xs
xsm
sm
md
lg

ป๊อบปี้ ปรัชญาลักษณ์ แชมป์ไมค์ทองคำประจำปี 2559

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ด้วยความชอบในเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก จนได้รับโอกาสได้เป็นนักร้องนำในวงดนตรีไทยของโรงเรียน ทำให้เธอค้นพบตัวตนของตัวเองและก้าวไปประกวดร้องเพลงในรายการใหญ่อย่าง “ไมค์ทองคำ” ถึงสองครั้งสองครา และถึงแม้ว่าครั้งแรกจะไม่เป็นดั่งใจ แต่เพราะความไม่ย่อท้อทำให้เธอประสบความสำเร็จคว้าตำแหน่งแชมป์ไมค์ทองคำซีซัน 4 มาครอบครองได้สำเร็จ

“ป๊อบปี้-ปรัชญาลักษณ์ โชติวุฑฒินันท์”

หากพูดถึงเส้นทางการเป็นนักร้องของสาวเสียงใส วัย 19 ปี คนนี้นั้นอาจจะไม่ได้สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด... เพราะกว่าจะเข้ามาถึงตรงนี้ได้เธอต้องผ่านความท้อ ความเหนื่อย และความกดดันมาสารพัด แต่วันนี้เธอได้พิสูจน์ตัวเองผ่านผลงานต่างๆ แล้วว่าเธอไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นรางวัลไมค์ทองคำประจำปี 2559 ผลงานเพลงจากสังกัดค่ายยุ้งข้าวเรคคอร์ด ที่ตอนนี้ยอดวิวแต่ละเพลงไม่ใช่น้อย หรือแม้แต่การสวมหน้ากากดอกหญ้า ขึ้นร้องเพลงในรายการ The Mask Singer ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ใครหลายคนชื่นชอบในเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ จึงไม่แปลกใจเลยที่วันนี้ชื่อของ “ป๊อบปี้-ปรัชญาลักษณ์” ได้ถูกลิสต์ไว้ให้กลายเป็น “ศิลปินคุณภาพ” คนหนึ่งไปแล้ว

เส้นทางนักร้องของ ป๊อบปี้ ปรัชญาลักษณ์

“เริ่มจากที่หนูชอบในเสียงเพลงค่ะ คือเราจะซึมซับเพลงและดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เพราะเวลาที่แม่ทำงาน แม่หนูจะทำงานเย็บผ้าอยู่ที่บ้าน แม่ชอบเปิดโทรทัศน์ เปิดเพลงไว้พร้อมกับเย็บผ้าไปด้วย ส่วนเราก็จะเล่นของเล่นไป ดูและฟังเสียงโทรทัศน์ตามไปด้วย และมีอยู่วันหนึ่งหนูจำได้เลยว่าหนูร้องเพลงมาประโยคหนึ่ง แล้ววันนั้นน้าอยู่ด้วยก็ได้ถามขึ้นมาว่าเสียงใคร เพราะไม่มีใครเคยได้ยินเสียงหนูร้องเพลงเลย แต่เราก็หลบเลยนะคะ เพราะหนูจะขี้อายมากๆ

เอาจริงๆ หนูชอบร้องเพลง แต่หนูไม่คิดว่าจะต้องเป็นศิลปินหรือนักร้องเลย คือหนูอาจจะไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเริ่มชอบดนตรีมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่จำความได้เราก็ได้คลุกคลีกับดนตรีมาโดยตลอด และมันก็เป็นเหมือนเป็นชีวิตของเราไปแล้ว เพราะไม่ว่าเวลาจะทำอะไรในชีวิตประจำวัน ทั้งซักผ้า ทำการบ้าน คิดเลข หรือจะอ่านหนังสือสอบเราก็ร้องเพลงได้ตลอดเวลา ให้อยู่ทั้งวันก็อยู่ได้ หนูก็จะทำกิจวัตรประจำวันของหนูไป ฟังเพลงไปด้วยเป็นประจำ

จนกระทั่งช่วงมัธยมชั้นปีที่ 2 เทอม 2 หนูก็เป็นเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ในโรงเรียนหนูจะอยู่ในกลุ่มเด็กเรียนเลยค่ะ และบวกกับความขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ด้วย จึงทำให้หนูไม่ค่อยทำกิจกรรมของทางโรงเรียนเท่าไหร่ ถ้าไม่มีคะแนนมาล่อก็จะไม่ทำเลย แต่มีวันหนึ่งหนูต้องเรียนวิชาดนตรี คุณครูก็บอกมาว่าให้เลือกเอาเพลงที่เราชอบมา 1 เพลงแล้วไปร้องให้ครูฟัง

ตอนนั้นหนูเลือกเพลง “น้ำตาแสงใต้” ในขณะที่คนอื่นร้องเพลงสตริงกันหมด และโชคดีมากๆ ที่ครูไม่ได้ให้ไปร้องหน้าเวทีหรือหน้าห้อง แต่จะเป็นการไปนั่งคุกเข่าร้องเพลงให้ครูฟังเฉยๆ เราก็ร้องไป สั่นไปด้วยความประหม่า พอร้องจบปุ๊บ ครูก็บอกว่าว่างๆ ให้ไปช่วยงานครูหน่อยนะ ครั้งนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูได้จับไมค์ร้องเพลง ได้มานักร้องนำในวงดนตรีไทยของโรงเรียน มันทำให้หนูรู้ตัวว่าเราทำได้ เหมือนเราได้ค้นพบตัวเอง”

ชีวิตหลังจากค้นพบตัวเอง

“หลังจากนั้นหนูก็ได้รับโอกาสจากคุณครูพาไปแข่งข้างนอกโรงเรียนค่ะ แต่หนูก็ไม่ได้เป็นสายประกวดอะไรเท่าไหร่ ไปประกวดก็จริงแต่จะไม่ถึง 10 เวที

มีครั้งหนึ่งจำได้ว่าครูส่งเราไปแข่งระดับเขต ระดับภาค เป็นเวทีใหญ่เวทีแรกในชีวิตที่ตื่นเต้นมาก สั่นไปหมด แอร์ 18 ตัวเปิดพร้อมกันแต่หนูเหงื่อแตกนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นหนูใช้เพลง “แก้วรอพี่” ของแม่ผึ้งพุ่มพวงไปประกวด สุดท้ายเราก็แพ้มา ถ้าให้พูดตรงๆ เราก็แพ้มาตลอด มีเวทีที่ชนะก็จะเป็นเวทีที่แข่งขันในโรงเรียน ในบ้านของตัวเองแค่นั้นเองค่ะ

พอได้มาเป็นนักร้องนำของวงดนตรีไทยในโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ก็เห็นว่าเราสนใจในด้านนี้ ก็เลยอยากให้ลองพิสูจน์ดูว่าหนูจะทำได้หรือไม่ และด้วยความที่แม่หนูก็เป็นแฟนรายการไมค์ทองคำอยู่แล้ว แม่ก็พูดขึ้นมาว่าเสียงแบบนี้ลองไปรายการนี้ดูไหม

ความคิดของแม่หนูตอนนั้น ข้อแรกเลยก็คืออยากให้หนูไปเพื่ออยากได้ยินว่าคณะกรรมการจะพูดอย่างไร ประมาณว่าเราจะสามารถไปทางนี้ได้ไหม เพราะเสียงหนูแปลกไม่เหมือนคนอื่น อย่างเวลาที่หนูร้องเพลงไทยเดิม จริงๆ มันจะต้องเป็นเสียงที่หวานมากๆ แต่ของหนูจะมีเสียงลูกแหบ ในความรู้สึกหนูจะชอบคิดว่าเอ๊ะมันก็เหมือนว่าจะเพราะ จะดีแล้วนะแต่ทำไมมันยังไม่สุด ข้อที่ 2 เราเป็นเด็กขี้อาย ถ้าสมมติเราตื่นเวที ก็คงจะล้มเลิกไปเอง เนื่องจากแม่อยากให้หนูเอาเวลาไปทุ่มเทกับการเรียนมากกว่า ช่วงนั้นหนูอยู่ชั้นมัธยมชั้นปีที่ 3 ต้องต่อมัธยมปลายด้วย แล้วหนูก็อยากเรียนต่อในสายวิทย์-คณิตด้วย แม่ก็เลยค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเรื่องคะแนนที่เราจะต้องเรียนต่อไปในวันข้างหน้าค่ะ และหนูก็ตัดสินใจลองมาประกวดไมค์ทองคำ 3 ค่ะ”

