xs
xsm
sm
md
lg

เปิดมุมมองความรักที่ทรงคุณค่า “สุรพล โทณะวณิก” บรมครูนักแต่งเพลงผู้ตกหลุมรัก “สวลี ผกาพันธุ์” มาชั่วชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฉับพลันที่ ‘สวลี ผกาพันธุ์’ ได้จากโลกนี้ไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของวงการเพลงไทยสากลแล้ว การจากไปของเธอในครั้งนี้ก็ได้เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับ “สุรพล โทณะวณิก” บรมครูนักประพันธ์เพลงชื่อดังของวงการเพลงด้วย เธอเป็นรักแรกและรักเดียวของครูสุรพลนับตั้งแต่แรกเจอจนถึงวันอำลา แม้ว่ารักครั้งนี้ของเขาจะเป็นรักข้างเดียวตลอดมา...

ชายขายน้ำ กับนักเรียนสาวผู้สูงศักดิ์

หากให้ย้อนไปไกลในช่วงระยะเวลาของการแตกเนื้อหนุ่มและสาวแล้ว ทุกคนก็ย่อมที่จะมีความรักครั้งแรกอยู่เสมอ เช่นเดียวกับ ‘น้อย’ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญก็หนีไม่พ้นช่วงเวลานี้ แต่ความรักของเขาก็ดูจะไกลเกินเอื้อมไปหน่อย เพราะคนที่เขาแอบชอบนั้นเป็นนักเรียนสาว ผิวพรรณดี แถมมีเชื้อสายเดนิช ที่มีนามว่า ‘เชอรี่ ฮอฟฟ์แมน’ ซึ่งรักครั้งนี้แค่คิดก็ห่างไกลเหลือเกิน...

“ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่นก็ขายน้ำในโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒารามฯ มองรอบๆ จนครูใหญ่ไม่ให้มาขาย ตอนนั้นก็ประมาณ 15-16 ได้ เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม เขากำลังแตกเนื้อสาว เราก็เป็นลูกน้องของร้านขายน้ำเขาอีกทีหนึ่ง เป็นแค่คนไปส่งน้ำ จนตอนหลังอย่างที่บอก เพราะว่าชอบมองผู้หญิง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มองนะ เราไม่ได้สนใจ เรามองแต่คนที่เราชอบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วเราก็ไม่ได้ขายน้ำตลอดเวลาด้วย ขายแค่ช่วงพักเที่ยงทานข้าวกลางวัน เรามันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟที่มีหัวใจ คนที่มองเราเขาไม่ได้คิดแบบเราไง เขามองว่าไอ้นี่มันเกินไป คือมันเกินไปสำหรับคนที่เราชอบแค่นั้นเอง เขาจะไปรู้อะไรล่ะ เขาไม่รู้หรอก

เราชอบสวลีเขามานานแล้ว แต่ไม่ได้หวังว่าครอบครอง เพราะผมจะพิจารณาตัวเองก่อนว่า 1. รูปไม่หล่อ 2. ไม่มีฐานะ 3. ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปครอบครองใคร ซึ่งก็ยังมีความเจียมตัวอยู่ แต่ไม่เป็นไร เราก็มีสิทธิ์ที่ชอบหรือรักใครก็ได้ มันเป็นเรื่องของหัวใจของเรา เราไม่ใช่ว่ารักเขาแล้วเอาหัวใจคนอื่นมาใส่ มันก็ไม่ใช่ เพราะว่าเราก็ไม่เสียหายนี่ ถ้าทุกคนเอาอย่างเราโลกจะเจริญ มีที่ไหนบ้างล่ะที่รักกันแล้วรบกัน

“หลังจากที่เขาเรียนจบมัธยม เขาก็ออกไปทำงานที่บริษัทหนึ่งชื่อว่าไทยนิยม เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่จำได้เพราะเห็นแค่ป้าย ไม่ได้เข้าไปดู ตัวผมในตอนนั้นก็อยู่ตรงโรงหนังเฉลิมไทย แล้วมันอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เราก็มองไปไกลๆ มีถนนคั่นกลาง แล้วเราเห็นไกลๆ ก็จำได้ ตอนนั้นน่าจะยังไม่ได้เข้าวงการนะ ตอนนั้นผมยังอยู่หลังโรงละคร โดยส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ไม่อับอายใคร ยกฉากก็เอา เล่นเป็นตัวประกอบก็เอา ขายสูจิบัตรหน้าโรงหนังก็เอา ทำทุกอย่างเพื่อให้มันมีกิน แล้วที่นอนก็ไม่มีนะ ผมต้องไปนอนบนอาคารร้าง เพราะว่าตึกแถวราชดำเนินมันร้างไปหมด ข้างล่างปิดสังกะสี แล้วมีคนเข้าไปถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระเต็มเลย เพราะว่าตอนนั้นเราก็ไม่มีบ้านอยู่ แต่บางครั้งอาจจะโชคดีหน่อยที่ได้ไปนอนที่ศาลาวัด ยุงไม่มีเพราะน้ำมันไหล นอนสบาย

