1.ทั่วโลกดีใจ ไทยพบ “ทีมหมูป่า” แล้ว ลุ้นช่วยออกจากถ้ำ - สุดเศร้า! “จ่าแซม” อดีตหน่วยซีลเสียชีวิตขณะดำน้ำลำเลียงถังออกซิเจน!
ความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือเยาวชนนักเตะทีม “หมูป่าอะคาเดมี” พร้อมโค้ช รวม 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทุกภาคส่วนทั้งทหาร ตำรวจ หน่วยซีล อาสากู้ภัย ทั้งของไทย และนักดำน้ำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ ลาว ฯลฯ ได้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือ ทั้งเร่งสูบน้ำออกจากถ้ำ ทั้งเดินเท้าสำรวจหาปล่องหรือโพรงด้านนอก เพื่อโรยตัวลงไปช่วยเด็กๆ แต่ก็ยังไม่พบปล่องที่จะทะลุลงไปในถ้ำหลวง โดยคาดว่า น้องๆ ทีมหมูป่าน่าจะหนีน้ำอยู่บริเวณพัทยาบีชหรือหาดพัทยา ภายในถ้ำหลวงนั้น
ปรากฏว่า ในที่สุดความพยายามค้นหาเด็กๆ ก็พบความสำเร็จเมื่อคืนวันที่ 2 ก.ค. รวมแล้วระยะเวลาที่เด็กติดอยู่ในถ้ำจนถึงวันที่เจ้าหน้าที่พบตัวเด็ก นานถึง 10 วัน โดยเด็กไม่ได้อยู่ตรงหาดพัทยา แต่อยู่บริเวณเนินนมสาว ซึ่งเลยหาดพัทยาไปอีกประมาณ 400 เมตร และน้ำท่วมไม่ถึง โดยผู้ที่พบคือ 2 นักดำน้ำจากอังกฤษ นายริชาร์ด สแตนตัน และนายจอห์น โวลันเธน ซึ่งเป็นชุดล่วงหน้าหน่วยซีลเข้าไปก่อน โดยเด็กๆ และโค้ชทีมหมูป่าทั้ง 13 คนยังปลอดภัยดี แต่รางกายมีสภาพซูบผอมลง
ทั้งนี้ นักดำน้ำชาวอังกฤษได้สนทนากับเด็กๆ ด้วยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเด็กบางคนสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ โดยเด็กๆ รู้สึกดีใจและขอบคุณนักดำน้ำที่เข้ามาช่วยเหลือ พร้อมบอกว่า พวกตนหิว อยากกินอาหาร และนักดำน้ำชาวอังกฤษขอให้เด็กๆ รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะพาคนมาช่วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการค้นหาเด็กๆ ทีมหมูป่า และมีภาพเด็กๆ ซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินบริเวณเนินนมสาวปรากฏออกมา สร้างความดีใจแก่คนไทยทั้งประเทศ รวมถึงประเทศต่างๆ ที่เฝ้าลุ้นปฏิบัติการค้นหาทีมหมูป่าของไทยในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถพาทีมหมูป่าออกมาจากถ้ำหลวงได้ เนื่องจากระดับน้ำภายในถ้ำก่อนถึงเนินนมสาว ยังอยู่ในระดับสูง แม้หลายฝ่ายจะมีแนวคิดสอนเด็กดำน้ำ เพื่อให้เด็กดำน้ำออกมา โดยมีนักดำน้ำประกบ แต่ในทางปฏิบัติ เป็นไปได้ยาก เพราะ 1.เด็กว่ายน้ำดำน้ำไม่เป็น ประกอบกับร่างกายเด็กอ่อนแอจากการขาดอาหารมาเป็นสิบวัน แม้เจ้าหน้าที่จะให้อาหารที่มีพลังงานสูงแก่เด็กแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังเริ่มมีเด็ก 2 คน รวมทั้งโค้ชเอก ที่เริ่มมีสภาพอิดโรย 2.หากให้เด็กดำน้ำจริงๆ จะมีความเสี่ยง เนื่องจากต้องดำน้ำที่ลึกและระยะทางยาว 1,700 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 5-6 ชั่วโมง ประกอบกับถ้ำมีความคดเคี้ยว และแคบ บางจุดต้องลอดผ่านทีละคน จึงไม่น่าจะปลอดภัยสำหรับเด็ก
ด้านนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯ เชียงราย ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ ไปเป็นผู้ว่าฯ พะเยาแล้ว แต่กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้ช่วยประสานและอำนวยการภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าให้แล้วเสร็จก่อน ยืนยันว่า การช่วยเหลือทีมหมูป่าจะใช้วิธีที่ปลอดภัย 100% เท่านั้น
เมื่อน้ำภายในถ้ำหลวงเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือทีมหมูป่า เจ้าหน้าที่จึงเร่งสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความพยายามหาปล่องหรือโพรงภายนอกถ้ำ ก็ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางในการช่วยเหลือเด็กๆ ภายใต้แรงกดดันเรื่องสภาพอากาศ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า วันที่ 7-10 ก.ค.นี้ จะมีฝน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งทำทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้น้ำฝนเข้าไปเติมในถ้ำได้ โดยเฉพาะจุดที่ทีมหมูป่าอยู่ นอกจากนี้ อีกปัญหาหนึ่งคือ ออกซิเจนภายในถ้ำลดลง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เจ้าหน้าที่หน่วยซีลจึงต้องเร่งลำเลียงถังออกซิเจนเข้าไปวางตามจุดต่างๆ ในถ้ำอย่างต่อเนื่อง
และไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกิดความสูญเสียขึ้นกับเจ้าหน้าที่หน่วยซีล เมื่อ จ.อ.สมาน กุนัน นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ อายุ 38 ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุฝ่าย รปภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ได้ใช้วันลาส่วนตัว อาสามาช่วยทีมหมูป่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มปฏิบัติภารกิจดำน้ำลำเลียงถังอากาศภายในถ้ำตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มกว่า หลังเสร็จภารกิจ ขณะดำน้ำกลับ ได้หมดสติ แม้คู่ดำน้ำจะช่วย CPR แต่ก็ไม่สำเร็จ และเสียชีวิตลงในเวลาประมาณ 01.00 น.วันที่ 6 ก.ค.
การเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจช่วยทีมหมูป่าของ จ.อ.สมาน หรือจ่าแซม สร้างความเศร้าสลดทั่วไทยและทั่วโลก ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระราชหฤทัย และรับสั่งให้จัดพิธีศพ จ.อ.สมานอย่างสมเกียรติ พร้อมรับศพไว้ในพระราชานุเคราะห์ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพและพวงมาลาหลวง รวมถึงพวงมาลาของพระบรมวงศานุวงศ์ วางหน้าหีบศพ และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ โดยพิธีศพมีขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ค. โดยพิธีศพจัดขึ้นที่วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนเคลื่อนย้ายศพกลับไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ณ วัดบ้านหนองคู ต.เมืองหงส์ อ.จตุรพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่ 7 ก.ค. เพื่อให้ทางครอบครัว และญาติมิตร ได้ร่วมอุทิศส่วนกุศลและแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
สำหรับ จ.อ.สมาน เป็นนักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่นที่ 30 ลาออกจากราชการไปทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุ การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นสมาชิกนักทำลายใต้น้ำจู่โจมที่มีความรู้ความสามารถ เป็นนักกีฬาไตรกีฬา ชอบเล่นกีฬาประเภทแอดเวนเจอร์ เคยคว้าแชมป์โอเวอร์วอล หรือการแข่งขันกีฬาผจญภัย รายการ “ดิไอบิสเกาะสมุย โทรฟี่ 2010” ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการแข่งขันวิ่ง ว่ายน้ำ พายเรือคายัค ระยะทาง 43.45 กิโลเมตร และปั่นจักรยาน จากผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 103 ทีม
แม้ จ.อ.สมาน จะลาออกจากหน่วยซีลไปแล้ว แต่ยังคงมีความรักและผูกพันกับพี่น้องนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ซึ่งไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรที่หน่วยซีลจัด จ.อ.สมานจะมาร่วมกิจกรรมเสมอ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ด้านนายวิชัย กุนัน อายุ 60 ปี บิดาของ จ.อ.สมาน หลังรู้ข่าวลูกชายเสียชีวิต ได้เป็นลมล้มฟุบทันทีขณะทำไร่อยู่กลางทุ่ง หลังได้สติ นายวิชัยกล่าวว่า แม้จะมีลูกชายคนเดียว แต่ไม่เสียใจและไม่โทษ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำ หลังลูกชายเดินทางไปช่วยเหลือจนตัวเองเสียชีวิต
ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท.รู้สึกเสียใจ และอาลัยอย่างยิ่งต่อการจากไปของ จ.อ.สมาน และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังครอบครัวของ จ.อ.สมาน ซึ่งเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง และเสียสละในการเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วยความเต็มใจและมุ่งมั่น เป็นที่ภาคภูมิใจของประเทศชาติและ ทอท. โดย ทอท.จะพิจารณาความดีความชอบให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวของ จ.อ.สมาน ต่อไป
ด้านนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้มีสารแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของ จ.อ.สมาน โดยระบุว่า ในนามของประชาชนชาวอเมริกัน ตนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต อีกทั้งขอสดุดีและเชิดชูเกียรติในวีรกรรมความกล้าหาญและความเสียสละของ จ.อ.สมาน ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับทีมหมู่ป่าที่ยังติดอยู่ภายในถ้ำหลวงนั้น ล่าสุด 7 ก.ค. เพจเฟซบุ๊กของ “Thai Navy SEAL” ได้โพสต์จดหมายน้อยของน้องๆ ทีมหมูป่าที่เขียนถึงพ่อแม่ โดยฝากหน่วยซีลนำออกมาจากบริเวณเนินนมสาว โดยข้อความในจดหมายบอกทำนองว่า ไม่ต้องเป็นห่วง สบายดี แข็งแรงทุกคน ออกไปอยากกินอาหารหลายอย่าง ออกไปอยากกลับบ้านเลย คุณครูอย่าให้งานเยอะ
2.คลื่นซัดเรือล่ม 2 ลำที่ภูเก็ต นักท่องเที่ยวกว่าร้อยหนีตาย พบผู้เสียชีวิตหลายสิบศพ บางส่วนยังสูญหาย!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุเรือล่ม 2 ลำที่บริเวณเกาะเฮ จ.ภูเก็ต ได้แก่ 1. เรือไดฟ์วิ่ง ชื่อฟินิกซ์ ถูกลมพัดเอียงจมในทะเลบริเวณหน้าเกาะเฮ มีผู้โดยสาร 105 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน 2. เรือยอชต์ ชื่อ เซเนริกา ล่มบริเวณเกาะไม้ท่อน-เกาะเฮ มีผู้โดยสาร 39 คน นอกจากนี้ยังมีเจ็ทสกี ซึ่งชาวรัสเซีย 2 คน ขับออกไปจากเกาะราชา แล้วถูกกระแสลมพัดสูญหาย
ด้านทหารกองทัพเรือภาคที่ 3 ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้บูรณาการค้นหาผู้สูญหาย โดยมีการนำเรือออกลาดตระเวนและใช้เฮลิคอปเตอร์บินค้นหาทางอากาศ นอกจากนี้ยังส่งนักประดาน้ำดำลงสำรวจเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลเพื่อตรวจสอบผู้สูญหายด้วย เบื้องต้น มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้บางส่วน และยังคงเหลือผู้สูญหายจากเรือฟินิกซ์จำนวน 56 ราย
วันต่อมา 6 ก.ค. เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 33 ราย ยังเหลือผู้สูญหายอีก 23 ราย ด้านนายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยืนยันว่า ทีมค้นหาจะออกค้นหาทั้งทางเรือ ทางอากาศ และนักประดาน้ำตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าจะพบผู้สูญหายคนสุดท้าย