ตัดสินใจหอบความสามารถ
โชว์ในรายการ “ไมค์ทองคำ ซีซัน 3”

“ช่วงมัธยมชั้นปีที่ 4 หนูอายุได้ 17 ปี หนูก็ได้ตัดสินใจมาประกวดไมค์ทองคำ 3 ตอนนั้นหนูเข้ารอบแรก 60 คน แต่แล้วก็ต้องตกไป เพราะหนูต้องรับผิดชอบกับกิจกรรมของทางโรงเรียน ไหนจะสอบด้วย เรียนด้วย มันทำให้ไม่มีเวลาฝึกซ้อม อีกอย่างหนูเลือกเพลงไปผิดด้วยก็เลยทำให้ตกรอบไป

การตกรอบในวันนั้นทำให้หนูท้อมาก มันเศร้าอย่างบอกไม่ถูก วันที่ตกรอบกลับบ้านไปหนูก็ไม่พูดไม่จา กินข้าวไม่ลงเลย ความรู้สึกที่เราคิดก็คือเราคงไปต่อเส้นทางนี้ไม่ได้จริงๆ

ครั้งนั้นทำให้หนูรู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก แล้วแต่ละครั้งที่ไปมันไม่ใช่แค่หนูคนเดียวที่เหนื่อย เพราะยังมีพ่อกับแม่ด้วยที่ต้องมาเหนื่อย เขาจะห่วงการเดินทาง การกิน การอยู่ ทำให้ต้องเดินทางไปกับหนูด้วยทุกครั้ง ในใจหนูเลยคิดว่าเราทำให้คนอื่นมาเสียเวลาไปฟรีๆ หรือเปล่า และยิ่งครอบครัวหนูไม่ได้มีเงินอะไรมากมายขนาดนั้น เราฐานะปานกลางมากๆ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแต่ละครั้งก็ค่อนข้างเยอะ แทนที่พ่อกับแม่เขาจะได้เก็บเงินไปรับผิดชอบพี่กับน้อง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในบ้าน ต้องเอามาเสียกับเราซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตรงนี้มันเลยเป็นสิ่งที่ทำให้หนูล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองไป เลยบอกกับตัวเองว่าเรายอมแพ้ พอแล้ว ไม่เอาแล้ว”

ท้อได้แต่ไม่ถอย
ก้าวกลับมาในเวทีไมค์ทองคำซีซัน 4 อีกครั้ง

“มีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อไปเห็นโฆษณาว่าเขากำลังเปิดออดิชันไมค์ทองคำ 4 อยู่พอดี เขาเลยถามขึ้นมาว่า “อยากไปลองอีกไหม” ซึ่งหนูก็บอกแต่ว่า “ไม่เอาแล้ว” แต่ก็ไม่รู้มีอะไรมาสะกิดใจ อาจด้วยเพราะได้ดูรายการและได้เห็นหลายคนที่เขาเข้ามาแข่งขันด้วย บางคนบ้านไกลกว่าเรา บางคนก็เคยมาแล้ว มันทำให้เรากลับมาฉุกคิดอีกครั้งหนึ่งว่า “หรือจะไปอีกดี” แต่อีกใจหนึ่งก็ยังถามตัวเองนะคะว่า “แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ จะทำยังไง” สุดท้ายหนูก็ได้ให้คำตอบกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ลองไปดีกว่า อย่างน้อยเราก็ได้ทำ มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว”

หนูเดินทางไปออดิชันในเวทีไมค์ทองคำ 4 อีกครั้งหนึ่ง วันนั้นโล่งมากเลยนะคะ เหมือนว่าเราได้ทำในจุดที่เราอยากพิสูจน์ตัวเองไปแล้ว พอออดิชันเสร็จก็รอผลออดิชัน และทางพี่ทีมงานก็โทร.กลับมาว่าเราผ่านนะ ครั้งนั้นมันทำให้ความฝันของเรากลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

ไมค์ทองคำซีซัน 4 ประจำปี 2559 เวทีแห่งความสำเร็จ
จุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อได้ครอบครองตำแหน่งแชมป์