รู้ตนว่าต่ำต้อย
จึงเก็บรักนี้ตลอดมา

แม้ว่าช่วงชีวิตของสุรพลจะต้องประสบกับความยากลำบากมาตั้งแต่ต้น ทั้งการเป็นคนเร่ร่อน ยอมทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ แต่สิ่งที่เขายังคงยึดมั่นเสมอมา นั่นคือ ‘ความรักข้างเดียว’ นั่นจึงทำให้เขายังคงมีแรงที่จะใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้มาได้ และเลือกที่จะเก็บความรักนี้อยู่ในใจอย่างเต็มใจเสมอมา...

“ตอนนั้นเขาก็เป็นนักร้องอยู่ที่คณะผกาวลี ครูลัดดา สารตายน เลยตั้งชื่อในวงการให้เขาว่า สวลี ผกาพันธุ์ ตอนนั้นเราก็กล้าที่จะบอกเขา ทั้งๆ ที่ไม่มีทางเลย ต่ำต้อยมาก ที่กินก็ไม่มี หากินไปวันๆ ที่นอนยิ่งแล้วใหญ่ ส่วนมากจะได้ไปนอนตอนตี 5 ซึ่งยุงมันไปหมดแล้ว นอนบนที่สูงๆ บางทีก็ซักเสื้อกับกางเกงแล้วตาก ยังไม่ทันจะแห้งเลยก็เอามานุ่งแล้ว ชีวิตของเรามันแย่มาก ส่วนเรื่องการบอกรักเหรอ ใครจะไปกล้าล่ะ คนละระดับด้วย จริงๆ เขาก็ไม่อยากให้คนรู้เท่าไหร่ เพราะอยากเป็นไทย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หารู้ไม่ว่าคนอื่นเขาก็รู้ ทั้งๆ ที่เขาไม่อยาก เพราะถ้าเป็นแล้วคนจะได้ชื่นชม ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเป็นคนไทยนะ คนไทยก็ไม่อยากให้เขาเป็นอย่างอื่น อยากให้เขาเป็นคนไทยนี่แหละ

“คือเขาก็มีแฟนของเขา คือ อดิศักดิ์ เศวตนันทน์ ตอนหลังที่เขาได้แต่งงานกัน เพราะว่าอดิศักดิ์มีรถยนต์ แล้วเมื่อก่อนเขาได้นั่งรถกลับบ้าน ไม่ต้องนั่งสามล้อ ไม่ต้องเสียเงินด้วย เรียบร้อย เราก็เยียวยาตัวเองด้วยการทำงานของเราปกติไป ผมว่ามนุษย์เรามีธรรมชาติกำหนดนะ ทำไมเราไม่มีฐานะ ไม่รวยเหมือนคนอื่น อย่างบางคนก็เป็นคนดีนะ แต่ทำไมไม่ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆ บ้าง ทำไมต้องไปเป็นบางคน พอเขาทั้งสองคนเป็นแฟนกันแล้ว ใครจะไปกล้าทำอะไร ขนาดจะให้เป็นเพื่อนกันเราก็ยังไม่กล้าเลย รักอยู่ในใจก็พอ ไม่มีอันตราย

“แม้ว่าผมอาจจะเจ้าชู้ทศกัณฐ์ลิ้นยักษ์ก็จริง แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรแบบขัดศีลธรรม เราก็รักเรื่อยๆ ไป ไม่เห็นจะมีอันตรายอะไร แค่ไม่ได้บอกคนที่เรารัก คือคนที่เรารักเขาก็รู้ปุ๊บ เกิดปฏิกิริยาเลย อย่างวันหนึ่งอดิศักดิ์เขาไปในร้านตัดผม แล้วเขานั่งรออยู่ในรถ ผมเจอสวลีแล้วผมบอกเขาเลยว่า คุณรู้มั้ยว่าผมรักคุณ แล้วเขาตอบว่าไม่เป็นไรหรอก ความรักเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็เข้าใจกันในเรื่องสถานะได้ ไม่เป็นไร แค่เรารู้สึกว่าเราจริงใจ แค่นั้นพอแล้ว เราก็ทำได้แค่นั้นแหละ เราจะไปวิเศษกว่าเจ้าของตัวจริงมั้ยล่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เรารู้สึกว่ารักเขาแล้วได้เลย ไม่เคยมี ที่ได้คือเขารักผมด้วย