ขณะที่ พล.ร.ต.เจริญพล คุ้มราศี รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เผยว่า จากการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงเหตุการณ์เรือล่มทราบว่า เรือถูกคลื่นซัดอย่างแรง ทำให้เรือเอียงและจมลงอย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวสวมเสื้อชูชีพอาจจะลอยไปชนกับเพดานของเรือในห้องต่างๆ ไม่สามารถออกมาจากเรือได้ โดยศพที่พบติดอยู่ในตัวเรือต่างสวมเสื้อชูชีพทั้งหมด
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เผยว่า ตำรวจภูธรฉลองได้แจ้งข้อหาคนขับเรือและนายท้ายเรือฟิกนิกซ์และเรือเซเนริกา ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต โดยจะเรียกเจ้าของบริษัทเรือมาพูดคุยเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย นอกจากนี้ได้เชิญทูตจากประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซียลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์จริงด้วย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตว่า ได้รับรายงานว่าตอนที่เรือออกไปไม่มีลม แต่เมื่อออกไปแล้วเจอลมกรรโชก ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัว และล่ม แต่ก่อนหน้านี้กรมอุตุนิยมวิทยาก็เตือนให้ระวังวันที่ 4-6 ก.ค. แล้ว แต่ไม่ฟัง เป็นเพราะคนขับเรือ เจ้าของเรือ ออกไปโดยไม่ฟังคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา เจ้าของเรือและคนขับเรือจึงถือว่ามีความผิด ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน
ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันที่ 7 ก.ค. เจ้าหน้าที่พบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 5 ราย เป็นเด็ก 2 ราย และผู้ใหญ่ 3 ราย สรุปการค้นหาอย่างไม่เป็นทางการ พบผู้เสียชีวิต 38 ราย และยังสูญหายอีก 18 ราย โดยเจ้าหน้าที่ยังระดมกำลังค้นหาและกู้ศพผู้เสียชีวิตที่ติดในซากเรือที่จมอย่างต่อเนื่อง
3.เศร้าอีก! เครื่องบิน ทบ.ตกขณะลาดตระเวนที่แม่ฮ่องสอน ดับ 3 รอด 1 พบเครื่องบินใช้มา 37 ปีแล้ว ใช้ไปซ่อมไป!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 (ฉก.ร.17) ได้ทำการลาดตระเวนทางอากาศตามแนวชายแดนพื้นที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน โดยเครื่องบินตรวจการณ์แบบ Cessna 182 หรือ U-17 ของกองกำลังนเรศวร ได้บินขึ้นจากท่าอากาศยานจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อเวลา 10.00 น. โดยมีนักบิน 2 นาย คือ ร.ท.ณฤพล พุกทอง และ ร.ท.วโรจน์ แปลงกระโทก พร้อมผู้โดยสาร 2 นาย คือ ร.ท.เขมราช ดวงแก้ว และ จ.ส.อ.นัฐชนันท์ เขื่อนแก้ว ร่วมลาดตระเวนทางอากาศ แต่ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินและหายไปจากจอเรดาห์ในเวลา 10.56 น.
ทั้งนี้ ช่วงเย็นวันเดียวกัน(5 ก.ค.) พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เผยว่า หลังทราบข่าวดังกล่าว ได้สั่งการให้นักบินนำเครื่องบินอีกลำขึ้นบินลาดตระเวนค้นหาทันที เบื้องต้นพบเครื่องบินลำดังกล่าวแล้ว ซึ่งตกอยู่ และมีกลุ่มควันบริเวณเขตใต้บ้านห้วยผึ้ง ต.ห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้ส่งกำลังภาคพื้นจาก ฉก.ร.17 เข้าไปค้นหา ทราบว่าจุดที่เครื่องบินตกอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร
แม่ทัพภาคที่ 3 เผยด้วยว่า เครื่องบินดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุระหว่างบินลาดตระเวนตามวงรอบปกติ ขณะเกิดเหตุ สภาพอากาศท้องฟ้าเปิด ยังไม่ทราบสาเหตุข้อเท็จจริงของการตก
หลังเจ้าหน้าที่เข้าถึงจุดเกิดเหตุ พบว่า มีผู้เสียชีวิต 3 ราย คือ ร.ท.ณฤพล พุกทอง, ร.ท.วโรฒม์ แปลงกระโทก, ร.ท.เขมราช ดวงแก้ว ส่วนอีก 1 ราย รอดชีวิต แต่บาดเจ็บสาหัส คือ จ.ส.อ.ชัชชนันท์ เขื่อนแก้ว โดยถูกนำตัวลำเลียงด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เบื้องต้นพบว่า สัญญาณชีพค่อนข้างอ่อน กระดูกข้อมือขวาหัก กระดูกชายโครงร้าว และมีไฟคลอกบริเวณใบหน้าจนถึงหน้าอกและช่องท้อง แพทย์ต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วนและเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่เราสูญเสียกำลังพล 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจของหน่วย ตามแผนป้องกันชายแดนของกองทัพภาคที่ 3 ด้วยการใช้เครื่องบินอากาศ บท.17 หรือ U17 บินลาดตระเวนตามห้วงเวลา คือ 1.ดูแลความมั่นคง หากมีการบุกรุก เขตแดน 2. ภารกิจป้องกันยาเสพติด และ3.ภารกิจการดูแลป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมยืนยันว่า สาเหตุที่เครื่องบินตก ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศ แต่เครื่องอาจขัดข้อง แต่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งทางศูนย์การบินทหารบกต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร
พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวด้วยว่า “เครื่องรุ่นดังกล่าว เราใช้งานมาตั้งปี 2524 มี 9 เครื่อง ใช้งานไปด้วยดี และซ่อมไปด้วย และในปัจจุบันสามารถใช้งานได้ 3 เครื่อง และที่ผ่านมาเราซ่อมบำรุงเครื่องตลอด 9 เครื่องก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ผมจึงสั่งการให้ศูนย์การบินทหารบก เร่งตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ส่วนการดูแลสิทธิของน้องๆ ที่เสียชีวิตทั้ง 3 ท่าน โดยผมสั่งให้ปูนบำเหน็จ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศพิเศษ และสิทธิพิเศษต่างๆ เราต้องดูแลเต็มที่ รวมถึงดูแลครอบครัวน้องๆ ด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เครื่องรุ่นดังกล่าว มีความเก่าทำไมจึงไม่พิจารณาจัดหาเครื่องใหม่มาทดแทน พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า กองทัพบกไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย งบประมาณแต่ละปี เราต้องใช้จ่ายตามความจำเป็น
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เผยว่า เบื้องต้นผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 1.6-1.9 ล้านบาท ตามสิทธิของแต่ละท่าน พร้อมกันนี้ กองทัพบกได้ปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ชั้น และขอรับพระราชทานยศสูงขึ้น โดยนายทหารทั้ง 3 ท่านที่เสียชีวิต จะได้เลื่อนยศเป็น “พลตรี”
สำหรับการประกอบพิธีทางศาสนาผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายนั้น ได้มีการเคลื่อนย้ายศพ ร.ท. วโรฒม์ และ ร.ท.ณฤพล ไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ จ.ลพบุรี ส่วนศพของ ร.ท. เขมราชฯ นำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงราย
4.สนช.มีมติเอกฉันท์ผ่านร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ถวายคืนพระอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง-ถอดถอนมหาเถรสมาคม!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้มีการประชุม เพื่อพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงสาระสำคัญของการจัดทำร่างดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้มีการเตรียมการตั้งแต่เมื่อครั้งมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ ตอนแรกคิดกันหลายวิธีว่าจะใช้กลไกอย่างไร สุดท้ายคิดว่า ถ้าฆราวาสจะปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ มีความชอบธรรมเพียงใด
ในที่สุดได้ข้อยุติว่า สิ่งที่ควรทำคือ ฆราวาสเป็นแค่ผู้เสนอแนะ แต่ผู้ที่จะขับเคลื่อนและนำไปปฏิบัติและสั่งการ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปได้อย่างแท้จริงคงต้องเป็นคณะสงฆ์เอง รัฐบาลคิดว่ากลไกที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปคณะสงฆ์ ต้องอยู่ที่มหาเถรสมาคม แต่ในอดีตมีจุดอ่อน คือ การที่มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง มีความเหมาะสมตามหลักอาวุโส แต่ในระยะหลังกว่าที่พระภิกษุจะขึ้นไปถึงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาก็จะมีอายุมากและอาพาธ ทำให้ไม่สามารถประชุมมหาเถรสมาคมได้
ประกอบกับระยะหลังเริ่มเกิดปัญหาขึ้น กรณีกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปมีปัญหาต้องคดีและถูกกล่าวหา ซึ่งสั่นสะเทือนความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน จึงคิดกันว่า ควรกลับไปใช้รูปแบบตาม พ.ร.บ.ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ใช้กันมาถึงรัชกาลที่ 8 จึงมีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์
ทั้งนี้ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ มาตรา 3 ที่บัญญัติว่า เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแลการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่หลักของพระพุทธศาสนาให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้องดีงามโดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์จะคงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)
สำหรับองค์ประกอบของมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน 20 รูป ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันสมควรและจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่การปกครองสงฆ์ ซึ่งการแต่งตั้งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้
ทั้งนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง จะอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจจะได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้ ส่วนการพ้นจากตำแหน่งนั้น นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว ยังพ้นจากตำแหน่งเมื่อมรณภาพ พ้นจากความเป็นพระภิกษุ ลาออก พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้ออก
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ต้องเร่งเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะต้องการให้ทันกับกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระในอีกประมาณ 2 เดือน
หลังจากนั้น ที่ประชุม สนช.ได้มีมติเอกฉันท์ 217 เสียง เห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยการพิจารณาของ สนช.เป็นการเห็นชอบ 3 วาระรวด
5.ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ “ทักษิณ” ใบที่ 4 คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า 4 พันล้าน!
