ทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยเราเคยมีพระมหากษัตริย์ครองราชย์พร้อมกัน ๒ พระองค์ ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกของการครองราชย์บัลลังก์ที่ไม่เห็นที่ไหนมีแบบนี้ทั้งยุโรปและเอเชีย มีแต่น้องฆ่าพี่ พี่ฆ่าน้อง หรือพ่อลูกฆ่ากันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งเรื่อง ๒ กษัตริย์ของไทยนี้ไม่เกี่ยวกับการแย่งชิงราชบัลลังก์กันแต่อย่างใด และเหตุผลใน ๒ สมัยก็แตกต่างกัน แต่ทั้ง ๒ ครั้งนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนอย่างหนึ่งถึงความรักของ ๒ กษัตริย์พี่น้อง
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงรับรู้ถึงความรู้สึกในการเสียเอกราชตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพจะมาตีกรุงศรีอยุธยาโดยเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชา หรือ ขุนพิเรนทรเทพ ผู้จับเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และขุนวรวงศาสำเร็จโทษ ซึ่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดฯให้ไปครองเมืองพิษณุโลก เห็นว่าทัพของพระเจ้าบุเรงนองใหญ่หลวงเกินกว่าจะรับได้ จึงแต่งเครื่องราชบรรณาการแล้วพาพระสุพรรณกัลา ราชธิดาวัย ๑๖ พรรษา กับพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ๒ พระโอรสออกไปสวามิภักดิ์ พระเจ้าบุเรงนองทรงยินดีและประกาศมิให้ไพร่พลทำร้ายอาณาประชาราษฎร์ แล้วให้พระเอกาทศรถซึ่งมีพระชนม์เพียง ๑๒ พรรษา เยาว์วัยกว่าพระนเรศวร ๒ พรรษาอยู่รักษาเมืองพิษณุโลก ให้พระมหาธรรมราชา พระสุพรรณกัลยา และพระนเรศวร เสด็จไปในกองทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้แล้ว พระเจ้าบุเรงนองได้มอบราชสมบัติให้พระมหาธรรมราชา และพาพระสุพรรณกัลยากับพระนเรศวรไปกรุงหงสาวดีด้วย
ต่อมาเมื่อพระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดฯให้พระสุพรรณกัลยาเป็นพระชายา จึงคืนพระนเรศวรให้มาช่วยพระราชบิดาบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งสมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงแต่งตั้งให้เป็นพระมหาอุปราช ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก ศูนย์กลางการปกครองภาคเหนือ
ในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชซึ่งครองราชย์อยู่ ๒๑ ปี พระราชโอรสสองพี่น้องซึ่งใฝ่พระทัยจะกู้ชาติให้เป็นปึกแผ่น ได้ออกศึกแทนพระราชบิดาเคียงคู่กันมาตลอด จนเมื่อพระราชบิดาสวรรคต สมเด็จพระนเรศวร มหาอุปราชจึงขึ้นครองราชย์ และทรงสถาปนาพระอนุชาขึ้นเป็นมหาอุปราช ครองเมืองพิษณุโลก แต่มีฐานะเทียบเท่าพระมหากษัตริย์ ปกครองเมืองเหนือทั้งหมด
แม้จะไม่มีเอกสารยืนยันเรื่องนี้ แต่ก็ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับราชการเมืองเหนือ จะเป็นประกาศพระราชกฤษฎีกาของสมเด็จพระเอกาทศรถ ถ้าเป็นราชการฝ่ายเมืองใต้ ก็จะเป็นประกาศพระราชกฤษฎีกาของสมเด็จพระนเรศวร และพงศาวดารในช่วงนี้จะกล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถว่า “พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์” หรือ “สมเด็จพระบาทบรมนาถบพิตรทั้งสองพระองค์”
ส่วนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนิพนธ์ถึงเบื้องหลังการครองราชย์ ๒ กษัตริย์ไว้ตอนหนึ่งว่า
“วันหนึ่ง เจ้าพระยาภาณุวงศ์มาหา เวลานั้นท่านอายุ ๘๐ ปีแล้ว แต่ความทรงจำของท่านแม่นยำ ฉันเคยถามได้ความรู้เรื่องโบราณคดีมาจากท่านหลายครั้ง วันนั้นเมื่อสนทนากันฉันนึกถึงเรื่องที่ทูลถวายราชสมบัติทั้งสองพระองค์ ถามท่านว่าท่านทราบหรือไม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตนั้น เพราะเหตุใดสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (บิดาของท่านเมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง) ซึ่งเป็นหัวหน้าในราชการ ถึงแนะนำให้ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์ ไม่ถวายแต่พระองค์เดียวเหมือนอย่างเมื่อเปลี่ยนรัชกาลก่อนๆ ท่านบอกว่าเรื่องนี้ท่านทราบ ด้วยได้ยินกับหูของท่านเอง และเล่าต่อไปว่า วันหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวใกล้จะสวรรคต สมเด็จเจ้าพระยาฯไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ กราบทูลให้ทรงทราบว่า จะเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ถ้าจะถวายราชสมบัติแก่พระองค์ ขอให้ถวายแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซึ่งตรัสเรียกว่า “ท่านฟากข้างโน้น” ด้วย เพราะพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯพระชาตาแรงนัก ตามตำราโหราศาสตร์ว่า ผู้มีชาตาเช่นนั้นจะต้องได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าทรงรับราชสมบัติแต่พระองค์เดียวจะเกิดอัปมงคล ด้วยไปกีดบารมีของพระอนุชา แม้ถวายราชสมบัติด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์ จะได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยอีกพระองค์หนึ่ง เหมือนอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยกัน เช่นนั้นจึงจะพ้นอัปมงคล สมเด็จเจ้าพระยาฯก็ไม่ขัดพระราชอัธยาศัย ออกจากวัดบวรฯ ข้ามฟากไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ณ พระราชวังเดิม ตัวท่านเองเวลานั้นอายุได้ ๑๘ ปี นั่งไปหน้าเก๋งเรือของบิดา เมื่อไปถึงพระราชวังเดิม เป็นเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯประทับอยู่ที่แพหน้าวัง เสด็จออกมารับสมเด็จเจ้าพระยาฯที่แพลอย ตัวท่านอยู่ในเรือได้ยินสมเด็จเจ้าพระยาฯเล่าถวายสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯดังกล่าวมา จึงทราบเรื่องตามที่เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯเล่า ก็สมกับประกาศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงสถาปนาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามแบบอย่างครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถ...”
ครั้นถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๓๙๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระราชวงศ์และเสนาบดีพร้อมด้วยราชาคณะจึงปรึกษาหารือกัน เห็นควรถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ กับ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทั้ง ๒ พระองค์ ทรงพระนาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว