ครั้งแรกของคนไทยที่ความมหัศจรรย์ในมนต์เสน่ห์ป่าหิมพานต์จากตัวหนังสือและภาพวาดจะได้โลดแล่นเด่นชัด เกิดขึ้นจริงกับตา ครั้งแรกที่ต่างชาติจะได้สัมผัสถึงเอกลักษณ์รากฐานความเป็นไทยอายุหลายร้อยปีให้เป็นที่ประจักษ์ชัดทุกมุมมอง

ด้วยผลงานของ “ชัยพร พานิชรุทติวงศ์” อดีตหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันพันธุ์ไทย การ์ตูนแห่งยุคเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างเรื่อง “ยักษ์” หรือกระทั่ง “ปังปอนด์แอนิเมชั่น” แอนิเมชันเรื่องแรกของคนไทยที่ได้ภาคภูมิก็ผ่านมือเขามาแล้ว และครั้งนี้เขากลับมาอีกหนในแบบอลังการกว่าเดิม ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม ในแอนิเมชันภาพยนตร์เรื่อง “ครุฑ”
อาจารย์หัวหน้าหลักสูตรปริญญาโท คณะดิจิทัลอาร์ต มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการศูนย์อาร์เอสยู แอนิเมชัน (RSU Animation) มีบทสนทนาเกี่ยวกับ “ครุฑ” ที่จะว่าไปก็เหมือนอีกหนึ่ง “ศึกมหายุทธ” ของแวดวงแอนิเมชั่นไทย...

• ทำไมถึงต้องเป็น “ครุฑ”?
เริ่มจากท่าน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เปรยว่ามีโครงเรื่องอโยธยาที่อยากจะทำ เราได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าถ้าเราจะทำอโยธยา ก็น่าจะมีบทเป็นหนังที่ให้คนสนใจ คืออโยธยาความรู้สึกแรกที่เราจะมาทำมันต้องเป็นคน ก็รู้สึกว่าคนมันเห็นคนกันอยู่แล้ว แอนิเมชัน 3D ถ้าทำคนในความรู้สึกผม คนก็ถ่ายคนเอา ซึ่งคาแรกเตอร์คนในแอนิเมชันแม้แต่ฝรั่งเองทำความรู้สึกก็ยังเหมือนไม่มีวิญญาณ ตายังลอยอยู่เลย และอีกอย่างหนึ่งคือเนื่องด้วยเหมือนคนเราเห็นการเคลื่อนไหวเราเป็นคอมพิวเตอร์ เราจะรู้สึกเองว่ามันมีการจับผิดได้
อย่างหนังเรื่องอวตาร เขาฉลาดที่เขาดึงวิญญาณของคนเข้าไปในมนุษย์ต่างดาว ตาใหญ่ๆ คนเขาก็จะให้อภัยว่านี่เป็นมนุษย์ เขาก็จะวิ่งไปที่เนื้อเรื่องเลย ไม่โฟกัสเรื่องแววตา หรือแม้แต่ทหารในเรื่องบางอย่างก็ยังมีข้อกำหนดไว้ว่า ถ้าทหารออกไปข้างนอกดาวตัวเองต้องใส่หน้ากาก พอใส่หน้ากากปุ๊บคนมันจะไม่เห็น คนจะเห็นแค่ชุดทหาร ก็จะมุ่งไปทางนั้นอย่างเดียว เราก็เลยเอาบทเรื่องอโยธยาไปคุยกับพี่วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง พี่เขาก็บอกว่าไหนๆ ก็ทำ 3D เขาก็มีในหัวเหมือนกัน
เราก็ลองทำป่าหิมพานต์ขึ้นมา เราเคยเห็นพญานาคอยู่ข้างกล่องไม้ขีดไฟ เราลองเอาพญานาคมาเคลื่อนไหวมีเหงือกเป็นปลา หายใจในน้ำ ส่วนพญาครุฑนั้นตอนเด็กๆ เราไม่เคยเห็นกางปีกเคลื่อนไหว เราลองเอาตรงนั้นมาอิงกับประวัติศาสตร์ โครงเรื่องมันก็เหมือนอโยธยาป่าหิมพานต์ สัตว์ต่างๆ ในป่าหิมพานต์ก็ออกมาให้เห็น มันเป็นแอนิเมชันภาพยนตร์เกี่ยวกับป่าหิมพานต์ก็ได้ความน่าสนใจขึ้น จากนั้นก็ไปเรียนท่าน ดร.อาทิตย์ นำเสนอ ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ด้วยเนื่องจากอ้างอิงประวัติศาสตร์ไทย คนก็จะสนใจเรื่องราวได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องผ่านมนุษย์ แต่ผ่านสัตว์จากจินตนาการ ให้ดูน่าสนุก ตื่นเต้น และสามารถถ่ายทอดเทคนิคของแอนิเมชันได้อย่างเต็มที่

เพราะในเนื้อเรื่องครุฑนี้ ตัวเอกเราอิงกับขุนพลด้วย ด้วยความที่เป็นนายทหาร ตรงนี้ก็จะตอบโจทย์ แต่ที่สำคัญคือมันยากมากเพราะมันต้องมีเพอร์มีขนนก แต่พอเวลาทำๆ ไปก็อิน ก็เริ่มไม่ยาก คาแรกเตอร์ก็เริ่มไหลออกมาจากบทที่มันแข็งแรง ซึ่งเราก็รับการร่วมมือทุกส่วนเป็นอย่างดี ตั้งแต่ ดร. อาทิตย์ ไปจนคนเขียนบท วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และอาจารย์กับนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตแต่ละคณะที่มาช่วย ดนตรีก็เอาคณะดนตรีมาบรรเลง เสียงทุกอย่างไม่ได้ทำจากคอมพิวเตอร์ เราประดิษฐ์ขึ้นมา ทำขึ้นมา
อย่างฉากที่ช้างไปดงพญาครุฑ บางทีอาจารย์กับนักศึกษาก็ไปสวนสัตว์ เขาก็ไปนั่งรอให้ช้างมาดมหญ้า ไปเอาเสียงจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายได้ข่าวมาว่าต้องใช้ที่ดูดส้วมไปถูกับกำแพงเพื่อให้มีเสียงช้างหายใจ อาจารย์ทางฝั่งวิทยาลัยดนตรีก็ได้ความรู้ในการแสวงหากับนักศึกษาก็ได้ความรู้เพื่อไปถ่ายทอดต่ออีกด้วย หรือทางคณะดิจิตอลเองเราก็จะเลือกนักศึกษามาทำเพื่อเราจะได้ทำอุตสาหกรรมอันนี้จริงๆ ทั้งดิจิทัลและดนตรี รวมทุกภาคส่วนในมหาวิทยาลัยได้มาเรียนรู้กับประสบการณ์ของจากหนังจริงๆ ก่อนจะออกไปทำงานนอกรั้วมหาวิทยาลัย

• นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะขับเคลื่อนวงการต่อไปในภายหน้าด้วย
ใช่ครับ เขาก็ได้เรียนรู้ทั้งความทรมาน ความเหนื่อยยาก ก็เหมือนเราออกกำลังกาย ถ้ากล้ามเนื้อไม่ฉีกบ้างมันก็ไม่ใหญ่ขึ้น เขาก็ได้เรียนรู้ เมื่อเทียบกับการลงทุนของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องครุฑทั้งหมด 80 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจาก 80 ล้านตรงนี้เรายังเหลือศูนย์อาคารคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เทคโนโลยีอะไรทุกอย่างให้อาจารย์กับนักศึกษารุ่นต่อๆ ไปได้ทำต่อไปอีก ไม่ใช่แค่หนังอย่างเดียว เราสร้างหนัง และสร้างเด็กสร้างชาติสร้างการศึกษาขึ้นมา คุ้มค่ามาก เพราะพอเรามีครบแล้ว จากภาพยนตร์เพียงหนึ่งเรื่อง เราสามารถต่อยอดไปต่อเนื่องในเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาโดยฝีมือคนไทย
อนาคตอุตสาหกรรมแอนิเมชันคนไทยได้พัฒนาต่อไปแบบต่างชาติระดับโลก โดยเราจะเห็นได้จากอันดับแรกในความพิเศษของเรื่องนี้ที่มีวิวัฒนาการของแอนิเมชันบ้านเรา คือการคอนโทรล เรื่องนี้มันดูเหมือนเคลื่อนไหวน้อย แต่จริงๆ มันเยอะ และคาแรกเตอร์บางอย่างในทางเทคนิค อาทิ พญาครุฑ หรือที่เราเห็นคาแรกเตอร์มันเป็นขุนพลจะเคลื่อนไหวยืดหดแบบแอนิเมชันทั่วไปไม่ได้ เราต้องเคลื่อนไว้ให้ใหญ่ แสดงให้ใหญ่ เคลื่อนไหวด้วยสายตา
ครั้งที่แอนิเมเตอร์ส่งมาให้ดูตัวที่เป็นขุนพลเคลื่อนไหวแบบแอนิเมชัน มันรวดเร็วไปหมดเลย ความสง่างาม การสั่งการลูกน้องข้างหลัง มันโอเวอร์เกินไป เลยต้องสั่งให้หยุด ต้องให้สโลว์นิดหนึ่งคือต้องยิ่งใหญ่จริงๆ แล้วก็เคลื่อนไหวนิดหน่อย สั่งลูกน้องข้างหลังและใช้สายตาสำคัญ มันเหมือนเคลื่อนไหวน้อยแต่เคลื่อนไหวเยอะ ขนาดที่พญาครุฑที่ยืนอยู่ก็ต้องให้รู้สึกว่าหายใจ รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ เนื่องจากถ้าเคลื่อนไหวเยอะเหมือนทหารข้างหลังมันก็ไม่มีความเป็นขุนพล เรื่องนี้จึงต้องคอนโทรลการเคลื่อนไหวให้มากกว่าแอนิเมชันปกติและดำรงคาแรคเตอร์นี้เอาไว้ให้ได้
นี่คือส่วนหนึ่งของการได้สร้างสรรค์มิติใหม่ๆ ของวงการแอนิเมชันบ้านเรา จินตนาการลึกล้ำมากยิ่งขึ้น เรื่องราวความเป็นไทยของบ้านเรา รวมไปถึงการแอ็กชันมันจะสูงขึ้นในศาสตร์ลึกๆ ซึ่งข้างนอกจะดูมันมีคาแรกเตอร์ที่แปลกใหม่มากขึ้น จะเห็นได้ตั้งแต่การแต่งกายที่ดีไซน์อย่างละเอียดงดงามเหมือนระดับฮอลลีวูด
ในส่วนของเรื่องก็เช่นเดียวกัน เราเทียบเท่าได้ โดยเรื่องย่อของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ในบทเป็นจินตนาการที่เกิดก่อนที่มนุษย์จะจินตนาการได้ คือมันเป็นโลกของสัตว์หิมพานต์ที่มีการแย่งชิงแล้วมีอโยธยาเมืองของครุฑ มียักษ์มาบุกจนครุฑเมืองพังไป ก็เลยต้องข้ามทะเลสาบไปป่าหิมพานต์เพื่อขอร้องให้สัตว์ในนั้นช่วยกอบกู้เมืองอโยธยา ทว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์นั้นก็เป็นศัตรูเก่า แล้วจะต้องดึงยังไงให้ศัตรูเก่ามาช่วยกอบกู้อโยธยา ศัตรูมาเป็นมิตรจะทำได้อย่างไร ทุกอย่างก็มีมิติ มีความสลับสับซ้อนผสมเทคนิคและจินตนาการไม่แพ้กัน

• สัตว์ในป่าหิมพานต์นอกจากพญาครุฑแล้วยังมีอะไรอีกบ้าง
พญานาค กินนร กินรี นรสิงห์ คชสีห์ ที่ดีไซน์มาจากจินตนาการ อย่าง คชสีห์ ส่วนมากเราก็จะนึกถึงหน้าเป็นสิงโต แต่ชื่อช้างนำหน้า มันเป็นช้างกับสิงโต ถ้าหัวสิงโตตัวเป็นช้างมันก็จะไม่น่าสนใจ เราก็ทำหัวช้างแต่ตัวเป็นสิงโต วิ่งเร็วแบบสิงโต แต่หนักเท่าช้าง เป็นต้น ก็เป็นโอกาสที่มหาวิทยาลัยรังสิตให้โอกาสในการที่จะดีไซน์บางอย่างที่อิงกับชื่อจริงๆ แล้วเราดึงกลับมาดีไซน์เป็นรูปแบบใหม่ตามจินตนาการที่เราคิดได้โดยอ้างอิงจากพื้นฐานในหนังสือ
นอกจากนี้ยังมีสัตว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ สัตว์ในป่าหิมพานต์ มันก็สนุกดี ทว่านอกจากเรื่องที่บอก จุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ ครอบครัวถ้าไปดู คุณพ่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของครุฑในสงครามความเป็นผู้นำ คุณแม่ก็ได้เห็นความสวยงาม ความโอบอ้อมอารีของกินรี ลูกๆ จะได้เห็นป่าหิมพานต์ในจินตนาการ โดยฉากที่เด่นๆ ข้างหน้าเราจะไม่รู้ว่าจะเจอกับตัวอะไร มันตื่นเต้นตรงนั้น ลุ้นตามว่าจะเจอคชสีห์ เจอพญานาค มันจะคาดเดาไม่ได้ในฉากต่อไป ควบคู่ไปกับความแข็งแรงของเรื่องโดยที่ไม่หนักไปสำหรับเด็ก มันคือความสามัคคีกันเพื่อชาติ จริงๆ มันเป็นความสนุกความฮึกเหิม ยิ่งใหญ่ ตระหนักถึงการเสียสละการทดแทนคุณแผ่นดิน
