ผู้บริหาร “แกร็บ ประเทศไทย” แจงไม่ได้นิ่งนอนใจกรณีวินมอเตอร์ไซค์ไม่พอใจ แต่ระบบที่มีอยู่ทำให้เข้าใจผิด ย้ำเป้าหมายต้องการส่งเสริมรายได้ผู้ขับขี่ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้โดยสาร เปิดรับผู้ขับขี่วินฯ เข้าร่วม พร้อมอัดฉีดเงินอินเซนทีฟ 1 พันบาท ยืนยันยินดีพูดคุยกับทุกฝ่าย แต่ต้องให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
วันนี้ (22 พ.ค.) จากกรณีที่กลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งเหตุกระทบกระทั่งระหว่างผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง กับผู้ขับขี่แกร็บไบค์ ตามที่ปรากฏในโลกโซเชียลมีเดียนั้น นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ก็พบว่ามุมมองของแต่ละฝ่ายอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน และมีกระแสโจมตีผู้ขับขี่วินจักรยานยนต์รับจ้าง จึงอยากให้เข้าใจว่าผู้ขับขี่วินจักรยานยนต์รับจ้างเป็นองค์ประกอบสำคัญของแกร็บในวันนี้ แต่ด้วยระบบที่มีอยู่จึงต้องมีต้นทุนในการประกอบอาชีพ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในระบบของแกร็บ ซึ่งเป้าหมายของเรา ต้องการส่งเสริมรายได้ ให้โอกาสพัฒนาศักยภาพ มีต้นทุนการทำธุรกิจที่น้อย และประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ พันธกิจของแกร็บมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ ส่งเสริมรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง, พัฒนาระบบคมนาคมให้มีความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน และร่วมมือภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งแกร็บเข้าใจความต้องการ ทั้งทางฝั่งผู้ขับขี่ที่ต้องการสร้างรายได้ มีความคุ้มครอง และได้รับการพัฒนาทักษะความรู้ จึงได้เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่แกร็บมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งบริการแกร็บไบค์ เดลิเวอรี ที่ส่งของให้ภาคธุรกิจ อีคอมเมิร์ช, แกร็บ ฟู้ด สั่งอาหารผ่านแอปฯ ช่วงกลางวันและเย็น รวมทั้งผู้ใช้แกร็บวินที่เดินทางชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแอปฯ 5.7 ล้านครั้ง มีผู้ใช้ประจำอยู่ที่ 7 แสนรายต่อเดือน ส่วนฝั่งผู้โดยสาร แกร็บมีระบบรองรับการคำนวณราคาค่าโดยสารที่ถูกต้องโปร่งใส มีระบบความปลอดภัยและความคุ้มครองให้กับผู้โดยสาร รวมทั้งมีระบบและขั้นตอนในการตรวจสอบและบริหารมาตรฐานและคุณภาพของผู้ให้บริการ
“แกร็บพร้อมร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ปัญหาที่มีในวันนี้ แต่ต้องยอมรับว่าต้องเป็นภาพที่วิน-วินทุกฝ่าย ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ไม่ได้ ทางเรายินดีร่วมมือตรงนี้ แต่จะมีผู้ขับขี่วินจักรยานยนต์บางคน เข้าใจระบบของเราไม่ได้ลึกซึ้งมาก อาจจะไม่เคยมาลองระบบตรงนี้ ในช่วงเวลานี้ บริษัทฯ อยากให้มาลองระบบ ถ้าเข้ามาลองแล้วไม่ชอบก็ปิดระบบไป ไม่มีอะไรเสีย ซึ่งในช่วงเวลาทดลอง ทางเราก็จะให้สิทธิพิเศษเฉพาะผู้ขับขี่วินจักรยานยนต์ที่เข้ามาในระบบ ขอแค่รับงานแค่ 2 งาน ใน 7 วันแรก เราก็จะมีเงินอินเซนทีฟให้ 1,000 บาท ซึ่งธรรมดาไม่ได้ให้ใคร พอทำเสร็จแล้วอยู่ในแพลตฟอร์มของเรา ดูว่ารายได้ที่เข้ามาจริงไหม มีการคุ้มครอง มีการสอนเป็นที่พอใจหรือเปล่า อยากให้เข้ามาลองตรงนี้” นายธรินทร์กล่าว
นายธรินทร์กล่าวว่า ในการเรียกรถของผู้โดยสารแต่ละครั้ง ระบบจะจับรถจักรยานยนต์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ จักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ (ป้ายเหลือง) ที่เรียกว่าแกร็บวิน มีอยู่ในระบบไม่เพียงพอกับความต้องการของคนกรุงเทพฯ ทำให้รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ที่อยู่ในส่วนของแกร็บ เดลิเวอรี ต้องเข้ามารับผู้โดยสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งหากมีผู้ขับขี่แกร็บวินอยู่ในระบบมากขึ้น โอกาสที่รถจักรยานยนต์ป้ายดำซึ่งอยู่ในส่วนของเดลิเวอรีมารับผู้โดยสารก็มีโอกาสน้อยลงไปด้วย ที่ผ่านมาผู้ใช้เพิ่มขึ้นทุกวัน เรามีความรับผิดชอบกับคนขับและผู้โดยสารร่วมกัน ซึ่งก็ต้องหาทางออกร่วมกันทั้งหมด
ส่วนการพูดคุยกับกรมการขนส่งทางบกนั้น นายธรินทร์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการพูดคุยกับทางรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกรมการขนส่งทางบกได้พูดคุยกันมานาน 3 ปี แต่เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน การพูดคุยจึงยังมีอยู่เรื่อยๆ ซึ่งบริษัทฯ ยินดีคุยกับทุกฝ่าย แต่ไม่อยากให้แต่ละฝ่ายไปกดดันผู้ประกอบการจักรยานยนต์รับจ้าง หรือกรมการขนส่งทางบก เพราะต้องใช้เวลาในการคิด และจะมีผลกระทบหลายอย่าง ซึ่งต้องดูว่าจะช่วยเยียวยาอย่างไร ซึ่งสังคมต้องการคำตอบที่ชัดเจน จึงอยากให้ทั้งสามฝ่ายเปิดใจพูดคุยกัน ทางออกที่ดีที่สุดคือ ทั้งสามฝ่ายต้องได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ส่วนการรับมือกับเหตุกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นายธรินทร์กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการสื่อสารออกไปในวงของคนขับทุกคน แนะนำชัดเจนว่าให้คนขับหลีกเลี่ยงพื้นที่สุ่มเสี่ยงหรือการยั่วยุต่างๆ ถ้าคนของเราเริ่มก่อน หรือความรุนแรงเกิดจากคนของเรา จะมีผลและบทลงโทษตามระบบของเราทันที หลักๆ คือขอให้หลีกเลี่ยงจุดเกิดเหตุ หรือพยายามออกจากพื้นที่ หากเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยต้องให้ภาครัฐเป็นคนตัดสิน เพราะนอกจากมีกฎหมายการใช้รถป้ายเหลือง ป้ายขาวแล้ว ยังมีกฎหมายบ้านเมืองเกี่ยวข้อง ถ้าเกิดการทำร้ายก็ต้องร่วมมือกับทางภาครัฐในการดูแล