ต้องเขียนแบบพลิกแพลง
จึงจะยอมร้องเพลงให้

เมื่อทั้งสุรพลและสวลีได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในวงการเพลง ในสถานะนักแต่งเพลงกับผู้ขับร้องเพลง แน่นอนว่าการร่วมงานกันในช่วงแรก สุรพลอาจจะมีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาปะปนอยู่บ้าง อีกทั้งยังถูกดูแคลนว่าไม่มีความสามารถพอที่จะมาเป็นนักแต่งเพลงได้ นั่นจึงทำให้เขาต้องมีการพลิกแพลงการเขียนบางอย่างขึ้น กระทั่งในท้ายที่สุด สวลีก็ยอมร้องเพลงที่สุรพลได้เขียนไว้ และทำให้เกิดความสำเร็จให้แก่พวกเขาในเวลาต่อมา....

“ผมเขียนให้เขาโดยตรง คือตอนแรกเขาไม่ร้องเลย ตื๊ออยู่พอสมควร จนกระทั่งเราเติมคำว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าไป เขาถึงจะยอมร้องให้ ถ้าเขาไม่ร้อง เขาก็น่าจะเสียใจ เพราะเป็นเพลงที่เขาได้รางวัลนะ แต่เราก็ไม่ตื๊อนานหรอก ผมตั้งใจดี แล้วแฟนเขาก็นึกว่าผมไม่ใช่นักแต่งเพลงอะไร ไปนึกซะอย่างงั้น แล้วเพลงนี้ทำให้ผมกับเขาได้รับรางวัล แต่ที่เขาไม่ร้องเลยในตอนแรกเพราะเขาคิดว่าเราไม่ใช่นักแต่งเพลงมากกว่า เขาไม่เชื่อในความพยายามของเรา แต่เราก็เป็นนักต่อสู้ ใครเขาว่าเราไม่พยายาม ผมก็ทำให้เห็นให้ได้ แล้วเราการศึกษาต่ำ ตอนไปทำงานหนังสือก็โดนว่าเขียนไม่ดี เราก็พยายามเขียนให้ขายได้ เพราะว่าเรามีแบบอย่าง

“อย่างการแต่งเรื่องสั้น ผมก็เอาแบบอย่าง Surprise Ending หักมุมตอนท้าย จำเขามา อย่างเรื่องที่เราเขียน ‘ตัณหาเถื่อน’ มันจะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เจ้านายเขาพาผู้หญิงเข้าป่า เขาได้กันแล้ว 2 คน จนต่อมาเขาไม่มีแรง หมดแรง ลูกน้องถามว่าเป็นอะไร เดี๋ยวจะไปหายาชูกำลังมา มันก็ไปอ้อนวอนขอซื้อลิงที่ชาวป่าเลี้ยง พยายามตื๊ออยู่นาน เสร็จแล้วก็ไปเอาสมองลิง ตัดหัวเอาสมองลิงให้เจ้านายกิน แล้วก็ร้องไห้ ถามว่าทำไม ลูกน้องก็บอกว่าเขาจะได้มีแรงสองเท่า เขาจะได้มีลูกได้ จนวันต่อมาเจ้านายมันหายไป จนตามไปเจอที่บ้านคนป่า เห็นคนป่ากินมันสมองในหม้อใบใหญ่ ลูกน้องถามว่าอะไร คนป่าตอบกลับมา ก็เจ้านายมึงไง เพราะว่ามึงบอกเองว่ากินสมองหนึ่งเท่า กูก็เอาหัวนายมึงมากินไง เพราะจะได้มีกำลังสองเท่า อย่างงี้