“พอได้กลับเข้ามาในไมค์ทองคำซีซัน 4 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ปิดเทอมพอดี เราเลยมีเวลาที่จะดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งสุขภาพและความพร้อมอะไรหลายๆ อย่าง มันเลยทำให้เราก้าวเข้าไปในรอบลึกๆ มากขึ้น จนมาได้แชมป์เวทีไมค์ทองคำ 4 มาครอบครอง

ความสำเร็จของหนูครั้งนี้ พ่อกับแม่เขาไม่พูดอะไรนะคะ เพราะพ่อกับแม่หนูจะไม่มีโมเมนต์หวานๆ เลย แต่เราจะสัมผัสได้โดยการนิ่งของเขานั่นแหละ อย่างวันนั้นที่ประกาศมาว่าเราได้แชมป์ หนูได้เห็นพ่อกับแม่ร้องไห้ดีใจไปด้วยกับเรา และพ่อกับแม่ก็มองเห็นแล้วว่าหนูทำได้ จึงไม่ได้ห้าม และปล่อยให้หนูเดินตามความฝัน

การเข้ามาเส้นทางนี้...ทำให้เราเปลี่ยนการเดินทาง เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมดเลย ถึงเราจะได้รางวัลเยอะก็จริง แต่ภาษีที่ตามมาก็เยอะเหมือนกัน เราต้องแบ่งสองเส้นทางในชีวิต คือตอนนั้นต้องยอมรับว่าหนูก็เริ่มไม่แน่ใจ ช่วงที่เราเป็นแชมป์ไมค์ทองคำ 4 เป็นช่วงที่หนูอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 จะต่อมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่หนักหน่วงมากเลย มันเป็นช่วงที่หนูประกวดเสร็จพอดี แล้วเรามาได้แชมป์ ทำให้ชีวิตเราพลิกอีก”

ชีวิตพลิกเมื่อต้องเลือก
ระหว่าง “ความฝัน” และ “ความชอบ”

“จริงๆ ความฝันของหนูก่อนหน้านี้หนูอยากจะเป็นอะไรก็ได้เกี่ยวกับข้าราชการ ทั้งหมอ พยาบาล ครู ทหารทุกอย่างมันมาในหัวหมดเลย เพราะข้าราชการดีตรงที่วันใดที่คนในบ้านเราป่วยเราสามารถเบิกได้ มีสวัสดิการให้พ่อกับแม่ ตรงนี้เลยเป็นความฝันของเรามาตั้งแต่เด็ก หนูจะชอบคุยกับพี่สาวอยู่บ่อยๆ ถามกันถึงเรื่องอนาคตว่าโตไปจะทำงานอะไรดี “แกเป็นหมอใช่ไหม เดี๋ยวฉันจะเป็นพยาบาลเอง” เสียงที่เราถามกันตั้งแต่เด็ก มันยังอยู่ในใจมาตลอด อีกอย่างหนูคิดว่าทำงานอะไรก็ได้ขอแค่ทำให้หนี้พ่อกับแม่หมดให้เร็วที่สุดก็พอ หนูคิดแค่นั้น มันเป็นความคิดที่หนูฝังใจมาตั้งแต่เด็กจนโต เพราะทุกวันนี้เหมือนว่าเส้นทางของครอบครัวเรามันไม่ได้สวยงามตลอด มันมีช่วงที่เราติดลบ เราไม่มีเลย ดังนั้นเราต้องปูฐานครอบครัวของเราก่อน เราจึงต้องเลือก สิ่งนี้จึงทำให้หนูตัดสินใจเลือกที่จะทำงานในวงการเพลง

“ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หนูก็ได้มาทำงานด้านนี้ เราต้องเดินสายร้องเพลง จนถึงวันนี้ก็ประมาณกว่า 2 ปีแล้ว ที่หนูได้ทำงานหาเงินช่วยที่บ้านใช้หนี้ และได้ทำตามความชอบของตัวเอง”

ก้าวสู่ศิลปินค่ายยุ้งข้าวเรคคอร์ด กับผลงานซิงเกิลแรก
“ต้องฮักให้สุดใจ” การันตีฝีมือด้วยยอดวิวกว่าร้อยล้าน

