xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ “ฮิโรโกะ ยามากิชิ” สาวญี่ปุ่นจิตอาสาในเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดใจ...สาวงามแดนปลาดิบ “ฮิโรโกะ ยามากิชิ” สละเวลาส่วนตัวมาเป็นจิตอาสาในประเทศไทย ช่วยเหลือผู้ป่วยโรค HIV ที่มูลนิธิบ้านร่มไทรจังหวัดเชียงใหม่ ที่วัดพระบาทน้ำพุ  ฮิโรโกะ ยามากิชิ  เป็นครูอาสาสอนภาษา ทำข้าวปั้น พับกระดาษโน้นนี้เพื่อเป็นประโยชนแก่ผู้ด้อยโอกาสย่านคลองเตย  ฮิโรโกะ ยามากิชิ เก็บขยะบนพื้นราดซีเมนส์ประเทศไทย...

คิมหันต์ฤดูแห่งการตัดสินใจ
ก้าวย่างการให้และจิตอาสา

“คุณพ่อเป็นแรงขับค่ะ เพราะว่าเรื่องของเรื่องในตอนนั้นเริ่มแรกเลยคืออยากไปต่างประเทศเพื่อไปเปิดโลกเปิดสังคมใหม่ ไม่ใช่เพราะมีจิตใจช่วยเหลือหรือตั้งมั่นอยากเป็นจิตอาสาแต่อย่างใด แต่เราไม่ชอบสังคมที่อยู่ของโรงเรียนมัธยมหญิงล้วน มีเพื่อน เราก็เหมือนอยู่คนเดียว ซึ่งอาจจะด้วยนิสัยเราที่ไม่ชอบอยู่เป็นกลุ่มๆ ชอบอยู่คนเดียว และนิสัยก็ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิง ก็รู้สึกว่าเรียนแบบผสมน่าจะดีกว่า เราก็เลยอยากจะไปอเมริกา ไปแคนาดา เพื่อที่จะไปเรียนภาษาอังกฤษด้วย และไปในเรื่องสังคมด้วย”

ปลาดิบสาวแดนอาทิตย์อุทัยกล่าวถึงจุดเริ่มต้นอันเป็นเหตุให้เข็มทิศชีวิตเบนออกจากเกาะมุ่งหน้าสู่ทะเล เปิดโลกพื้นที่อีกใบหนึ่งที่กว้างกว่า 377,972 ตร.กม. ของประเทศญี่ปุ่น

“แต่คุณพ่อท่านไม่อนุญาตเลยทันทีที่ได้ยิน”

เพราะสภาพอากาศแปรปรวนของพายุระดับ F2 ที่ความรุนแรงอาจทำให้น้ำทะเลมีคลื่นลมแรงจัดมาก เป็นอันตรายต่อการเดินเรือ โดยเฉพาะเรือเล็ก

“ท่านก็คงเห็นความฝันของเรา ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธเด็ดขาดว่าเราไม่มีทางที่จะได้ไปเลย ท่านก็ยื่นโจทย์ให้เราว่าถ้าสอบวัดระดับในการใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับเลเวล 2 ซึ่งเท่ากับระดับการเรียนภาษาอังกฤษของชั้น ม.ปลายได้ เราก็จะได้ไป

“นั่นคือครั้งที่ 1” ฮิโรโกะ กล่าว ก่อนจะเล่าต่ออย่างรวดเร็วซึ่งไม่ต่างจากครั้งที่ 2 และ 3 ที่ตามมาติดๆ

“คือส่วนหนึ่งที่ถูกปฏิเสธถึง 2 ครั้ง 3 ครั้ง เพราะท่านเป็นห่วงเรายังเด็กอยู่ และการเตรียมความพร้อม การที่เรารู้ใจตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราอยากจะไปจริงๆ นะ เรายังไม่ได้พิสูจน์อะไรให้ท่านเห็น นอกจากทำได้ตามที่ท่านวัดตัวเราแค่เรื่องสอบเรื่องเดียว นอกนั้นในเรื่องของการเตรียมพร้อมที่คุณพ่อย้อนถามว่า “เธอทำอะไรบ้างหรือยัง” ตรงนี้เรายังไม่ได้ทำ ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อม เช่น การเก็บเงิน การหาข้อมูลโรงเรียน หาที่พักอาศัย เราทำแค่สิ่งที่ท่านบอก เราไม่ได้แสดงทางด้านอื่นๆ โดยที่ไม่มีใครมาบังคับ ท่านก็ไม่เห็นถึงเจตจำนงที่แท้จริงว่าเราอยากไปจริงๆ เราก็รู้สึกว่าเราคงทำไม่ได้หรอกในตอนนั้น (ยิ้ม) ก็เครียดมาก เริ่มผมร่วงเป็นกระจุกๆ