• คาดหวังแค่ไหนกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็คาดหวัง เพราะเราเหมือนมีความตั้งใจที่จะทำทุกอย่างมันก็จารึกชื่อเราเอาไว้คือหนัง ทุกอย่างที่เราทำไปมันก็ต้องฝันไปกับเรา ทุกอย่างมันบันทึกชื่อเรา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด พอทำไปรู้สึกว่าเรื่องนี้มันสนุกและดี ก็คาดหวังอยากให้คนไปดูเพราะว่ามนุษย์เราถ้าไม่มีความคาดหวังหรือแรงกระตุ้นมันก็อาจจะล้มเลิกได้กลางคัน ยิ่งภาพยนตร์ไทย อุตสาหกรรมแอนิเมชันยังไม่ค่อยต่อเนื่อง อยากให้เราได้รับรู้ถึงฝีมือ ความมุ่งมั่น ก็คาดหวังซึ่งมันก็ทำให้เราทำเต็มที่จนสำเร็จอย่างในวันนี้
• ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหา เท่าที่เรารู้ๆ กันว่าวงการอุตสาหกรรมแอนิเมชันไทยไม่ได้โอ่อ่าอย่างต่างประเทศ แต่ก็สามารถทำได้ในระดับนี้ด้วยทุนเพียงแค่นี้เท่านั้น
แอนิเมชันทุกย่างมันมีปัญหา แต่เปรียบคือที่เห็นตอนนี้เหมือนเราอาบน้ำมาแล้ว จริงๆ มีเหงื่อ มีเลือด เป็นคราบน้ำตาอยู่ในฟิล์มเลย เพราะว่าการทำหนังเรื่องหนึ่งมันทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนิเมชันไทยมันมีฟังก์ชันที่หลายอย่างเกินการควบคุม เช่นพวกคอมพิวเตอร์ที่ตอนแรกเราอยากลองสร้างขน หรือระเบิดน้ำ มันเป็นของใหม่ๆ ของบ้านเรา มันเลยสร้างภาพได้ยาก ทั้งไหนจะเรื่องคาแรกเตอร์
คือเราไม่ได้ตั้งว่ามันคือภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน เราอยากให้มันเป็นภาพยนตร์แอเนิเมชัน ก็เลยลองทุกอย่างที่มันเป็นภาพยนตร์ ซึ่งครุฑจะเป็นเทกเจอร์ที่ไม่มีขนขนาดนี้ก็จะง่ายกว่านี้ พญานาคว่ายในน้ำ เราหลบกล้องก็ได้ แต่เราต้องทำ เพราะทุกอย่างมันเป็นประโยชน์แก่วงการบ้านเรา มันเป็นการลองวิชาและเพิ่มขีดจำกัดของตัวเราเอง ทุกกฎที่ห้ามทำเราลองทำหมด ซึ่งในตอนที่ทำระหว่างกลางเรื่องเราเคยคิดว่าผิดหรือเปล่า เพราะว่าเทคนิคและเรื่องเราพยายามจะไปอันใหม่ เราอยากให้คนเห็น อยากทำให้ออกมาแล้วหนังมันตรงตามเนื้อเรื่อง พอผ่านครึ่งเรื่องเราก็มีกำลังใจว่าทำได้ ก็ทำต่อ

• ใช้ระยะเวลานานแค่ไหนในการสร้าง
4 ปี กว่าจะได้ 1 เรื่องนี้ มีความยากทุกขั้นตอน ทั้งที่อาจจะทำให้มันง่ายก็ได้ ก็พยายามทำให้มันยากแบบที่ควร เพื่อจุดประสงค์อย่างที่บอกกล่าวไปว่าวงการแอนิเมชันไทยได้พัฒนา ก็ภูมิใจมากนับวัดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สามารถ ไม่อายใครในการศิลปะ แต่ในด้านเทคนิคอุปกรณ์เขายังใหญ่กว่าเรา ก็อาจจะมีบางคนบอกว่าเราสู้เขาไม่ได้ แต่เราอาจจะกลัวความเป็นไทยของเรากันเอง พอฝรั่งทำ เราก็เลยชอบเขามากกว่า แต่ถ้าเราทำเราแล้วช่วยกันเราก็จะรักของเรา เพราะมันสืบต่อให้ลูกให้หลาน
เราทำให้คนไทยดูก่อน ถ้ามันดังหรือมันรู้สึกว่าคนไทยยังรัก ต่างชาติเขาก็ต้องรักเพราะความเป็นไทยที่อยู่ในไทยแบบที่เราเห็นทั่วไปเลยแต่ไม่ค่อยรู้สึก กลับกัน ฝรั่งเขามาถ่ายรูปกับศิลปวัฒนธรรมไทยแบบดูตื่นเต้นมาก แต่เราไม่เคยตื่นเต้นเพราะมันใกล้ตัว เราปล่อยให้เขาตื่นเต้นภูมิใจไม่ได้ เราก็ต้องอย่างนั้นด้วยกับความเป็นไทยของเรา อย่างนี้ทิศทางอนาคตข้างหน้าในแวดวงอุตสาหกรรมแอนิเมชันบ้านเราจะก้าวพัฒนาต่อไปได้อย่างไร
แอนิเมชันและแอนิเมเตอร์ทุกคนอยากทำหนังของตัวเองและได้ลงบนจอ ทุกคนมีความฝัน มีความตั้งใจ แต่อุตสาหกรรมตรงนี้บ้านเราไม่ต่อเนื่อง จริงๆ ฝรั่งเขาก็ทำกันใช้เวลาเรื่องหนึ่ง 4-5 ปี แต่มันต่อเนื่อง อย่างค่ายพิกซาร์ทำ 4-5 ปีต่อเรื่องหนึ่ง ในระหว่างที่ทำทางดรีมเวิร์กส์ทำบทเริ่มสร้าง เราเลยเหมือนว่าเราเห็นของเขาเกือบทุกปีหรือครึ่งปีได้ชม เพราะว่าอุตสาหกรรมมันต่อเนื่อง แต่บ้านเราทำเรื่องนี้เสร็จเราต้องไปหาทุนต่อ ในขณะที่หาทุนหรือทำอยากจะให้มีบริษัทใหม่ๆ ช่วยทำด้วย เราไม่ต้องทำเป็นไทยสากลก็ได้ แต่มันจะมีบรรยากาศความเป็นไทยเหมือนแอนิเมชันของคุณ ฮายาโอะ มิยาซากิ เด็กใส่ชุดธรรมดาทั่วไป แต่บรรยากาศมันเป็นประเทศญี่ปุ่น มันก็สร้างการเรียนรู้และจดจำว่าเป็นแอนิเมชันของเขา