“เพลง “ต้องฮักให้สุดใจ” เป็นเพลงที่อาจารย์นิพนธ์ วงศ์คำมูน แต่งให้ใหม่เพื่อร้องในรายการไมค์ทองคำซีซัน 4 รอบสุดท้ายค่ะ คนที่เข้ารอบ 4 คนจะมีเพลงของตัวเองทุกคน วันนั้นเราต้องร้องสดให้ทุกคนทั้งประเทศได้ฟัง เราก็เลยได้ปล่อยซิงเกิลแรกในวันนั้นเลย เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่เปิดทางให้หนูได้มีโอกาสทำหน้าที่ลูกของพ่อกับแม่ได้เร็วที่สุดด้วยค่ะ

เนื้อหาเพลงนี้จะเหมือนกับชีวิตของหนูเลยนะคะ เป็นเพลงที่มีความหมายเกี่ยวกับผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เส้นทางชีวิตไม่ได้สวยหรู แต่เขาต้องสู้ ต้องฝ่าฟัน

ส่วนยอดวิวก็ขึ้นไปเรื่อยๆ นะคะ หนูก็ไม่ได้คิดว่ามันจะยอดวิวเยอะขนาดนี้ เพราะจุดประสงค์การเป็นศิลปินของหนูคือทำยังไงก็ได้ให้คนฟังเขายิ้ม มีความสุข เขาเหนื่อยแค่ไหนมาฟังเพลงเราแล้วหายเหนื่อยได้ แค่นั้นเองค่ะ เราไม่ได้หวังว่าเพลงต้องดัง ต้องร้อยล้านวิว แต่พอมาถึงจุดนี้ได้ก็ดีใจมากๆ ค่ะ”

หน้ากากดอกหญ้า บนเวที The Mask Singer
ผลงานพิสูจน์ตัวตนอีกหนึ่งรายการ

“รายการ The Mask Singer ทำให้หนูได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยการไปร้องเพลงสตริงบนเวทีนี้ มันเป็นสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่เคยทราบมาก่อน ตอนแรกหนูกลัวมากๆ เลยนะคะ เพราะเราเพิ่งมาเป็นศิลปินได้ไม่นาน เราก็ไม่แน่ใจว่าเราเปิดหน้ากากออกมาแล้วเขาจะโอเคกับไอ้เด็กบ้านนอกคนนี้ไหม หรือเขาจะผิดหวังหรือเปล่า เราจะมองในภาพรวม ซึ่งเวลาหนูทำอะไรหนูจะมองแบบนี้ตลอด แล้วหนูก็ไม่คิดว่าเรามีความสามารถพอที่จะไปยืนตรงนั้น เพราะจุดจุดนั้นเป็นอะไรที่ยากมากๆ เพราะแต่ละเทป แต่ละซีซันที่ผ่านมามันทำให้เราเห็นว่ามันต้องว้าวจริงๆ ถึงจะไปได้ หนูจะถามทุกครั้งว่าให้หนูขึ้นเวทีนี้จริงๆ เหรอ จนวันที่หนูได้ชุดดอกหญ้ามา หนูก็ยังถามคำนี้ แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจทำ

การอยู่ในหน้ากาก มันดีมากๆ เลยนะคะ อย่างบางคนเขาไม่รู้จักเราก็จริง มันยากที่เราจะเข้าไปอยู่ในหัวใจใครหลายๆ คนได้ เราก็อาศัยหน้ากากที่มันปิด ที่เขาไม่รู้เลยว่าเป็นใคร หรือจะเดาว่าเป็นใครก็แล้วแต่ แค่เราได้ยินว่าเขาบอกว่ารักดอกหญ้าแค่นั้น เราก็ดีใจแล้วนะคะ เพราะอย่างน้อยๆ ไอ้คนที่อยู่ในดอกหญ้ามันก็คือตัวเรา มันคือเสียงเรา หนูต้องขอบคุณรายการนี้ที่ให้หนูมาเป็นดอกหญ้า และก็ต้องขอบคุณหน้ากากดอกหญ้าที่เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ให้ความสุขกับคนดู และสะท้อนมาถึงตัวหนู หนูจะเก็บทุกคำติชมมาเป็นแรงผลักดันต่อไป’’

