หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกาหลีถูกแบ่งออกเป็น ๒ ประเทศโดยเส้นขนาน ๓๘ เกาหลีเหนืออยู่ในความดูแลของรัสเซีย ผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้อยู่ในความดูแลขององค์การสหประชาชาติ แต่แล้วในเดือนมิถุนายน ๒๔๙๓ เกาหลีเหนือก็ส่งทหารรุกล้ำเส้นขนาน ๓๘ ลงมา จึงเกิดการปะทะกับทหารสหประชาชาติที่ประจำการในเกาหลีใต้ สหประชาชาติจึงขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกในค่ายเสรีประชาธิปไตย ให้ส่งทหารไปช่วย
ไทยในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงครามเ ที่พ้นคดีอาชญากรสงครามกลับมาป็นนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้ไทยเข้ามีบทบาทในเวทีโลก จึงขานรับเป็นประเทศแรกว่าจะส่งทหารไปช่วยทั้ง ๓ เหล่าทัพ จำนวน ๑๐,๓๑๕ คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารบก คือกรมผสมที่ ๒๑ และผลัดแรกออกเดินทางไปในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ ถึงเมืองท่าพูซานในวันที่ ๗ พฤศจิกายน เป็นการออกไปรบนอกประเทศของทหารไทยครั้งที่ ๒ ต่อจากไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ถึงยุโรปสมัยรัชกาลที่ ๖
ขณะไปถึง กองบัญชาการสหประชาชาติ มีแผนจะพิชิตศึกให้ได้ในคริสต์มาสนั้น จึงให้ทหารไทยเดินทางสู่แนวหน้าที่กรุงเปียงยางอย่างเร่งด่วน ไม่มีเวลาให้คุ้นเคยกับอาวุธอเมริกันและสภาพอากาศหนาวเย็น ส่วนหน้าของกรมผสมที่ ๒๑ได้เดินทางถึงกรุงเปียงยางเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่กองกำลังทหารอาสาสมัครคอมมิวนิสต์จีนเริ่มต้นการรุกตอบโต้กำลังทหารสหประชาชาติ ทหารไทยจึงต้องเข้าสู่สมรภูมิในทันที และเสียชีวิตทหารคนแรกในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน
สงครามเกาหลีไม่ได้จบลงในคริสต์มาสนั้น ต้องรบกันยาวนานถึง ๓ ปีกับ ๑ เดือน ทหารไทยเสียชีวิตไปทั้งหมด ๑๓๖ คน แต่วีรกรรมของทหารไทยที่รบท่ามกลางหิมะซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต ก็เป็นที่กล่าวขานด้วยความชื่นชมกันมาก
วีรกรรมที่โด่งของทหารไทยเรื่องหนึ่งก็คือการรบที่เนินเขาพอร์คช็อป ซึ่งข้าศึกโหมเข้าโจมตีเพื่อจะชิงความได้เปรียบขณะมีการประชุมเพื่อหยุดยิงที่หมู่บ้านปันมุนจอม กองกำลังอาสาสมัครจีนได้โหมกำลังเข้าตีเนินนี้ซึ่งทหารไทยยึดอยู่ถึง ๕ ครั้ง แต่ก็ต้องล้มเหลวทุกครั้งจนต้องยกเลิกยุทธการไป เพราะทหารไทยต่อต้านอย่างเข้มแข็งแม้กำลังจะน้อยกว่า พลเอก เจมส์ เอ แวน ฟลีท ผู้บัญชาการกองทัพที่ ๘ ของสหรัฐที่ไปเยี่ยมถึงพอร์คชอปฮิลล์ได้กล่าวชื่นชมความแกร่งกล้าของทหารไทยมาก ให้สมญานาม ว่า “พยัคฆ์น้อย” หมายถึงแม้จะร่างเล็กแต่ก็สู้เหมือนเสือ และทำให้ทหารไทยได้รับเหรียญกล้าหาญถึง ๓๙ เหรียญ ในจำนวนนี้มีชื่อ พ.ท.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ซื่งต่อมาก็คือนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ ๑๕ รวมอยู่ด้วย
หลังการหยุดยิงในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๖ แล้ว ทหารสหประชาชาติส่วนใหญ่ได้กลับบ้าน แต่ทหารไทยถูกขอให้เข้าสมทบกับทหารสหรัฐ อยู่รักษาการณ์เพื่อป้องกันมิให้สงครามคุขึ้นมาอีก จนกระทั่งหน่วยสุดท้ายถอนออกจากเกาหลีกลับประเทศไทยในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๕
สิ่งที่คนเกาหลีแสดงออกถึงความซาบซึ้งในการเสียสละของทหารไทยในครั้งนี้ ก็คืออนุสาวรีย์ที่ระลึก เป็นรูปปั้นทหารไทยโอบกอดคนเกาหลี ร่วมกันก้าวเดินไปข้างหน้า สู่ความหวังของชีวิต
สิ่งที่ประทับใจทหารไทยมากที่สุดในการไปสงครามครั้งนี้ นอกจากมิตรภาพกับทหารอเมริกันที่ร่วมรบ รวมทั้งไมตรีจิตที่ชาวเกาหลีมอบให้จนเกิดนิยายหลายเรื่องแล้ว ก็คืออากาศที่หนาวเย็นจนถึงกระดูก เอ่ยปากกันว่า แม้แต่แดดที่เกาหลีก็ยังหนาว แต่อาหารอเมริกันที่ส่งไปบริการทหารถึงแนวหน้ากลางหิมะนั้น ก็ยังร้อนๆน่ากิน