กองบัญชาการตำรวจนครบาล ชี้แจงกรณีคนขับรถยนต์ได้ขับรถหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณแยกพาหุรัด ตำรวจล้อมจับไว้ได้ คนขับยอมรับสารภาพ “ใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้” เผยมีโทษปรับ
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้โพสต์เรื่องราวจากกรณีคนขับรถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ ทะเบียน 6 กฆ 256 กรุงเทพมหานคร ได้ขับรถหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณแยกพาหุรัด เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยภายในรถยนต์ผู้ขับขี่ได้พาผู้โดยสารเป็นชาวต่างประเทศ (ชาวจีน) จำนวน 2 คน มาด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจึงได้แสดงตนเรียกตรวจ โดยได้ล้อมจับและพยายามที่จะล็อกล้อของรถยนต์คันดังกล่าว เนื่องจากคนขับรถยนต์ได้จอดในที่ห้ามจอด แต่รถยนต์คันดังกล่าวไม่หยุดรถให้ตรวจได้ขับรถต่อไปมาทางถนนพระพิพิธ
ภายหลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาชี้แจง ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้ขี่รถจักรยานยนต์ติดตามมาทันที่บริเวณข้างสถานีวิทยุสวนเจ้าเชตุ ถนนพระพิพิธ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ได้เรียกให้หยุดรถอีกครั้ง ซึ่งผู้ขับขี่ได้หยุดรถและจากนั้นชาวต่างชาติ 2 คนได้เดินลงจากรถไป เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจึงขอตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ได้ปิดกระจกรถแล้วได้ขับรถต่อไปเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามไปทันที่แยกพาหุรัด (ตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ) แต่ไม่มีผู้ใดหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ จนเจ้าหน้าที่ได้สั่งการให้นำรถจอดข้างทาง ใกล้แยกพาหุรัด ผู้ขับขี่จึงได้หยุดรถและลงมาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรงว่าผู้ขับขี่จะขับรถออกไปอีก จึงได้ใช้เครื่องบังคับล้อบังคับไว้ แล้วจึงได้ขอดูใบอนุญาตขับขี่ และแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้” ซึ่งเป็นผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ มาตรา 21 มีโทษตามมาตรา 60 ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ขณะนั้นผู้ขับขี่อยู่ในอาการตกใจ จึงได้เชิญมายัง สน.พระราชวัง เพื่อพบพนักงานสอบสวน และสงบสติอารมณ์ หลังจากมาถึง สน.พระราชวัง และได้หายตกใจแล้ว ได้ยอมรับสารภาพตามข้อหาดังกล่าวว่าตนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน มาส่งยังวัดโพธิ์ เพื่อรับสินจ้างจริง แต่ไม่ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมาย และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจ ซึ่งตนไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยถูกเรียกตรวจมาก่อน จึงได้เกิดความตกใจและขับรถออกไปโดยไม่ได้หยุดพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดเหตุตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ซึ่งต่อมาได้เข้าใจตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยินยอมชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบจำนวน 1,000 บาท พร้อมกับขอโทษผ่านสื่อ