แต่พอมันขาดความต่อเนื่องมันก็กระตุกไปเรื่อยๆ อย่างกว่าจะเป็นปังปอนด์แอนิเมชัน มาเรื่องก้านกล้วยมันก็ 20 กว่าปี อุตสาหกรรมไทยกำลังจะโตก็บาดเจ็บกันและหายไปก็ขึ้นมาแล้ว ก็มีเรื่องยักษ์หายไปตั้งหลายปี จนมามีเรื่อง 9 ศาสตรา และก็มีเรื่องครุฑ เราอยากให้มีต่อเนื่อง ไม่ได้ทำแข่ง แต่มีที่หายใจมีที่ทำต่อ มีที่ทางเลือกเหมือนฝรั่ง เพราะถ้าไม่สนับสนุนกันก็ตายทั้งหมู่คณะอุตสาหกรรมแอนิเมชันไทย เนื่องจากมันไม่มีตลาด แอนิเมเตอร์นี้พอจบเรื่องนี้ไปจะไปไหนต่อเพราะบริษัทนี้ก็ไม่มี นั้นก็ไม่มี ก็เรียบร้อยทั้งหมด ความรู้ที่เราเรียนมาก็ไม่ใช้ เพราะไม่ได้ลองของจริงเลย เพราะอุตสาหกรรมแอนิเมชันมันตายหมดแล้ว

• บ้านเราจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ในอนาคตที่จะตาย...
ไม่ได้ริบหรี่ คือถ้าทุกคนตั้งใจทำช่วยกัน มันต้องมีแรงผลัก ไม่ใช่แค่คนในวงการ นายทุน หรือกระทั่งรัฐบาล เพราะแอนิเมชันมันเป็นศาสตร์ศิลปะเกือบทุกสายมารวมกัน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะการวาดรูป การขึ้นโมเดล การเคลื่อนไหว บทการเขียน ดนตรี แต่หลายๆ คนคิดว่าแอนิเมชันมันเป็นหนังเด็ก ควรจะลงทุนน้อย มันจะพัฒนาได้อย่างไรถ้าทำแบบไม่ค่อยดีให้เด็กดู เด็กเยาวชนก็จะโตกับคุณภาพหนังแอนิเมชันไม่ค่อยดี ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องมาสงสาร แต่เรารู้สึกว่าเราช่วยกันเพื่ออนาคตของตัวเราเองและคนไทยทั้งชาติ
ทั้งที่แอนิเมเตอร์บ้านเรามีมากพอสมควร แต่พออุตสาหกรรมไม่ต่อเนื่องเขาก็อาจจะไปประกอบอาชีพอื่น เสียดายความรู้ บางคนเก่งๆ ก็ไปทำต่างประเทศก็มี บางคนก็เก่งด้วยแต่โอกาสยังไม่ให้ก็ไปทำอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่สายแอนิเมเตอร์ซึ่งเรายังต้องการและเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนา
ถ้าอุตสาหกรรมมันเยอะ แอนิเมเตอร์ระดับกลาง ระดับประสบการณ์ก็จะได้ฝึกเรื่อยๆ จนกลายเป็นแอนิเมเตอร์ที่เก่งทั้งประเทศ แต่มันไม่มีที่ให้ฝึก บริษัทดีๆ เรามีเยอะแต่มันไม่ต่อเนื่องหายไป พอรวมกันก็สองปีหายไป สามปีหายไป เดี๋ยวก็มาสอดกันแต่มันไม่ต่อเนื่อง อยากให้มันต่อเนื่องมีทุกปี ทุกอาทิตย์ยิ่งดีแอนิเมชันไทยมีฉาย แล้วพอคนเขาเห็นความต่อเนื่องต่างชาติเห็นว่าต่อเนื่อง เขาก็อาจจะหันมามองเหมือนที่เราเห็นของเขาทุกปีหรือทุกครึ่งปี

ก็หวังไว้ว่ามันจะยังมีอยู่ไปตลอดไป ซึ่งจริงๆ หวังตั้งแต่แรกๆ ที่มันยังไม่มีภาควิชาแอนิเมชันเลย ผมยังทำตั้งแต่แรกๆ ตอนนั้นแอนิเมเตอร์สมัยนั้นเป็นคนจบคณะสังคมศาสตร์ คณะบริหาร คณะนิเทศ แต่ทุกคนรักการ์ตูน ผมเลือกจากความรักก่อน ตอนนั้นก็กระท่อนกระแท่นกว่านี้ แต่อุตสาหกรรมกำลังโต มีคนสนับสนุนเยอะ แต่พอมันเริ่มจะมีสถาบันมันดันผลิตน้อยลงทั้งๆ ที่บุคลากรนักศึกษาเรามีความเก่งกันมาก ที่สำคัญความเก่งในด้านนี้มันมาจากความขยัน ไม่มีใครมีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด แอนิเมเตอร์มันมีพรแสวงของที่ต้องพยายามก่อน หัดสังเกตการเคลื่อนไหว ยืดหดบางอย่างใช้กับเรื่องนี้ได้ใช้กับเรื่องนั้นไม่ได้ ต้องฝึกเยอะๆ แล้วมันจะคลิกเอง พรสวรรค์ที่เราเก็บไว้มันจะออกมาเอง ทุกอาชีพก็เหมือนกันมันมีหลายระดับไม่อย่างนั้นก็มีคนเก่งเท่ากันหมด มันไม่เท่ากันฉะนั้นต้องขยันก่อนแล้วมันก็จะมาเอง
เราก็ยังคงเดินหน้าทำต่อไป ตอนนี้มีคนเขียนบทมาหรือคุยบ้าง แต่อยากทำทีละอย่าง ขอชาร์จพลังสักเดือนหนึ่งก่อน น่าจะหลังจากภาพยนตร์แอนิเมชันครุฑฉายแล้ววันที่ 19 ทั่วประเทศไทย น่าจะมีความเคลื่อนไหวเพื่อสานต่อในเรื่องตรงนี้ เรื่องที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ




เรื่องและภาพ : รายการพระอาทิตย์ไลฟ์
เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ด้วยผลงานของ “ชัยพร พานิชรุทติวงศ์” อดีตหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันพันธุ์ไทย การ์ตูนแห่งยุคเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างเรื่อง “ยักษ์” หรือกระทั่ง “ปังปอนด์แอนิเมชั่น” แอนิเมชันเรื่องแรกของคนไทยที่ได้ภาคภูมิก็ผ่านมือเขามาแล้ว และครั้งนี้เขากลับมาอีกหนในแบบอลังการกว่าเดิม ยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม ในแอนิเมชันภาพยนตร์เรื่อง “ครุฑ”
อาจารย์หัวหน้าหลักสูตรปริญญาโท คณะดิจิทัลอาร์ต มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการศูนย์อาร์เอสยู แอนิเมชัน (RSU Animation) มีบทสนทนาเกี่ยวกับ “ครุฑ” ที่จะว่าไปก็เหมือนอีกหนึ่ง “ศึกมหายุทธ” ของแวดวงแอนิเมชั่นไทย...
