได้นะ เขามีตัวตนนะ ไม่ใช่ว่าอยู่แค่หลังระบบ พิมพ์อะไรมาแล้วก็ไม่ตอบ ตรงนี้เลยทำให้เราจะพยายามไม่ละเลย จะพยายามตอบให้ได้มากที่สุด แม้ว่าตอนนี้ในเพจจะมีคนเข้ามาคอมเมนต์มากก็ตาม การทำแบบนี้พิมเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเพจเขาจะไม่ไปหายไหน

ขอบคุณ ‘ความเศร้า’
ที่ทำให้เติบโตและมองโลกกว้างมากขึ้น

ตลอดเวลาที่ทำเพจนี้มา ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจกันว่าพิมอกหักอยู่ตลอดเวลาเลย “จะเศร้าอะไรนักหนา” เป็นคำถามที่เข้ามาเยอะมาก “แอดมินเป็นอะไร” “เศร้าตลอดเวลาเลย” หรือคนรอบตัวเราที่เขาดูถูกความเศร้าก็มีเหมือนกันนะ เขาจะบอกว่า “ยิ้มบ้างดิ” “หัวเราะบ้างดิ” “จะเศร้าอะไรทุกวี่ทุกวัน” เขาจะเบื่อๆ คือเขามองว่าความเศร้ามันเลวร้าย ดิ่ง จม ไม่ดี ซึ่งเราไม่ได้มองว่ามันเลวร้ายแบบนั้นนะ แต่เราก็ไม่ได้มองว่ามันดีงาม เรากลับมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดากลางๆ มากกว่า

เท่าที่สัมผัสกับความเศร้ามา จริงๆ พิมว่าความเศร้ามันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ มันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น มันทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเอง ได้ทบทวนตัวเอง ได้เห็นพัฒนาการของตัวเองว่าเรามองข้ามความเศร้าได้แค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น เราเขียนเรื่องหนึ่งด้วยความรู้สึกจริงที่เกิดขึ้นในอดีต อีก 5 เดือนต่อมา หรือ 1 ปีต่อมา เรามาเห็นโพสต์นี้ เราจะรู้ตัวเองว่าเราได้ข้ามผ่านมันมาไกลแล้วเหมือนกันนะ ยิ่งถ้าเราเขียนจากเรื่องจริงมากเท่าไหร่ เราก็จะได้รู้ว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง สิ่งนี้จะทำให้เราได้เห็นว่ามุมมองเราเปลี่ยนไปจากเดิม มันกลายเป็นว่าสอนเราไปในตัว บางทีบางเรื่องก็ทำให้เราโตขึ้นและมองโลกกว้างมากขึ้นด้วยซ้ำ

นอกจากนี้มันยังทำให้เราได้เข้าใจมุมมองคนอื่นด้วย ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ ได้รู้ว่าเราไม่ได้แย่อยู่คนเดียวบนโลก อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนในเพจตั้ง 6 แสนกว่าคนที่เข้าใจ (ยิ้ม)

ส่งต่อกำลังใจให้กับคนที่เจอปัญหา
ในฐานะคนสร้างเรื่อง ‘เศร้า’

ส่วนตัวพิมก็เคยมีเรื่องที่ทำให้เศร้าที่สุดในชีวิตเหมือนกัน แต่พิมจะไม่มีวิธีกำจัดความเศร้าแบบเป็น HOW TO 1-2-3-4 อะไร แต่ว่าถ้าวันไหนรู้สึกเศร้า เราก็จะฟังเพลงเศร้าเลย ฟังวนๆ ไป เราจะชอบตอกย้ำตัวเอง จะโรคจิตหน่อยๆ (หัวเราะ) แต่พอเศร้าจนรู้สึกว่าพอแล้ว เราใช้เวลากับมันมามากพอแล้ว เราก็จะไปหาอะไรอย่างอื่นที่ชอบทำ พอได้ทำแล้ว เดี๋ยวความเศร้าก็จะหายไปเอง

มีลูกเพจทักเข้ามาหลายคนเหมือนกันนะว่า “แอดมินคะ หนูอกหักค่ะ” อะไรประมาณนี้ คือคนจะเข้าใจไปแล้วว่าเวลาอกหักต้องมาปรึกษาเพจนี้นะ ก็มีมาเรื่อยๆ เลย แต่บางเรื่องเอาจริงๆ เราก็ตอบเขาไม่ได้นะ ถึงเราจะรู้วิธีที่จะพูด แต่ว่าถ้าเขายังไม่พร้อมจะทำ เราพูดไปมันก็ไม่เหมาะ ตรงนี้เราก็เลยจะแค่รับฟังและคอยให้กำลังใจ บอกให้เขาผ่านมันไปให้ได้มากกว่าที่จะไปบอกวิธีการแก้ปัญหา

ถ้าใครที่กำลังเศร้า หรือกำลังมีปัญหาอยู่ พิมอยากให้มองว่าเรื่องทุกเรื่องที่ส่งผลต่อความรู้สึกนั้น มันมี “เวลา” ของตัวเอง ความเศร้ามันไม่ถาวร วันนี้เศร้า พรุ่งนี้เราอาจจะมีความสุขเหมือนเดิมก็ได้ แค่วันนี้เราอาจจะมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าใกล้ไปก็แค่นั้นเอง ลองขยับออกมาสักก้าวสองก้าวดูไหม ลองดูสิ คุณอาจจะมองเห็นปัญหาเล็กลง หรือเห็นว่าจริงๆ แล้ว ตัวเราเล็กนิดเดียวเองถ้าเทียบกับปัญหานั้นๆ

เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี และเพจ 1991



กำลังโหลดความคิดเห็น