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรก คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท ถือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราวตั้งแต่ปี 2551 เนื่องจากนายทักษิณหลบหนีคดี และสั่งออกหมายจับนายทักษิณไปแล้ว แต่ ป.ป.ช.ได้ยื่นเรื่องต่อศาล ขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ให้อำนาจไว้ โดยสามารถนำกลับมารื้อฟื้นพิจารณาต่อไปได้ แม้ตัวจำเลยไม่มา
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่ศาลนัด อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่มีใครมา องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า นัดพิจารณาคดีครั้งแรกนี้ จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาศาล และไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้อัยการโจทก์ติดตามจับกุมและรายงานต่อศาลทุกๆ 1 เดือน และกำหนดแนวทางตรวจพยานหลักฐานและสืบพยานต่อไป โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งต่อไปวันที่ 31 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น. และให้โจทก์ยื่นบัญชีพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่า 14 วัน รวมทั้งให้ส่งหมายแจ้งให้จำเลยทราบ หากไม่มีผู้รับ ให้ปิดหมายต่อไป
อนึ่ง การที่ศาลฯ ให้ออกหมายจับนายทักษิณในคดีนี้ นับเป็นใบที่ 4 แล้ว โดยหมายจับอีก 3 ใบก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย คดีออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท, คดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร กว่า 9.9 พันล้านบาท และคดีเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการคนใหม่ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ โดยมิชอบ
ความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือเยาวชนนักเตะทีม “หมูป่าอะคาเดมี” พร้อมโค้ช รวม 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทุกภาคส่วนทั้งทหาร ตำรวจ หน่วยซีล อาสากู้ภัย ทั้งของไทย และนักดำน้ำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ ลาว ฯลฯ ได้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือ ทั้งเร่งสูบน้ำออกจากถ้ำ ทั้งเดินเท้าสำรวจหาปล่องหรือโพรงด้านนอก เพื่อโรยตัวลงไปช่วยเด็กๆ แต่ก็ยังไม่พบปล่องที่จะทะลุลงไปในถ้ำหลวง โดยคาดว่า น้องๆ ทีมหมูป่าน่าจะหนีน้ำอยู่บริเวณพัทยาบีชหรือหาดพัทยา ภายในถ้ำหลวงนั้น
ปรากฏว่า ในที่สุดความพยายามค้นหาเด็กๆ ก็พบความสำเร็จเมื่อคืนวันที่ 2 ก.ค. รวมแล้วระยะเวลาที่เด็กติดอยู่ในถ้ำจนถึงวันที่เจ้าหน้าที่พบตัวเด็ก นานถึง 10 วัน โดยเด็กไม่ได้อยู่ตรงหาดพัทยา แต่อยู่บริเวณเนินนมสาว ซึ่งเลยหาดพัทยาไปอีกประมาณ 400 เมตร และน้ำท่วมไม่ถึง โดยผู้ที่พบคือ 2 นักดำน้ำจากอังกฤษ นายริชาร์ด สแตนตัน และนายจอห์น โวลันเธน ซึ่งเป็นชุดล่วงหน้าหน่วยซีลเข้าไปก่อน โดยเด็กๆ และโค้ชทีมหมูป่าทั้ง 13 คนยังปลอดภัยดี แต่รางกายมีสภาพซูบผอมลง
ทั้งนี้ นักดำน้ำชาวอังกฤษได้สนทนากับเด็กๆ ด้วยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเด็กบางคนสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ โดยเด็กๆ รู้สึกดีใจและขอบคุณนักดำน้ำที่เข้ามาช่วยเหลือ พร้อมบอกว่า พวกตนหิว อยากกินอาหาร และนักดำน้ำชาวอังกฤษขอให้เด็กๆ รออยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะพาคนมาช่วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการค้นหาเด็กๆ ทีมหมูป่า และมีภาพเด็กๆ ซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินบริเวณเนินนมสาวปรากฏออกมา สร้างความดีใจแก่คนไทยทั้งประเทศ รวมถึงประเทศต่างๆ ที่เฝ้าลุ้นปฏิบัติการค้นหาทีมหมูป่าของไทยในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถพาทีมหมูป่าออกมาจากถ้ำหลวงได้ เนื่องจากระดับน้ำภายในถ้ำก่อนถึงเนินนมสาว ยังอยู่ในระดับสูง แม้หลายฝ่ายจะมีแนวคิดสอนเด็กดำน้ำ เพื่อให้เด็กดำน้ำออกมา โดยมีนักดำน้ำประกบ แต่ในทางปฏิบัติ เป็นไปได้ยาก เพราะ 1.เด็กว่ายน้ำดำน้ำไม่เป็น ประกอบกับร่างกายเด็กอ่อนแอจากการขาดอาหารมาเป็นสิบวัน แม้เจ้าหน้าที่จะให้อาหารที่มีพลังงานสูงแก่เด็กแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ยังเริ่มมีเด็ก 2 คน รวมทั้งโค้ชเอก ที่เริ่มมีสภาพอิดโรย 2.หากให้เด็กดำน้ำจริงๆ จะมีความเสี่ยง เนื่องจากต้องดำน้ำที่ลึกและระยะทางยาว 1,700 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 5-6 ชั่วโมง ประกอบกับถ้ำมีความคดเคี้ยว และแคบ บางจุดต้องลอดผ่านทีละคน จึงไม่น่าจะปลอดภัยสำหรับเด็ก
ด้านนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯ เชียงราย ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ ไปเป็นผู้ว่าฯ พะเยาแล้ว แต่กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้ช่วยประสานและอำนวยการภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่าให้แล้วเสร็จก่อน ยืนยันว่า การช่วยเหลือทีมหมูป่าจะใช้วิธีที่ปลอดภัย 100% เท่านั้น
เมื่อน้ำภายในถ้ำหลวงเป็นอุปสรรคต่อการช่วยเหลือทีมหมูป่า เจ้าหน้าที่จึงเร่งสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความพยายามหาปล่องหรือโพรงภายนอกถ้ำ ก็ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางในการช่วยเหลือเด็กๆ ภายใต้แรงกดดันเรื่องสภาพอากาศ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า วันที่ 7-10 ก.ค.นี้ จะมีฝน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งทำทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้น้ำฝนเข้าไปเติมในถ้ำได้ โดยเฉพาะจุดที่ทีมหมูป่าอยู่ นอกจากนี้ อีกปัญหาหนึ่งคือ ออกซิเจนภายในถ้ำลดลง ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เจ้าหน้าที่หน่วยซีลจึงต้องเร่งลำเลียงถังออกซิเจนเข้าไปวางตามจุดต่างๆ ในถ้ำอย่างต่อเนื่อง
และไม่มีใครคาดคิดว่า จะเกิดความสูญเสียขึ้นกับเจ้าหน้าที่หน่วยซีล เมื่อ จ.อ.สมาน กุนัน นักทำลายใต้น้ำจู่โจมนอกราชการ อายุ 38 ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุฝ่าย รปภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด ได้ใช้วันลาส่วนตัว อาสามาช่วยทีมหมูป่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา และเริ่มปฏิบัติภารกิจดำน้ำลำเลียงถังอากาศภายในถ้ำตั้งแต่เวลา 2 ทุ่มกว่า หลังเสร็จภารกิจ ขณะดำน้ำกลับ ได้หมดสติ แม้คู่ดำน้ำจะช่วย CPR แต่ก็ไม่สำเร็จ และเสียชีวิตลงในเวลาประมาณ 01.00 น.วันที่ 6 ก.ค.
การเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจช่วยทีมหมูป่าของ จ.อ.สมาน หรือจ่าแซม สร้างความเศร้าสลดทั่วไทยและทั่วโลก ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระราชหฤทัย และรับสั่งให้จัดพิธีศพ จ.อ.สมานอย่างสมเกียรติ พร้อมรับศพไว้ในพระราชานุเคราะห์ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพและพวงมาลาหลวง รวมถึงพวงมาลาของพระบรมวงศานุวงศ์ วางหน้าหีบศพ และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ โดยพิธีศพมีขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ค. โดยพิธีศพจัดขึ้นที่วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนเคลื่อนย้ายศพกลับไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ณ วัดบ้านหนองคู ต.เมืองหงส์ อ.จตุรพักตร์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่ 7 ก.ค. เพื่อให้ทางครอบครัว และญาติมิตร ได้ร่วมอุทิศส่วนกุศลและแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
สำหรับ จ.อ.สมาน เป็นนักทำลายใต้น้ำจู่โจม รุ่นที่ 30 ลาออกจากราชการไปทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตระเวนระงับเหตุ การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นสมาชิกนักทำลายใต้น้ำจู่โจมที่มีความรู้ความสามารถ เป็นนักกีฬาไตรกีฬา ชอบเล่นกีฬาประเภทแอดเวนเจอร์ เคยคว้าแชมป์โอเวอร์วอล หรือการแข่งขันกีฬาผจญภัย รายการ “ดิไอบิสเกาะสมุย โทรฟี่ 2010” ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการแข่งขันวิ่ง ว่ายน้ำ พายเรือคายัค ระยะทาง 43.45 กิโลเมตร และปั่นจักรยาน จากผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 103 ทีม
แม้ จ.อ.สมาน จะลาออกจากหน่วยซีลไปแล้ว แต่ยังคงมีความรักและผูกพันกับพี่น้องนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ซึ่งไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรที่หน่วยซีลจัด จ.อ.สมานจะมาร่วมกิจกรรมเสมอ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ด้านนายวิชัย กุนัน อายุ 60 ปี บิดาของ จ.อ.สมาน หลังรู้ข่าวลูกชายเสียชีวิต ได้เป็นลมล้มฟุบทันทีขณะทำไร่อยู่กลางทุ่ง หลังได้สติ นายวิชัยกล่าวว่า แม้จะมีลูกชายคนเดียว แต่ไม่เสียใจและไม่โทษ 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำ หลังลูกชายเดินทางไปช่วยเหลือจนตัวเองเสียชีวิต
ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท.รู้สึกเสียใจ และอาลัยอย่างยิ่งต่อการจากไปของ จ.อ.สมาน และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังครอบครัวของ จ.อ.สมาน ซึ่งเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง และเสียสละในการเข้าร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วยความเต็มใจและมุ่งมั่น เป็นที่ภาคภูมิใจของประเทศชาติและ ทอท. โดย ทอท.จะพิจารณาความดีความชอบให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวของ จ.อ.สมาน ต่อไป
ด้านนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้มีสารแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของ จ.อ.สมาน โดยระบุว่า ในนามของประชาชนชาวอเมริกัน ตนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต อีกทั้งขอสดุดีและเชิดชูเกียรติในวีรกรรมความกล้าหาญและความเสียสละของ จ.อ.สมาน ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับทีมหมู่ป่าที่ยังติดอยู่ภายในถ้ำหลวงนั้น ล่าสุด 7 ก.ค. เพจเฟซบุ๊กของ “Thai Navy SEAL” ได้โพสต์จดหมายน้อยของน้องๆ ทีมหมูป่าที่เขียนถึงพ่อแม่ โดยฝากหน่วยซีลนำออกมาจากบริเวณเนินนมสาว โดยข้อความในจดหมายบอกทำนองว่า ไม่ต้องเป็นห่วง สบายดี แข็งแรงทุกคน ออกไปอยากกินอาหารหลายอย่าง ออกไปอยากกลับบ้านเลย คุณครูอย่าให้งานเยอะ
2.คลื่นซัดเรือล่ม 2 ลำที่ภูเก็ต นักท่องเที่ยวกว่าร้อยหนีตาย พบผู้เสียชีวิตหลายสิบศพ บางส่วนยังสูญหาย!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุเรือล่ม 2 ลำที่บริเวณเกาะเฮ จ.ภูเก็ต ได้แก่ 1. เรือไดฟ์วิ่ง ชื่อฟินิกซ์ ถูกลมพัดเอียงจมในทะเลบริเวณหน้าเกาะเฮ มีผู้โดยสาร 105 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน 2. เรือยอชต์ ชื่อ เซเนริกา ล่มบริเวณเกาะไม้ท่อน-เกาะเฮ มีผู้โดยสาร 39 คน นอกจากนี้ยังมีเจ็ทสกี ซึ่งชาวรัสเซีย 2 คน ขับออกไปจากเกาะราชา แล้วถูกกระแสลมพัดสูญหาย
ด้านทหารกองทัพเรือภาคที่ 3 ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้บูรณาการค้นหาผู้สูญหาย โดยมีการนำเรือออกลาดตระเวนและใช้เฮลิคอปเตอร์บินค้นหาทางอากาศ นอกจากนี้ยังส่งนักประดาน้ำดำลงสำรวจเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลเพื่อตรวจสอบผู้สูญหายด้วย เบื้องต้น มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้บางส่วน และยังคงเหลือผู้สูญหายจากเรือฟินิกซ์จำนวน 56 ราย
วันต่อมา 6 ก.ค. เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตแล้ว 33 ราย ยังเหลือผู้สูญหายอีก 23 ราย ด้านนายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยืนยันว่า ทีมค้นหาจะออกค้นหาทั้งทางเรือ ทางอากาศ และนักประดาน้ำตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าจะพบผู้สูญหายคนสุดท้าย
ขณะที่ พล.ร.ต.เจริญพล คุ้มราศี รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 เผยว่า จากการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงเหตุการณ์เรือล่มทราบว่า เรือถูกคลื่นซัดอย่างแรง ทำให้เรือเอียงและจมลงอย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวสวมเสื้อชูชีพอาจจะลอยไปชนกับเพดานของเรือในห้องต่างๆ ไม่สามารถออกมาจากเรือได้ โดยศพที่พบติดอยู่ในตัวเรือต่างสวมเสื้อชูชีพทั้งหมด