“ผมแต่งเพลงเอง คนก็ไม่เชื่อ อยากเป็นนักเขียน คนก็ไม่เชื่ออีก แต่พอมันดังแล้ว ใครๆ ก็อยากร้อง เพราะว่าเพลงที่ผมแต่งส่วนใหญ่มันก็จะเป็นปรัชญาในตัว อย่างเวลาที่เราเขียนมักจะให้เห็นภาพ ชอบให้เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง แล้วเราก็แต่งให้กับสวลีเยอะพอสมควร อย่างเวลาทิ่เริ่มแรกคนไม่เชื่อ ผมก็ตั้งใจเป็นพิเศษ จนคนเชื่อถือ นักเขียนก็เช่นกัน แต่ว่าในตอนใหม่ๆ มันก็อย่างงั้นแหละ พอนานๆ เข้าก็ไม่มีปัญหาแล้ว ขอให้มีเพลงมาเถอะ ร้องหมด แต่บางเพลงที่ไม่เหมาะกับเขา เราก็ไม่ให้เขาร้องเหมือนกันนะ ต้องดูความเหมาะสมด้วย แล้วเราร่วมงานกับเขาในฐานะคนแต่งเพลงกับคนร้องเพลงก็นานเหมือนกัน แต่ก็ไม่ตรงเป้า เพราะว่าสมัยก่อนผมทำอะไรตรงเป้าตลอด อย่างเวลาแต่งเพลง ก็ให้มีศักดิ์ (นาครัตน์) ร้องบ้าง เพราะสมัยก่อนคนไม่ค่อยสนใจเพลงสากล ทั้งๆ มันก็เป็นเพลงสากลที่แปลงมาอีกที

แม้จะรักแบบไหน
แต่ความรักก็สวยงาม

เมื่อสุรพลได้รับการยอมรับในฐานะนักแต่งเพลง จากเพลง ‘ใครหนอ’ นั่นจึงทำให้ทั้งสุรพลและสวลีก็ได้ร่วมงานกันอีกหลายชิ้นงานเรื่อยมา จนทั้งคู่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติในเวลาต่อมา จนกระทั่งความสูญเสียครั้งดังกล่าวได้มาเยือน นั่นจึงทำให้เวลาของการจากลาระหว่างเขาและเธอได้มาถึง เช่นเดียวกัน ความรู้สึกของสุรพลก็ถูกพูดถึงในสังคมออนไลน์ไปในทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน

ผมยินดีอยู่แล้ว รักด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังครอบครอง เราคิดในใจแบบหยาบๆ ของๆ เรา จะไปวิเศษกว่าของคนอื่นได้ยังไง ที่เขามีอยู่ก็ดีแล้ว เรารักที่ตัวเขา ไม่ได้หวังครอบครอง รักที่ความสามารถ ความสวยงาม กับสิ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ บางคนที่เขาชอบๆ เขาทำตัวไม่ดี มีโอกาสก็ยังเตือนเขาได้ อย่างตอนนี้ผมยังไว้ทุกข์อยู่เลย ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างให้เขาจากไป คนเป็นทุกข์ก็เป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนกัน แต่สักวันคนก็ลืมไปแล้ว โลกก็เป็นอย่างงี้แหละ แต่ตอนไปงานศพเขาไม่ได้บอกอะไรกับเขาหรอก แค่แต่งชุดดำให้ ให้เจ้าตัวเขารู้เอง รู้โดยไม่ต้องบอก สิ่งที่เราคุยกันมามันก็เป็นอดีตแล้ว มีคืนกลับมาแล้ว ให้ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน แล้วอนาคตเราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ฝนจะตก แดดจะออก เราก็ไม่รู้ เราก็อยู่ได้ เพราะเราไม่รู้ เกิดมาแล้วต้องรู้ เพราะรู้แค่ปัจจุบันกับอนาคต อดีตไม่ต้องพูดถึง

“ความรักมันเป็นเรื่องของธรรมชาตินะ ถ้าคนเราไม่มีสิ่งนี้ ทุกอย่างมันพังทลายหมดเลย โลกถึงกับพินาศเลย อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีความรัก ก็ต้องมีการรบกันวินาศสันตะโร รบกันฆ่ากัน มีการช่วงชิง ผู้หญิงก็หวงผู้ชาย ผู้ชายก็ยิ่งหวงผู้หญิงหนักไปใหญ่ เพราะมีกามารมณ์เข้ามา ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขารักกันแบบไหน รักแบบปรารถนา รักแบบมีตัณหา มีความใคร่ กับความรักแบบมีบริสุทธิ์ นี่มันคนละเองเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นความรักยังไงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่ารักแล้วไม่ทำลายล้างกันอย่างที่บอก อย่างมากก็งอนนิดหน่อย เรื่องธรรมดา