ก้าวมาถึงตรงนี้ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง

หนูว่าตัวเองก็ประสบความสำเร็จเป็นขั้นๆ ไปนะคะ เราจะค่อยๆ ทำไปในแต่ละครั้งที่ได้รับโอกาสมา หนูจะทำเต็มที่ทุกครั้ง ทำให้ดีที่สุด เราจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดทีหลังว่าทำไมรอบนี้เราทำออกไม่ดีเลย เพราะอย่างน้อยๆ เราก็ได้ทำแล้ว

ณ เวลานี้หนูไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน เรายังมองตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาอยู่เหมือนคนธรรมดา ใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง หนูไม่อยากใช้ชีวิตให้ดูสูงขึ้น กลัวว่าวันไหนเราตกลงมาจะเจ็บตัว เพราะหนูคิดเสมอทุกครั้งว่าเราขึ้นไปสูงได้ ก็ต้องดิ่งลงมาได้เหมือนกัน และยิ่งถ้าเราหวังเกินตัว คาดหวังมากเกินไป วันหนึ่งถ้าเราทำไม่ได้ เราก็จะไม่มีแรงที่จะทำสิ่งดีๆ และไม่รู้จักพัฒนาตัวเองต่อไป

การที่หนูได้มาอยู่วงการนี้ทำให้หนูมีความคิดและสติที่โตขึ้น สำหรับการตัดสินใจทั้งในเรื่องการทำงาน การเรียน อะไรต่างๆ วันนี้หนูต้องขอบ คุณครูนุก, ครูแป๊ะ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดาฯ หนูโชคดีที่ท่านได้ปูพื้นฐานและให้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องดนตรี หนูก็ได้เก็บสะสมสิ่งที่ครูมอบให้นำมาใช้ตลอด อีกทั้งหนูยังได้คำสอนจากครูบาร์อาจารย์หลายๆ ท่าน ทั้งจาก ครูสลา คุณวุฒิ อาสุนารี ราชสีมา อาโน๊ต บำเรอ ผ่องอินทรี ที่คอยบอกให้หนูดูแลตัวเองดีๆ ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน สิ่งนี้ก็เลยทำให้หนูเอามาปรับใช้กับการทำงานและการวางตัวต่างๆ หนูว่าวงการนี้ดีและให้อะไรกับหนูเยอะเลยนะคะ อย่างน้อยก็ทำให้ความฝันที่จะดูแลครอบครัวของเด็กคนหนึ่งประสบความสำเร็จได้

นอกจากนี้ หนูต้องขอบคุณทุกคนที่มอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับคืนมาให้หนู เพราะเวลาทำงานไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม หนูได้เห็นเขายิ้ม เขาหัวเราะ ดีใจที่หนูได้เป็นส่วนหนึ่งในความสุขของทุกๆ คน ยังไงก็ขอบคุณที่รักและเมตตาเด็กกะโปโลคนนี้นะคะ “ขอบคุณที่ฮักกัน” ค่ะ

มีเป้าหมายในชีวิตและการทำงานด้านวงการเพลงอย่างไรต่อไปบ้าง

เป้าหมายด้านงานเพลงตอนนี้หนูก็จะทำงานต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ ตอนนี้หนูก็มีเพลงนี้ซิงเกิลที่ 4 แล้วค่ะ ชื่อเพลงว่า “มีอ้ายน้องบ่แคร์” จะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักที่เป็นในรูปแบบที่รักแล้วเป็นกำลังใจให้กันเพื่อเปลี่ยนพลังรักให้เป็นพลังใจเพื่อที่จะต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาที่กำลังพบเจอเพราะด้วยสภาพสังคม ณ วันนี้มีทั้งอากาศร้อน รถติด และอะไรต่างๆ เพลงนี้ก็จะเป็นตัวแทนประมาณว่าในวันที่เราเหนื่อย เราท้อ ให้มองคนรอบข้างเพื่อเป็นแรงผลักดันที่จะอยู่เคียงข้างกันและพร้อมจะต่อสู้ในทุกวัน ซึ่งถ้าดูมิวสิกวิดีโอจะเข้าใจเพลงนี้มากขึ้นค่ะ

เพลงนี้จะคงคอนเซ็ปต์ “ไม่โป๊โนเซ็กซี่ แต่มีสไตล์” ที่เป็นคาแรกเตอร์ของหนูด้วย เพราะด้วยการแต่งตัวหนูจะไม่ชอบแต่งตัวโป๊ ไม่ใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยว-ขาสั้นในชีวิตประจำวันเลย สั้นสุดของหนูก็คือจะเลยหัวเข่าลงมา อะไรประมาณนี้ค่ะ

ส่วนเป้าหมายในชีวิตหนูวางแผนไว้ว่าหนูจะทำงานให้เต็มที่ เพื่อจะได้ดูแลทุกคนในบ้าน ดูแลครอบครัวให้โอเคขึ้น และเรื่องการเรียนตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้นมหาวิทยาลัยปีที่ 2 คณะบัญชี มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว หนูก็จะเรียนให้จบให้ได้ หนูจะพยายามบริหารเวลา ทำทุกอย่างไปพร้อมกันให้ออกมาดีที่สุดค่ะ

อยากให้ฝากถึงคนที่มีความฝัน และอยากทำตามฝันให้สำเร็จเช่นเดียวกันกับป๊อบปี้หน่อยค่ะ

หนูเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนที่เก่งอะไร มันมีคำว่าเหนื่อยเกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิตของทุกคน เหนื่อยได้ แต่ห้ามหมดแรง เพราะทุกเส้นทางมันมีคำว่าเหนื่อยเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ส่วนตัวหนูคิดว่าถ้าไม่มีวันที่หนูเหนื่อย หนูท้อ ถ้าทุกอย่างมันสวยงามไปหมด เราคงไม่รู้จักเรียนรู้อะไรเลย เราคงไม่รู้จักคำว่าเข้มแข็งและอดทน

อย่าล้มเลิกความตั้งใจ ทำให้เต็มที่ ทำไปเถอะ ทำไปเลย ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างฝันหรือไม่ก็ตาม ให้ทำไปก่อน ทำไปให้สุด ณ เวลานั้น ถ้ามันโชคดีและเป็นวันของเรา ยังไงมันก็เป็นของเรา หนูเชื่อเสมอว่า “ถ้าเราทำ มันก็ใช่”

ส่วนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน หนูรู้ว่ามันเป็นอะไรที่ยากเหมือนกันในการหาตัวตนของตัวเองให้เจอ เพราะกว่าที่หนูจะรู้ตัวเองว่าชอบอะไรมันก็ต้องอาศัยเวลาเหมือนกัน แล้วพอเรารู้แล้วเราต้องตัดสินใจอีกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี เพราะการเรียนเราก็ชอบ ร้องเพลงเราก็ใช่ แต่สุดท้ายหนูก็ได้รู้ว่าคนที่จะพาเราเดินหน้ายังไงก็คือตัวเราเอง ดังนั้นถ้าชอบอะไรให้ทำสิ่งนั้น อย่าไปฝืน ถ้ามันไม่ใช่ก็อย่าไปทำ ทำอะไรก็ได้ที่เป็นตัวเรา ให้ออกมาดีและมีความสุขที่สุดก็พอค่ะ

Profile

ชื่อ สกุล : ปรัชญาลักษณ์ โชติวุฑฒินันท์
ชื่อเล่น : ป๊อบปี้
วันเกิด : 7 มกราคม พ.ศ. 2542
ความสามารถ : ร้องเพลงไทยเดิม
ศิลปินแบบอย่าง : แม่นาง ศิริพร อำไพพงษ์
ผลงานที่ผ่านมา :
ผลงานเพลงในสังกัดค่ายยุ้งข้าว record
เพลงที่ 1 ต้องฮักให้สุดใจ
เพลงที่ 2 ขอโทษที่ทำให้รอ
เพลงที่ 3 เซาฮักก็บ่บอก (หมดรักก็ไม่บอก)
เพลงที่ 4 มีอ้ายน้องบ่แคร์



ติดต่องานแสดงศิลปิน
02-833-2264 , 064-3021703
ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์
02-833-2083
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา และ เพจ Facebook : ป๊อปปี้ ปรัชญาลักษณ์ แฟนเพจ



กำลังโหลดความคิดเห็น