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เผยว่า ตำรวจภูธรฉลองได้แจ้งข้อหาคนขับเรือและนายท้ายเรือฟิกนิกซ์และเรือเซเนริกา ฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต โดยจะเรียกเจ้าของบริษัทเรือมาพูดคุยเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย นอกจากนี้ได้เชิญทูตจากประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซียลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์จริงด้วย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเหตุเรือล่มที่ภูเก็ตว่า ได้รับรายงานว่าตอนที่เรือออกไปไม่มีลม แต่เมื่อออกไปแล้วเจอลมกรรโชก ทำให้เรือสูญเสียการทรงตัว และล่ม แต่ก่อนหน้านี้กรมอุตุนิยมวิทยาก็เตือนให้ระวังวันที่ 4-6 ก.ค. แล้ว แต่ไม่ฟัง เป็นเพราะคนขับเรือ เจ้าของเรือ ออกไปโดยไม่ฟังคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา เจ้าของเรือและคนขับเรือจึงถือว่ามีความผิด ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน
ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันที่ 7 ก.ค. เจ้าหน้าที่พบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 5 ราย เป็นเด็ก 2 ราย และผู้ใหญ่ 3 ราย สรุปการค้นหาอย่างไม่เป็นทางการ พบผู้เสียชีวิต 38 ราย และยังสูญหายอีก 18 ราย โดยเจ้าหน้าที่ยังระดมกำลังค้นหาและกู้ศพผู้เสียชีวิตที่ติดในซากเรือที่จมอย่างต่อเนื่อง
3.เศร้าอีก! เครื่องบิน ทบ.ตกขณะลาดตระเวนที่แม่ฮ่องสอน ดับ 3 รอด 1 พบเครื่องบินใช้มา 37 ปีแล้ว ใช้ไปซ่อมไป!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 17 (ฉก.ร.17) ได้ทำการลาดตระเวนทางอากาศตามแนวชายแดนพื้นที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน โดยเครื่องบินตรวจการณ์แบบ Cessna 182 หรือ U-17 ของกองกำลังนเรศวร ได้บินขึ้นจากท่าอากาศยานจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อเวลา 10.00 น. โดยมีนักบิน 2 นาย คือ ร.ท.ณฤพล พุกทอง และ ร.ท.วโรจน์ แปลงกระโทก พร้อมผู้โดยสาร 2 นาย คือ ร.ท.เขมราช ดวงแก้ว และ จ.ส.อ.นัฐชนันท์ เขื่อนแก้ว ร่วมลาดตระเวนทางอากาศ แต่ได้ขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินและหายไปจากจอเรดาห์ในเวลา 10.56 น.
ทั้งนี้ ช่วงเย็นวันเดียวกัน(5 ก.ค.) พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เผยว่า หลังทราบข่าวดังกล่าว ได้สั่งการให้นักบินนำเครื่องบินอีกลำขึ้นบินลาดตระเวนค้นหาทันที เบื้องต้นพบเครื่องบินลำดังกล่าวแล้ว ซึ่งตกอยู่ และมีกลุ่มควันบริเวณเขตใต้บ้านห้วยผึ้ง ต.ห้วยผา อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และได้ส่งกำลังภาคพื้นจาก ฉก.ร.17 เข้าไปค้นหา ทราบว่าจุดที่เครื่องบินตกอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร
แม่ทัพภาคที่ 3 เผยด้วยว่า เครื่องบินดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุระหว่างบินลาดตระเวนตามวงรอบปกติ ขณะเกิดเหตุ สภาพอากาศท้องฟ้าเปิด ยังไม่ทราบสาเหตุข้อเท็จจริงของการตก
หลังเจ้าหน้าที่เข้าถึงจุดเกิดเหตุ พบว่า มีผู้เสียชีวิต 3 ราย คือ ร.ท.ณฤพล พุกทอง, ร.ท.วโรฒม์ แปลงกระโทก, ร.ท.เขมราช ดวงแก้ว ส่วนอีก 1 ราย รอดชีวิต แต่บาดเจ็บสาหัส คือ จ.ส.อ.ชัชชนันท์ เขื่อนแก้ว โดยถูกนำตัวลำเลียงด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เบื้องต้นพบว่า สัญญาณชีพค่อนข้างอ่อน กระดูกข้อมือขวาหัก กระดูกชายโครงร้าว และมีไฟคลอกบริเวณใบหน้าจนถึงหน้าอกและช่องท้อง แพทย์ต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วนและเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
ด้าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่เราสูญเสียกำลังพล 3 นาย ขณะปฏิบัติภารกิจของหน่วย ตามแผนป้องกันชายแดนของกองทัพภาคที่ 3 ด้วยการใช้เครื่องบินอากาศ บท.17 หรือ U17 บินลาดตระเวนตามห้วงเวลา คือ 1.ดูแลความมั่นคง หากมีการบุกรุก เขตแดน 2. ภารกิจป้องกันยาเสพติด และ3.ภารกิจการดูแลป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมยืนยันว่า สาเหตุที่เครื่องบินตก ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศ แต่เครื่องอาจขัดข้อง แต่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งทางศูนย์การบินทหารบกต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร
พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวด้วยว่า “เครื่องรุ่นดังกล่าว เราใช้งานมาตั้งปี 2524 มี 9 เครื่อง ใช้งานไปด้วยดี และซ่อมไปด้วย และในปัจจุบันสามารถใช้งานได้ 3 เครื่อง และที่ผ่านมาเราซ่อมบำรุงเครื่องตลอด 9 เครื่องก็ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น ผมจึงสั่งการให้ศูนย์การบินทหารบก เร่งตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ส่วนการดูแลสิทธิของน้องๆ ที่เสียชีวิตทั้ง 3 ท่าน โดยผมสั่งให้ปูนบำเหน็จ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศพิเศษ และสิทธิพิเศษต่างๆ เราต้องดูแลเต็มที่ รวมถึงดูแลครอบครัวน้องๆ ด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เครื่องรุ่นดังกล่าว มีความเก่าทำไมจึงไม่พิจารณาจัดหาเครื่องใหม่มาทดแทน พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า กองทัพบกไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย งบประมาณแต่ละปี เราต้องใช้จ่ายตามความจำเป็น
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เผยว่า เบื้องต้นผู้เสียชีวิตจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 1.6-1.9 ล้านบาท ตามสิทธิของแต่ละท่าน พร้อมกันนี้ กองทัพบกได้ปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ชั้น และขอรับพระราชทานยศสูงขึ้น โดยนายทหารทั้ง 3 ท่านที่เสียชีวิต จะได้เลื่อนยศเป็น “พลตรี”
สำหรับการประกอบพิธีทางศาสนาผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายนั้น ได้มีการเคลื่อนย้ายศพ ร.ท. วโรฒม์ และ ร.ท.ณฤพล ไปประกอบพิธีทางศาสนาที่ จ.ลพบุรี ส่วนศพของ ร.ท. เขมราชฯ นำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงราย
4.สนช.มีมติเอกฉันท์ผ่านร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ถวายคืนพระอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง-ถอดถอนมหาเถรสมาคม!