“ครอบครองก็มีความสุข แต่มันมีโอกาสเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราครอบครองเขาแล้วเขามีความยินดี ไม่แสดงอะไรออกมาที่ไม่ยินดีไม่พอใจ ไม่งั้นคนเขาอยู่กันจนแก่ตายเยอะแยะ ทั้งๆ ที่เขาอายุมาก เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกันนี่ เขาก็เพียงช่วยเหลือกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ไม่มีความรังเกียจ แต่อาจจะมีบ้างตรงที่ถ้าอีกฝ่ายมีปัญหาในยามเจ็บป่วย ถ้าฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน อีกฝ่ายก็ทำให้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ครอบครอง เราก็โอเคเหมือนกัน ถ้าเขารักเรา อย่างลูกผมเขาก็ทำให้ผมทุกอย่าง คอยเช็ดทุกอย่างให้ ถ้าเรามีความรักให้กัน มันไม่มีอะไรที่จะเสียหรอก แต่ขอให้เป็นเรื่องจริงก็แล้วกัน อย่าให้มีรักลวง

วางตนเป็นกลาง
ผลงานจึงยังถูกกล่าวถึง

เช่นเดียวกัน ด้วยผลงานของตัวสุรพลเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการประพันธ์ทางงานเขียน ทั้งเรื่องสั้น บทความ คำโฆษณา หรือการแต่งเพลงทั้งคำร้องในเพลงสมัยนิยมและงานเพลงโฆษณา ต่างก็เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลทางด้านดังกล่าวก็ว่าได้ ในฐานะคนสร้างสรรค์งาน สุรพลได้ให้ความเห็นว่า ต้องวางตัวเป็นกลาง และคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก จึงจะทำให้ตัวผลงานเป็นที่ยอมรับและกล่าวถึงในทุกยุคสมัยนั่นเอง

งานทุกงานผมทำตัวเป็นกลาง ผมว่าบางอย่างนะ คนทั้งประเทศก็คิดแบบเดียวกับเรา แต่เขาไม่ใช่นักเขียน นักประพันธ์ หรือนักแต่งเพลง เขาก็ทำไม่ได้ ผมเลยคล้ายๆ มาทำแทน เวลาที่จะทำอะไรก็ต้องให้คนอื่นใช้ด้วย เราคิดอย่างงี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวเสมอ ใครเอาไปใช้ก็เป็นประโยชน์ คือให้เขาไปร้อง ให้เขาไปพูด อย่างที่ผมเขียน ‘น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน’ คนเขาเอาไปพูดตามกัน จะให้ไปนึกถึงแต่ตัวเองไม่ได้ คนอื่นเขาก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนเราเหมือนกัน เราเลยคล้ายๆ กับว่าเป็นตัวแทนให้กับพวกเขา พอผลงานออกมาแล้วมันจะไปตรงกับหัวใจของใคร แต่ก็ต้องตรงนะ เพราะเราตั้งใจ เชื่อว่าคนอื่นก็คิดแบบเดียวกับเราอย่างที่บอก อาจจะมีในเรื่องความตั้งใจเป็นสำคัญด้วย อย่างที่บอกว่าให้เน้นส่วนกลาง เราจะมาเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะคนอื่นเขาก็มีชีวิตจิตใจเหมือนเรา ฉะนั้น เรามาเป็นตัวทำหน้าที่