“ก็เป็นอย่างนั้นที่ป่วยระยะหนึ่งเลย จนช่วง ม. 4-5 มีผู้หญิงอาสาคนหนึ่งมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับโรค HIV ในประเทศไทยให้เราฟังในโรงเรียน เลยทำให้เราได้รู้จักมูลนิธิบ้านร่มไทร ที่จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย เพราะหัวหน้าแกนหลักของมูลนิธิเป็นคนญี่ปุ่น เราก็สบช่องทางในการไปต่างประเทศ (หัวเราะ) เป็นทางลัดไปเลยก็ได้เพราะใช้เงินน้อยด้วย กินอยู่ที่มูลนิธิ แต่อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือเราเกิดความอยากช่วยเหลือขึ้นมาในใจ เนื่องจากเรารู้สึกว่าเพราะเราโดนว่าโดนด่าโดนตีจากพ่อ เราเลยไม่มีความมั่นใจในตัว เราจึงอยากจะไปเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เรารู้สึกว่าเราไม่มีค่า ถ้าไปช่วยคนที่เขาด้อยกว่าเรา อย่างนี้ตัวเองจะรู้สึกดีขึ้นหรือทำให้พ่อรู้สึกดีขึ้น

“ก็ซุ่มแอบเลยจ้าว...วางแผนตามที่คิดได้จากบทเรียนของที่คุณพ่อบอกเอง ทำงานเป็นโอเปอเรเตอร์หลังเลิกเรียนและวันที่ไม่มีเรียน ได้เงินชั่วโมงละ 1,500 เยน ตีเป็นเงินไทย 500 บาท ทำอยู่ 3 เดือน เก็บเงินได้ราวๆ 200,000 บาท แล้วก็ไปบอกขอท่านใหม่ แต่คุณพ่อไม่ให้ท่านห้ามไม่ให้ไป ถ้าไปตัดขาดพ่อลูก”

ว่ากันว่า ... ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น และวันนี้เธอทำได้ วันนี้เป็นวันของเธอ

“ท่านก็ยื่นขอเสนอให้อีก ก็ตรงตามที่เรารู้ว่าท่านมองเรายังเด็ก แม้ตอนนี้อายุ 31 ก็ยังเด็กในสายตาท่าน วันนั้นท่านก็คงรออยากให้เราบรรลุนิติภาวะ 20 ปี ก่อน ท่านบอกว่าถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จะให้ไป เราก็เลือกสอบมหาวิทยาลัยง่ายๆ (ยิ้ม) ก็สอบผ่าน ก็ได้ไป

“ก็เดินทางมาเมืองไทยซึ่งเปลี่ยนแปลงมุมมองของเราไปสิ้นเชิง จากนึกถึงตัวเองที่อยากมีความสุขของใจเรื่องสังคมและนิสัย อย่างที่บอกว่า ครอบครัวเราไม่สนิทกัน พ่อดุมาก อยู่คนละที่ ซึ่งไม่ใช่ครอบครัวที่ทุกคนหวังว่าอยากเป็นอย่างนี้ มันไม่โอเค มาอยู่ที่เชียงใหม่ พี่เลี้ยงแม่เลี้ยงในมูลนิธิดูแลเราแบบเหมือนน้องสาวหรือลูกสาวจริงๆ กลับญี่ปุ่นก็โทรหาเราทุกวัน น่ารักมาก ก็ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นมากทุกครั้งที่ไป

“ครอบครัวญี่ปุ่น แม่ พ่อ พี่สาวหรือคุณยายไม่เคยติดต่อมาเลยแบบนี้สักครั้ง ส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านอีเมล์เพราะคนญี่ปุ่น ว่ากันว่าสมัยก่อนถ้าไม่มีข้อความหรือจดหมายจากคนอื่น แสดงว่าเขาสบายดี มีอะไรจำเป็น ค่อยติดต่อ แต่ที่นี่แตกต่าง เมืองไทยทำให้เรารู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวและความรักที่มีต่อกัน”

ผลิความงามจากหัวใจ
อรุณรุ่งแห่งการช่วยเหลือ

“เพราะคนเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั้น เกิดจากความคิด”
ฮิโรโกะเผยความรู้สึกในเรื่องมุมมองการเสียสละช่วยเหลือจิตอาสาที่จาก 4-5 เดือนในครั้งแรก ครั้งที่ 2 เวลา 8 เดือนหรือครั้งที่ 3 ที่ตัดสินใจเลือกที่จะมาเรียนต่อที่เมืองไทยในด้านภาษาอังกฤษเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไปต่อที่ประเทศอเมริกาหรือแคนาดา ก็สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ภาคอินเตอร์คณะศิลปะศาสตร์ จนตอนนี้ก็อยู่ประเทศไทยทำงานก็ด้วยเหตุผลนี้