• ทำไมถึงต้องเป็น “ครุฑ”?
เริ่มจากท่าน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เปรยว่ามีโครงเรื่องอโยธยาที่อยากจะทำ เราได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าถ้าเราจะทำอโยธยา ก็น่าจะมีบทเป็นหนังที่ให้คนสนใจ คืออโยธยาความรู้สึกแรกที่เราจะมาทำมันต้องเป็นคน ก็รู้สึกว่าคนมันเห็นคนกันอยู่แล้ว แอนิเมชัน 3D ถ้าทำคนในความรู้สึกผม คนก็ถ่ายคนเอา ซึ่งคาแรกเตอร์คนในแอนิเมชันแม้แต่ฝรั่งเองทำความรู้สึกก็ยังเหมือนไม่มีวิญญาณ ตายังลอยอยู่เลย และอีกอย่างหนึ่งคือเนื่องด้วยเหมือนคนเราเห็นการเคลื่อนไหวเราเป็นคอมพิวเตอร์ เราจะรู้สึกเองว่ามันมีการจับผิดได้
อย่างหนังเรื่องอวตาร เขาฉลาดที่เขาดึงวิญญาณของคนเข้าไปในมนุษย์ต่างดาว ตาใหญ่ๆ คนเขาก็จะให้อภัยว่านี่เป็นมนุษย์ เขาก็จะวิ่งไปที่เนื้อเรื่องเลย ไม่โฟกัสเรื่องแววตา หรือแม้แต่ทหารในเรื่องบางอย่างก็ยังมีข้อกำหนดไว้ว่า ถ้าทหารออกไปข้างนอกดาวตัวเองต้องใส่หน้ากาก พอใส่หน้ากากปุ๊บคนมันจะไม่เห็น คนจะเห็นแค่ชุดทหาร ก็จะมุ่งไปทางนั้นอย่างเดียว เราก็เลยเอาบทเรื่องอโยธยาไปคุยกับพี่วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง พี่เขาก็บอกว่าไหนๆ ก็ทำ 3D เขาก็มีในหัวเหมือนกัน
เราก็ลองทำป่าหิมพานต์ขึ้นมา เราเคยเห็นพญานาคอยู่ข้างกล่องไม้ขีดไฟ เราลองเอาพญานาคมาเคลื่อนไหวมีเหงือกเป็นปลา หายใจในน้ำ ส่วนพญาครุฑนั้นตอนเด็กๆ เราไม่เคยเห็นกางปีกเคลื่อนไหว เราลองเอาตรงนั้นมาอิงกับประวัติศาสตร์ โครงเรื่องมันก็เหมือนอโยธยาป่าหิมพานต์ สัตว์ต่างๆ ในป่าหิมพานต์ก็ออกมาให้เห็น มันเป็นแอนิเมชันภาพยนตร์เกี่ยวกับป่าหิมพานต์ก็ได้ความน่าสนใจขึ้น จากนั้นก็ไปเรียนท่าน ดร.อาทิตย์ นำเสนอ ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ด้วยเนื่องจากอ้างอิงประวัติศาสตร์ไทย คนก็จะสนใจเรื่องราวได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องผ่านมนุษย์ แต่ผ่านสัตว์จากจินตนาการ ให้ดูน่าสนุก ตื่นเต้น และสามารถถ่ายทอดเทคนิคของแอนิเมชันได้อย่างเต็มที่
เพราะในเนื้อเรื่องครุฑนี้ ตัวเอกเราอิงกับขุนพลด้วย ด้วยความที่เป็นนายทหาร ตรงนี้ก็จะตอบโจทย์ แต่ที่สำคัญคือมันยากมากเพราะมันต้องมีเพอร์มีขนนก แต่พอเวลาทำๆ ไปก็อิน ก็เริ่มไม่ยาก คาแรกเตอร์ก็เริ่มไหลออกมาจากบทที่มันแข็งแรง ซึ่งเราก็รับการร่วมมือทุกส่วนเป็นอย่างดี ตั้งแต่ ดร. อาทิตย์ ไปจนคนเขียนบท วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง และอาจารย์กับนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตแต่ละคณะที่มาช่วย ดนตรีก็เอาคณะดนตรีมาบรรเลง เสียงทุกอย่างไม่ได้ทำจากคอมพิวเตอร์ เราประดิษฐ์ขึ้นมา ทำขึ้นมา
อย่างฉากที่ช้างไปดงพญาครุฑ บางทีอาจารย์กับนักศึกษาก็ไปสวนสัตว์ เขาก็ไปนั่งรอให้ช้างมาดมหญ้า ไปเอาเสียงจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายได้ข่าวมาว่าต้องใช้ที่ดูดส้วมไปถูกับกำแพงเพื่อให้มีเสียงช้างหายใจ อาจารย์ทางฝั่งวิทยาลัยดนตรีก็ได้ความรู้ในการแสวงหากับนักศึกษาก็ได้ความรู้เพื่อไปถ่ายทอดต่ออีกด้วย หรือทางคณะดิจิตอลเองเราก็จะเลือกนักศึกษามาทำเพื่อเราจะได้ทำอุตสาหกรรมอันนี้จริงๆ ทั้งดิจิทัลและดนตรี รวมทุกภาคส่วนในมหาวิทยาลัยได้มาเรียนรู้กับประสบการณ์ของจากหนังจริงๆ ก่อนจะออกไปทำงานนอกรั้วมหาวิทยาลัย
• นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะขับเคลื่อนวงการต่อไปในภายหน้าด้วย
ใช่ครับ เขาก็ได้เรียนรู้ทั้งความทรมาน ความเหนื่อยยาก ก็เหมือนเราออกกำลังกาย ถ้ากล้ามเนื้อไม่ฉีกบ้างมันก็ไม่ใหญ่ขึ้น เขาก็ได้เรียนรู้ เมื่อเทียบกับการลงทุนของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องครุฑทั้งหมด 80 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจาก 80 ล้านตรงนี้เรายังเหลือศูนย์อาคารคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เทคโนโลยีอะไรทุกอย่างให้อาจารย์กับนักศึกษารุ่นต่อๆ ไปได้ทำต่อไปอีก ไม่ใช่แค่หนังอย่างเดียว เราสร้างหนัง และสร้างเด็กสร้างชาติสร้างการศึกษาขึ้นมา คุ้มค่ามาก เพราะพอเรามีครบแล้ว จากภาพยนตร์เพียงหนึ่งเรื่อง เราสามารถต่อยอดไปต่อเนื่องในเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมาโดยฝีมือคนไทย
อนาคตอุตสาหกรรมแอนิเมชันคนไทยได้พัฒนาต่อไปแบบต่างชาติระดับโลก โดยเราจะเห็นได้จากอันดับแรกในความพิเศษของเรื่องนี้ที่มีวิวัฒนาการของแอนิเมชันบ้านเรา คือการคอนโทรล เรื่องนี้มันดูเหมือนเคลื่อนไหวน้อย แต่จริงๆ มันเยอะ และคาแรกเตอร์บางอย่างในทางเทคนิค อาทิ พญาครุฑ หรือที่เราเห็นคาแรกเตอร์มันเป็นขุนพลจะเคลื่อนไหวยืดหดแบบแอนิเมชันทั่วไปไม่ได้ เราต้องเคลื่อนไว้ให้ใหญ่ แสดงให้ใหญ่ เคลื่อนไหวด้วยสายตา
ครั้งที่แอนิเมเตอร์ส่งมาให้ดูตัวที่เป็นขุนพลเคลื่อนไหวแบบแอนิเมชัน มันรวดเร็วไปหมดเลย ความสง่างาม การสั่งการลูกน้องข้างหลัง มันโอเวอร์เกินไป เลยต้องสั่งให้หยุด ต้องให้สโลว์นิดหนึ่งคือต้องยิ่งใหญ่จริงๆ แล้วก็เคลื่อนไหวนิดหน่อย สั่งลูกน้องข้างหลังและใช้สายตาสำคัญ มันเหมือนเคลื่อนไหวน้อยแต่เคลื่อนไหวเยอะ ขนาดที่พญาครุฑที่ยืนอยู่ก็ต้องให้รู้สึกว่าหายใจ รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ เนื่องจากถ้าเคลื่อนไหวเยอะเหมือนทหารข้างหลังมันก็ไม่มีความเป็นขุนพล เรื่องนี้จึงต้องคอนโทรลการเคลื่อนไหวให้มากกว่าแอนิเมชันปกติและดำรงคาแรคเตอร์นี้เอาไว้ให้ได้
นี่คือส่วนหนึ่งของการได้สร้างสรรค์มิติใหม่ๆ ของวงการแอนิเมชันบ้านเรา จินตนาการลึกล้ำมากยิ่งขึ้น เรื่องราวความเป็นไทยของบ้านเรา รวมไปถึงการแอ็กชันมันจะสูงขึ้นในศาสตร์ลึกๆ ซึ่งข้างนอกจะดูมันมีคาแรกเตอร์ที่แปลกใหม่มากขึ้น จะเห็นได้ตั้งแต่การแต่งกายที่ดีไซน์อย่างละเอียดงดงามเหมือนระดับฮอลลีวูด
ในส่วนของเรื่องก็เช่นเดียวกัน เราเทียบเท่าได้ โดยเรื่องย่อของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้ในบทเป็นจินตนาการที่เกิดก่อนที่มนุษย์จะจินตนาการได้ คือมันเป็นโลกของสัตว์หิมพานต์ที่มีการแย่งชิงแล้วมีอโยธยาเมืองของครุฑ มียักษ์มาบุกจนครุฑเมืองพังไป ก็เลยต้องข้ามทะเลสาบไปป่าหิมพานต์เพื่อขอร้องให้สัตว์ในนั้นช่วยกอบกู้เมืองอโยธยา ทว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์นั้นก็เป็นศัตรูเก่า แล้วจะต้องดึงยังไงให้ศัตรูเก่ามาช่วยกอบกู้อโยธยา ศัตรูมาเป็นมิตรจะทำได้อย่างไร ทุกอย่างก็มีมิติ มีความสลับสับซ้อนผสมเทคนิคและจินตนาการไม่แพ้กัน
• สัตว์ในป่าหิมพานต์นอกจากพญาครุฑแล้วยังมีอะไรอีกบ้าง
พญานาค กินนร กินรี นรสิงห์ คชสีห์ ที่ดีไซน์มาจากจินตนาการ อย่าง คชสีห์ ส่วนมากเราก็จะนึกถึงหน้าเป็นสิงโต แต่ชื่อช้างนำหน้า มันเป็นช้างกับสิงโต ถ้าหัวสิงโตตัวเป็นช้างมันก็จะไม่น่าสนใจ เราก็ทำหัวช้างแต่ตัวเป็นสิงโต วิ่งเร็วแบบสิงโต แต่หนักเท่าช้าง เป็นต้น ก็เป็นโอกาสที่มหาวิทยาลัยรังสิตให้โอกาสในการที่จะดีไซน์บางอย่างที่อิงกับชื่อจริงๆ แล้วเราดึงกลับมาดีไซน์เป็นรูปแบบใหม่ตามจินตนาการที่เราคิดได้โดยอ้างอิงจากพื้นฐานในหนังสือ
นอกจากนี้ยังมีสัตว์ตัวเล็กๆ น้อยๆ สัตว์ในป่าหิมพานต์ มันก็สนุกดี ทว่านอกจากเรื่องที่บอก จุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ ครอบครัวถ้าไปดู คุณพ่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของครุฑในสงครามความเป็นผู้นำ คุณแม่ก็ได้เห็นความสวยงาม ความโอบอ้อมอารีของกินรี ลูกๆ จะได้เห็นป่าหิมพานต์ในจินตนาการ โดยฉากที่เด่นๆ ข้างหน้าเราจะไม่รู้ว่าจะเจอกับตัวอะไร มันตื่นเต้นตรงนั้น ลุ้นตามว่าจะเจอคชสีห์ เจอพญานาค มันจะคาดเดาไม่ได้ในฉากต่อไป ควบคู่ไปกับความแข็งแรงของเรื่องโดยที่ไม่หนักไปสำหรับเด็ก มันคือความสามัคคีกันเพื่อชาติ จริงๆ มันเป็นความสนุกความฮึกเหิม ยิ่งใหญ่ ตระหนักถึงการเสียสละการทดแทนคุณแผ่นดิน
• คาดหวังแค่ไหนกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็คาดหวัง เพราะเราเหมือนมีความตั้งใจที่จะทำทุกอย่างมันก็จารึกชื่อเราเอาไว้คือหนัง ทุกอย่างที่เราทำไปมันก็ต้องฝันไปกับเรา ทุกอย่างมันบันทึกชื่อเรา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด พอทำไปรู้สึกว่าเรื่องนี้มันสนุกและดี ก็คาดหวังอยากให้คนไปดูเพราะว่ามนุษย์เราถ้าไม่มีความคาดหวังหรือแรงกระตุ้นมันก็อาจจะล้มเลิกได้กลางคัน ยิ่งภาพยนตร์ไทย อุตสาหกรรมแอนิเมชันยังไม่ค่อยต่อเนื่อง อยากให้เราได้รับรู้ถึงฝีมือ ความมุ่งมั่น ก็คาดหวังซึ่งมันก็ทำให้เราทำเต็มที่จนสำเร็จอย่างในวันนี้
• ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหา เท่าที่เรารู้ๆ กันว่าวงการอุตสาหกรรมแอนิเมชันไทยไม่ได้โอ่อ่าอย่างต่างประเทศ แต่ก็สามารถทำได้ในระดับนี้ด้วยทุนเพียงแค่นี้เท่านั้น
แอนิเมชันทุกย่างมันมีปัญหา แต่เปรียบคือที่เห็นตอนนี้เหมือนเราอาบน้ำมาแล้ว จริงๆ มีเหงื่อ มีเลือด เป็นคราบน้ำตาอยู่ในฟิล์มเลย เพราะว่าการทำหนังเรื่องหนึ่งมันทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนิเมชันไทยมันมีฟังก์ชันที่หลายอย่างเกินการควบคุม เช่นพวกคอมพิวเตอร์ที่ตอนแรกเราอยากลองสร้างขน หรือระเบิดน้ำ มันเป็นของใหม่ๆ ของบ้านเรา มันเลยสร้างภาพได้ยาก ทั้งไหนจะเรื่องคาแรกเตอร์
คือเราไม่ได้ตั้งว่ามันคือภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน เราอยากให้มันเป็นภาพยนตร์แอเนิเมชัน ก็เลยลองทุกอย่างที่มันเป็นภาพยนตร์ ซึ่งครุฑจะเป็นเทกเจอร์ที่ไม่มีขนขนาดนี้ก็จะง่ายกว่านี้ พญานาคว่ายในน้ำ เราหลบกล้องก็ได้ แต่เราต้องทำ เพราะทุกอย่างมันเป็นประโยชน์แก่วงการบ้านเรา มันเป็นการลองวิชาและเพิ่มขีดจำกัดของตัวเราเอง ทุกกฎที่ห้ามทำเราลองทำหมด ซึ่งในตอนที่ทำระหว่างกลางเรื่องเราเคยคิดว่าผิดหรือเปล่า เพราะว่าเทคนิคและเรื่องเราพยายามจะไปอันใหม่ เราอยากให้คนเห็น อยากทำให้ออกมาแล้วหนังมันตรงตามเนื้อเรื่อง พอผ่านครึ่งเรื่องเราก็มีกำลังใจว่าทำได้ ก็ทำต่อ
• ใช้ระยะเวลานานแค่ไหนในการสร้าง
4 ปี กว่าจะได้ 1 เรื่องนี้ มีความยากทุกขั้นตอน ทั้งที่อาจจะทำให้มันง่ายก็ได้ ก็พยายามทำให้มันยากแบบที่ควร เพื่อจุดประสงค์อย่างที่บอกกล่าวไปว่าวงการแอนิเมชันไทยได้พัฒนา ก็ภูมิใจมากนับวัดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สามารถ ไม่อายใครในการศิลปะ แต่ในด้านเทคนิคอุปกรณ์เขายังใหญ่กว่าเรา ก็อาจจะมีบางคนบอกว่าเราสู้เขาไม่ได้ แต่เราอาจจะกลัวความเป็นไทยของเรากันเอง พอฝรั่งทำ เราก็เลยชอบเขามากกว่า แต่ถ้าเราทำเราแล้วช่วยกันเราก็จะรักของเรา เพราะมันสืบต่อให้ลูกให้หลาน
เราทำให้คนไทยดูก่อน ถ้ามันดังหรือมันรู้สึกว่าคนไทยยังรัก ต่างชาติเขาก็ต้องรักเพราะความเป็นไทยที่อยู่ในไทยแบบที่เราเห็นทั่วไปเลยแต่ไม่ค่อยรู้สึก กลับกัน ฝรั่งเขามาถ่ายรูปกับศิลปวัฒนธรรมไทยแบบดูตื่นเต้นมาก แต่เราไม่เคยตื่นเต้นเพราะมันใกล้ตัว เราปล่อยให้เขาตื่นเต้นภูมิใจไม่ได้ เราก็ต้องอย่างนั้นด้วยกับความเป็นไทยของเรา อย่างนี้ทิศทางอนาคตข้างหน้าในแวดวงอุตสาหกรรมแอนิเมชันบ้านเราจะก้าวพัฒนาต่อไปได้อย่างไร
แอนิเมชันและแอนิเมเตอร์ทุกคนอยากทำหนังของตัวเองและได้ลงบนจอ ทุกคนมีความฝัน มีความตั้งใจ แต่อุตสาหกรรมตรงนี้บ้านเราไม่ต่อเนื่อง จริงๆ ฝรั่งเขาก็ทำกันใช้เวลาเรื่องหนึ่ง 4-5 ปี แต่มันต่อเนื่อง อย่างค่ายพิกซาร์ทำ 4-5 ปีต่อเรื่องหนึ่ง ในระหว่างที่ทำทางดรีมเวิร์กส์ทำบทเริ่มสร้าง เราเลยเหมือนว่าเราเห็นของเขาเกือบทุกปีหรือครึ่งปีได้ชม เพราะว่าอุตสาหกรรมมันต่อเนื่อง แต่บ้านเราทำเรื่องนี้เสร็จเราต้องไปหาทุนต่อ ในขณะที่หาทุนหรือทำอยากจะให้มีบริษัทใหม่ๆ ช่วยทำด้วย เราไม่ต้องทำเป็นไทยสากลก็ได้ แต่มันจะมีบรรยากาศความเป็นไทยเหมือนแอนิเมชันของคุณ ฮายาโอะ มิยาซากิ เด็กใส่ชุดธรรมดาทั่วไป แต่บรรยากาศมันเป็นประเทศญี่ปุ่น มันก็สร้างการเรียนรู้และจดจำว่าเป็นแอนิเมชันของเขา
แต่พอมันขาดความต่อเนื่องมันก็กระตุกไปเรื่อยๆ อย่างกว่าจะเป็นปังปอนด์แอนิเมชัน มาเรื่องก้านกล้วยมันก็ 20 กว่าปี อุตสาหกรรมไทยกำลังจะโตก็บาดเจ็บกันและหายไปก็ขึ้นมาแล้ว ก็มีเรื่องยักษ์หายไปตั้งหลายปี จนมามีเรื่อง 9 ศาสตรา และก็มีเรื่องครุฑ เราอยากให้มีต่อเนื่อง ไม่ได้ทำแข่ง แต่มีที่หายใจมีที่ทำต่อ มีที่ทางเลือกเหมือนฝรั่ง เพราะถ้าไม่สนับสนุนกันก็ตายทั้งหมู่คณะอุตสาหกรรมแอนิเมชันไทย เนื่องจากมันไม่มีตลาด แอนิเมเตอร์นี้พอจบเรื่องนี้ไปจะไปไหนต่อเพราะบริษัทนี้ก็ไม่มี นั้นก็ไม่มี ก็เรียบร้อยทั้งหมด ความรู้ที่เราเรียนมาก็ไม่ใช้ เพราะไม่ได้ลองของจริงเลย เพราะอุตสาหกรรมแอนิเมชันมันตายหมดแล้ว
• บ้านเราจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ในอนาคตที่จะตาย...