จากผลงานเพลงของเราเองที่ผ่านการแต่งเพลงมาทุกยุคทุกสมัย มันเป็นเพราะผมเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุค แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ผมก็อยากโด่งดังได้ดีในงานที่ทำด้วย หมายความว่าทำให้ดี ทำให้ตรงเป้าหมาย ทำให้ถูกใจประชาชนเมื่อเขาเอาไปใช้ ประมาณว่าฟังแล้วรู้สึกว่า เอ๊ะ ผลงานนี้ของใคร เขาจะได้รู้ว่าสุรพลเขาเขียน สุรพลเขาแต่ง ทุกวันนี้ผลงานของผมเผยแพร่เยอะแยะเลย แต่ก็ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าผมเขียน งานเขียน งานเขียนคำและเพลงโฆษณา หรืองานเพลง อีกมากมายเลย โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ชอบประดิษฐ์คำ อย่างงานโฆษณาบางตัว หรืองานเพลงก็จะแต่งตามบุคลิกคนร้อง อย่างเพลงหัวใจเธอมีหรือเปล่า ของวงฟอร์เอฟเวอร์ ผมแต่งตามบุคลิกของอั้น (สหพล จุลวงศ์ : หนึ่งในนักร้องนำ) แต่ก็ไม่ได้บอกเขาหรอกว่าแต่งให้เขา เพราะว่าเราแต่งตามนิสัยคนเลย ทุกวันนี้ผมก็ยังทำงานตลอด มีงานก็ทำ ได้หรือไม่ได้เงินก็ทำ เพราะเราเกิดมาทำ ทุกวันนี้ก็ยังฟังเพลงใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะคนที่จะมาเป็นนักแต่งเพลงจะมาบ้าทำงานอย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องหัดฟังเพลงคนอื่นเขาบ้าง เพราะเพลงอื่นเขาก็เป็นครูบาอาจารย์เราเหมือนกัน จะมีบ้างที่แบบคิดตรงกับเราแต่ว่าเขาแต่งแล้ว เราก็อย่าไปยุ่ง ของเขาดีแล้วไม่ต้องไปวัดรอยเขา คิดดูให้ดี เพราะว่าถ้าเราตายแล้วก็ต้องทำต่อ แต่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำ ให้มันดีคนละแนว แตกต่างกันไปเรื่อยๆ โลกจะได้ไม่เหงา”

“ในสายตาคนมองนะ สำหรับคนคนนี้ก็หมายถึงผม ผมก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มยังไง (หัวเราะเบาๆ) ผมก็ใช้ไปเรื่อยๆ ถ้าคนรุ่นคุณบอกว่าคุ้มเพราะทำผลงานออกมา ผมบอกว่าคือผมตั้งใจ สมัยเป็นนักเขียนก็ตั้งใจเขียน ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือนะ ก็ครูพักลักจำมา ดูเส้นทางคนนั้นคนนี้ อ่านแล้วก็เอาอย่าง เพียงแต่ว่าไม่ได้เอาของเขามานะ เพลงก็เหมือนกัน จำทางเขามา แล้วก็มาทำเป็นของตัวเราเอง ผมไม่ได้เป็นนักเรียนดนตรี เล่นดนตรีไม่ได้สักเครื่อง อ่านโน้ตก็ไม่เป็น แต่เขียนเพลงกับเขียนหนังสือด้วยความรู้สึก แต่ความรู้สึกนี้เป็นของดี ถ้าเรารู้สึกดี เรารู้ว่าเรากำลังจะให้อะไรกับใคร ถ้าเป็นเพลงก็รู้ว่าจะให้อะไรแก่ผู้ฟัง ถ้าคำเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เช่น จะเอาโลกมาทำปากกา แล้วเอานภามาแทนกระดาษ เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด ประกาศพระคุณไม่พอ อย่างนี้ หาอะไรที่มันง่ายๆ สะดุดหูคนฟัง ยังไม่มีใครเขียน แล้วก็จำไป เป็นประโยชน์ต่อๆ ไป

“ผมอยากให้คำนึงถึงความยุติธรรม คำถึงว่าใครเป็นคนทำ ถ้าทำเพื่อมีรายได้ ก็ต้องแบ่งรายได้เขาบ้าง ไม่ใช่ไปกินคนเดียว เพราะเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนกัน ต้องกินอยู่หลับนอนเหมือนๆ กัน ก็ต้องสงสารคนที่คิดบ้าง ไม่ใช่เอาสมองเขาไป ได้มาก็ดีใจคนเดียว ก็ไม่ถูก สร้างเวรสร้างกรรมทางอ้อมโดยไม่รู้ตัว คนสร้างงานก็เหมือนกัน ถ้ามีรายได้ก็ต้องแบ่งให้เจ้าของงาน ไม่ใช่กินคนเดียว แบ่งๆกันไป ไม่มีใครว่า ส่วนเจ้าของงานก็ต้องทำผลงานให้ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไปใช้ได้ อย่างผมเนี่ย เพลงธรรมดาๆ ทำเงินได้เยอะแยะ พอมีคนขอไปใช้ก็จ่ายเงินให้ เราต้องทำให้เป็นกลางอย่างที่บอก อย่างบางเพลงมันก็ไม่ดังในทันที แต่ผมฟังผมรู้ เราก็คอยให้กำลังใจไปว่าอาจจะใช้เวลาหน่อย อีกหน่อยก็ดัง แล้วก็เรื่องจริง”
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช



กำลังโหลดความคิดเห็น