เป็นระยะเวลา10 กว่าปี นอกจากมูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วย HIV ในจังหวัดเชียงใหม่ เธอยังได้ลงแรงจิตอาสาที่วัดพระบาทน้ำพุ เป็นหนึ่งในสาวที่แบกพลั่วตักทรายแพ็คกระสอบกั้นน้ำที่สุวรรณภูมิ เป็นครูอาสาสอนอ่าน พูด เขียน ภาษาญี่ปุ่น สอนทำข้าวปั้น สอนพับกระดาษเป็นรูปต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถแก่คนด้อยโอกาสย่านชุมชนแออัดคลองเตยและโรงเรียนคนหูหนวก กระทั่งเก็บขยะ

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนบอกว่าไปอาสาชุมชนสลัม แม้ว่าเราจะไปหรือไม่ไปไม่ได้เปลี่ยนแปลง เราไม่มีอิทธิพลขนาดนั้น เราก็รู้สึกเสียใจ แม้ว่าสิ่งที่เขาบอก มันจะใช่จริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ยังอยู่ในแนวทางนี้คือไปอ่านเจอองค์กรหนึ่งเป็นองค์กรของคนญี่ปุ่นชื่อว่า ‘ใจกล้า’ เป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสังคมต่างประเทศทั่วโลก ในประเทศไทย เขาก็ได้เข้าไปจิตอาสาช่วยเหลือในชุมชนคลองเตย ซึ่งหนึ่งในผลผลิตนั้น ณ วันนี้ มีคนๆ หนึ่งเติบโตเป็นข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศของไทย

“เขาได้รับโอกาสทุนรัฐบาลเรียนจุฬาฯ สามารถพูดภาษารัสเซียได้ พูดภาษาอังกฤษได้ นั่นก็คืออีกมุมหนึ่ง อย่างน้อยๆ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมตรงนั้นทั้งหมด แต่มีสักคนหนึ่งที่ได้รับ มันก็คุ้มค่า

“เราเป็นเพียงแค่ตัวจุดประกาย เป็นตัวอย่างในทางที่ดี ชีวิตคือการเลือกตัดสินใจและถ้าการตัดสินใจนั้น ถ้าสิ่งที่เราทำและคนอื่นมีความสุข ฮิโรโกะก็มีความสุข นี่คือนิยามการช่วยเหลือการเป็นจิตอาสาของฮิโรโกะค่ะ”

จะเปลี่ยนคน เปลี่ยนสังคม
ต้องเปลี่ยนที่ความคิด

“ก็อยากให้คนไทยเล็งเห็นความสำคัญตรงนี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพร้อมเรื่องของความรัก การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน น้ำใจไมตรี เป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดในมุมมองฮิโรโกะ คือมาประเทศไทยครั้งแรกยังตกใจ สิ่งที่ได้เห็นครั้งแรก ณ ตอนนั้น เขาจะมีปัญหาเรื่องเงินหรืออะไรก็ตาม แต่เขาแฮปปี้ ยิ้ม สามารถยิ้มได้ หรือมีการไปมาหาสู่กันระหว่างครอบครัวเพื่อนบ้าน ต่างจากประเทศญี่ปุ่นทุกอย่างหรือระเบียบวัฒนธรรมหลายๆ อย่างทำให้ต้องเป๊ะๆ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากคนญี่ปุ่นชอบคิดอนาคตที่ไกลมากและชอบมองกลับไปอดีตย้อนเยอะ เพราะมีภัยพิบัติเยอะที่สุดโลก การจะอยู่รอดก็ต้องมองถึงอนาคตในการป้องกันและมองย้อนกลับไปเพื่อแก้ไขเรียนรู้จากอดีตที่เคยประสบ จุดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดูเครียดกันมาก หน้าตาเศร้า เป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะ

“แต่คนไทยน่ารัก และสังคมไทยน่าอยู่” ฮิโรโกะกล่าวตอบถึงเสน่ห์ที่มองต่อประเทศไทย

“อีกสิ่งสำคัญคือการให้ที่อยากให้ตระหนัก เพราะอาจจะเป็นดาบสองคม คือเราควรที่จะไม่ใช่เพียงบริจาคทรัพย์เพื่อช่วยเหลือ หากแต่อยากให้มองถึงเรื่องการลงแรงจิตอาสาด้วย ช่วยเหลือเพียงภายนอกอย่างบริจาคอะไรก็ตาม อาจจะส่งผลด้านลบมากกว่าบวก คือชีวิตเขาเปลี่ยน เมื่อความคิดของเขาเปลี่ยน คนเราเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ความคิด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่า เพราะจะเป็นแรงผลักในการส่งต่อสิ่งที่ดีๆ ให้แก่กันไม่จบสิ้น”




เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช



กำลังโหลดความคิดเห็น