ไม่ได้ริบหรี่ คือถ้าทุกคนตั้งใจทำช่วยกัน มันต้องมีแรงผลัก ไม่ใช่แค่คนในวงการ นายทุน หรือกระทั่งรัฐบาล เพราะแอนิเมชันมันเป็นศาสตร์ศิลปะเกือบทุกสายมารวมกัน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ศิลปะการวาดรูป การขึ้นโมเดล การเคลื่อนไหว บทการเขียน ดนตรี แต่หลายๆ คนคิดว่าแอนิเมชันมันเป็นหนังเด็ก ควรจะลงทุนน้อย มันจะพัฒนาได้อย่างไรถ้าทำแบบไม่ค่อยดีให้เด็กดู เด็กเยาวชนก็จะโตกับคุณภาพหนังแอนิเมชันไม่ค่อยดี ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องมาสงสาร แต่เรารู้สึกว่าเราช่วยกันเพื่ออนาคตของตัวเราเองและคนไทยทั้งชาติ
ทั้งที่แอนิเมเตอร์บ้านเรามีมากพอสมควร แต่พออุตสาหกรรมไม่ต่อเนื่องเขาก็อาจจะไปประกอบอาชีพอื่น เสียดายความรู้ บางคนเก่งๆ ก็ไปทำต่างประเทศก็มี บางคนก็เก่งด้วยแต่โอกาสยังไม่ให้ก็ไปทำอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่สายแอนิเมเตอร์ซึ่งเรายังต้องการและเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนา
ถ้าอุตสาหกรรมมันเยอะ แอนิเมเตอร์ระดับกลาง ระดับประสบการณ์ก็จะได้ฝึกเรื่อยๆ จนกลายเป็นแอนิเมเตอร์ที่เก่งทั้งประเทศ แต่มันไม่มีที่ให้ฝึก บริษัทดีๆ เรามีเยอะแต่มันไม่ต่อเนื่องหายไป พอรวมกันก็สองปีหายไป สามปีหายไป เดี๋ยวก็มาสอดกันแต่มันไม่ต่อเนื่อง อยากให้มันต่อเนื่องมีทุกปี ทุกอาทิตย์ยิ่งดีแอนิเมชันไทยมีฉาย แล้วพอคนเขาเห็นความต่อเนื่องต่างชาติเห็นว่าต่อเนื่อง เขาก็อาจจะหันมามองเหมือนที่เราเห็นของเขาทุกปีหรือทุกครึ่งปี
ก็หวังไว้ว่ามันจะยังมีอยู่ไปตลอดไป ซึ่งจริงๆ หวังตั้งแต่แรกๆ ที่มันยังไม่มีภาควิชาแอนิเมชันเลย ผมยังทำตั้งแต่แรกๆ ตอนนั้นแอนิเมเตอร์สมัยนั้นเป็นคนจบคณะสังคมศาสตร์ คณะบริหาร คณะนิเทศ แต่ทุกคนรักการ์ตูน ผมเลือกจากความรักก่อน ตอนนั้นก็กระท่อนกระแท่นกว่านี้ แต่อุตสาหกรรมกำลังโต มีคนสนับสนุนเยอะ แต่พอมันเริ่มจะมีสถาบันมันดันผลิตน้อยลงทั้งๆ ที่บุคลากรนักศึกษาเรามีความเก่งกันมาก ที่สำคัญความเก่งในด้านนี้มันมาจากความขยัน ไม่มีใครมีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิด แอนิเมเตอร์มันมีพรแสวงของที่ต้องพยายามก่อน หัดสังเกตการเคลื่อนไหว ยืดหดบางอย่างใช้กับเรื่องนี้ได้ใช้กับเรื่องนั้นไม่ได้ ต้องฝึกเยอะๆ แล้วมันจะคลิกเอง พรสวรรค์ที่เราเก็บไว้มันจะออกมาเอง ทุกอาชีพก็เหมือนกันมันมีหลายระดับไม่อย่างนั้นก็มีคนเก่งเท่ากันหมด มันไม่เท่ากันฉะนั้นต้องขยันก่อนแล้วมันก็จะมาเอง
เราก็ยังคงเดินหน้าทำต่อไป ตอนนี้มีคนเขียนบทมาหรือคุยบ้าง แต่อยากทำทีละอย่าง ขอชาร์จพลังสักเดือนหนึ่งก่อน น่าจะหลังจากภาพยนตร์แอนิเมชันครุฑฉายแล้ววันที่ 19 ทั่วประเทศไทย น่าจะมีความเคลื่อนไหวเพื่อสานต่อในเรื่องตรงนี้ เรื่องที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ
เรื่องและภาพ : รายการพระอาทิตย์ไลฟ์
เรียบเรียง : รัชพล ธนศุทธิสกุล