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้มีการประชุม เพื่อพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงสาระสำคัญของการจัดทำร่างดังกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้มีการเตรียมการตั้งแต่เมื่อครั้งมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ ตอนแรกคิดกันหลายวิธีว่าจะใช้กลไกอย่างไร สุดท้ายคิดว่า ถ้าฆราวาสจะปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ มีความชอบธรรมเพียงใด
ในที่สุดได้ข้อยุติว่า สิ่งที่ควรทำคือ ฆราวาสเป็นแค่ผู้เสนอแนะ แต่ผู้ที่จะขับเคลื่อนและนำไปปฏิบัติและสั่งการ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปได้อย่างแท้จริงคงต้องเป็นคณะสงฆ์เอง รัฐบาลคิดว่ากลไกที่จะขับเคลื่อนการปฏิรูปคณะสงฆ์ ต้องอยู่ที่มหาเถรสมาคม แต่ในอดีตมีจุดอ่อน คือ การที่มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง มีความเหมาะสมตามหลักอาวุโส แต่ในระยะหลังกว่าที่พระภิกษุจะขึ้นไปถึงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาก็จะมีอายุมากและอาพาธ ทำให้ไม่สามารถประชุมมหาเถรสมาคมได้
ประกอบกับระยะหลังเริ่มเกิดปัญหาขึ้น กรณีกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปมีปัญหาต้องคดีและถูกกล่าวหา ซึ่งสั่นสะเทือนความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน จึงคิดกันว่า ควรกลับไปใช้รูปแบบตาม พ.ร.บ.ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ใช้กันมาถึงรัชกาลที่ 8 จึงมีการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์
ทั้งนี้ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ มาตรา 3 ที่บัญญัติว่า เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแลการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่หลักของพระพุทธศาสนาให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้องดีงามโดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์จะคงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)
สำหรับองค์ประกอบของมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน 20 รูป ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันสมควรและจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่การปกครองสงฆ์ ซึ่งการแต่งตั้งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้
ทั้งนี้ กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง จะอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจจะได้รับการแต่งตั้งอีกก็ได้ ส่วนการพ้นจากตำแหน่งนั้น นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว ยังพ้นจากตำแหน่งเมื่อมรณภาพ พ้นจากความเป็นพระภิกษุ ลาออก พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการให้ออก
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ต้องเร่งเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะต้องการให้ทันกับกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมชุดปัจจุบันกำลังจะหมดวาระในอีกประมาณ 2 เดือน
หลังจากนั้น ที่ประชุม สนช.ได้มีมติเอกฉันท์ 217 เสียง เห็นชอบร่างแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยการพิจารณาของ สนช.เป็นการเห็นชอบ 3 วาระรวด
5.ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ “ทักษิณ” ใบที่ 4 คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่า 4 พันล้าน!
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรก คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท ถือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาฯ ได้จำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราวตั้งแต่ปี 2551 เนื่องจากนายทักษิณหลบหนีคดี และสั่งออกหมายจับนายทักษิณไปแล้ว แต่ ป.ป.ช.ได้ยื่นเรื่องต่อศาล ขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ให้อำนาจไว้ โดยสามารถนำกลับมารื้อฟื้นพิจารณาต่อไปได้ แม้ตัวจำเลยไม่มา
ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลาที่ศาลนัด อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่มีใครมา องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า นัดพิจารณาคดีครั้งแรกนี้ จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่เดินทางมาศาล และไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้อัยการโจทก์ติดตามจับกุมและรายงานต่อศาลทุกๆ 1 เดือน และกำหนดแนวทางตรวจพยานหลักฐานและสืบพยานต่อไป โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งต่อไปวันที่ 31 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น. และให้โจทก์ยื่นบัญชีพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่า 14 วัน รวมทั้งให้ส่งหมายแจ้งให้จำเลยทราบ หากไม่มีผู้รับ ให้ปิดหมายต่อไป
อนึ่ง การที่ศาลฯ ให้ออกหมายจับนายทักษิณในคดีนี้ นับเป็นใบที่ 4 แล้ว โดยหมายจับอีก 3 ใบก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย คดีออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท, คดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร กว่า 9.9 พันล้านบาท และคดีเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเข้าเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการคนใหม่ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ โดยมิชอบ