สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้อิสรภาพ และแผ่พระบรมเดชานุภาพจนพม่าไม่มาเหยียบแผ่นดินไทยถึง ๑๕๐ ปี เมื่อประเทศชาติว่างศึกศัตรู จึงน่าจะมีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้า แต่ปรากฎว่าคนไทยกลับเข่นฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงอำนาจ จนประเทศชาติอ่อนแอลงทุกที พอมาได้ผู้นำที่อ่อนแอเข้าไปอีก กรุงศรีอยุธยาจึงถึงกาลชะตาขาดจนยากที่จะฟื้นคืนได้
เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถที่ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร การเข่นฆ่ากันเพื่อชิงอำนาจก็เกิดขึ้นมาตลอดเกือบทุกรัชกาล ผลัดแผ่นดินทีไรก็ต้องเข่นฆ่าคนที่จงรักภักดีต่อรัชกาลเก่า จนเหลือแต่ข้าราชการพวกประจบสอพลอ ใครชนะมาก็เอาด้วย พอถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งก็ต้องลากปืนใหญ่ถล่มวังหลวงชิงอำนาจมาจากพระเจ้าอาเหมือนกัน เหล่าขุนนางคนสำคัญจึงต้องไปดึงเอาคนต่างชาติหลายสายพันธุ์มาใช้ เพราะขุนนางไทยเหลือคนเก่งน้อยเต็มที
แม้สมเด็จพระนารายณ์จะพาชาติรอดปลอดภัยจากศัตรูรอบบ้านและจากชาติตะวันตกไปได้ แต่เมื่อสิ้นรัชกาล การเข่นฆ่าเพื่อชิงอำนาจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้ขึ้นครองราชย์ต่อไปถูกกำจัดจนสิ้น ขุนนางข้าราชการทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ต่างก็ต้องยอมพร้อมใจกันถวายราชสมบัติแก่ขุนหลวงสรศักดิ์ ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าแท้ที่จริงก็คือโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์ แต่ขุนหลวงสรศักดิ์กลับว่า “บิดาของเรายังอยู่ ท่านทั้งปวงจงเชิญบิดาของเราขึ้นครองราชย์เถิด”
ด้วยเหตุนี้ พระเพทราชา อดีตเจ้ากรมช้าง ซึ่งมีอำนาจที่สุดในยามนั้น จึงได้ขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาบุรุษ ทรงตั้งขุนหลวงสรศักดิ์ บุตรบุญธรรมเป็นพระมหาอุปราช
ไม่เพียงแต่ประเทศราชหลายเมืองจะไม่ยอมรับพระเพทราชาแล้ว พระยายมราช เจ้าเมืองนครราชสีมา กับพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เห็นว่าสองพ่อลูกนี้เป็นกบฎ ชิงอำนาจจากสมเด็จพระนารยณ์ จึงแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ต้องยกทัพไปปราบอยู่หลายปีจึงสงบ ขุนนางที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระนารายณ์ทั้งที่เมืองลพบุรี กรุงศรีอยุธยา นครราชสีมา และนครศรีธรรมราชถูกฆ่าหมด
ทั้งพระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดร้ายอำมหิตทั้งพ่อทั้งลูก ในเวลา ๑๕ ปีที่พระเพทราชาครองราชย์ ซึ่งขุนหลวงสรศักดิ์ก็มีอำนาจเต็มเช่นกัน ได้มีการสังหารขุนนางฝ่ายตรงข้ามและเชื้อพระวงศ์เดิมเกือบทั้งหมด แม้แต่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูตไทยผู้ไปสร้างชื่อเสียงที่ฝรั่งเศส และเป็นผู้ที่ช่วยพระเพทราชาขับไล่กองทหาฝรั่งเศสออกไป แต่ไม่เห็นด้วยที่พระเพทราชาจะนำพระราชธิดาและพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์มาเป็นชายาฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ให้มเหสีคนเดิมอยู่กลาง จึงถูกลงโทษด้วยการโบย ทำให้เจ้าพระยาโกษาปานตรอมใจจนถึงอนิจกรรม
ในปลายแผ่นดิน กรรมที่เคยก่อไว้ก็ตามมาถึงพระเพทราชา เมื่อพระราชโอรสที่มีพระนามว่า เจ้าพระขวัญ ประสูติจากกรมหลวงโยธาทิพ พระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ มีขุนนางข้าราชการรักใคร่จงรักภักดีมาก ด้วยเหตุสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระนารายณ์และพระเจ้าปราสาททอง เป็นเหตุให้ขุนหลวงสรศักดิ์หวาดระแวงว่าจะได้จึ้นครองราชย์แทนตน ฉะนั้นเมื่อพระเพทราชาประชวรหนัก ขุนหลวงสรศักดิ์ก็จับเจ้าพระขวัญไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ ทั้งยังกำจัดคนที่นิยมเจ้าพระขวัญเป็นจำนวนมาก ก่อนพระเพทราชาสวรรคตรู้เรื่องนี้ก็ทรงพิโรธ มอบราชสมบัติให้แก่พระยาพิชัยสุรินทร์ ขุนนางคู่พระทัย แต่เมื่อพระเพทราชาสวรรคต พระยาพิชัยสุรินทร์จึงรีบนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไปถวายขุนหลวงสรศักดิ์ ก่อนที่ตัวจะถูกสังหารอีกคน แต่ขุนหลวงสรศักดิ์เล่นตัวไม่ยอมรับ ว่าพระราชโองการโปรดมอบราชสมบัติให้ท่านแล้ว ท่านจงครองราชย์เถิด อย่ามายกให้เราเลย จะเป็นการขัดพระราชโองการไม่บังควร พระยาพิชัยสุรินทร์กลับกลัวตายหนัก ถึงกับซบหัวลงกลิ้งเกลือกฝ่าพระบาทกราบวิงวอน จนเมื่อเสนามุขมนตรีทั้งหลายตามมาอ้อนวอน ขุนหลวงสรศักดิ์จึงให้ทุกคนถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ถวายสาบาณตามโบราณราชประเพณี จึงยอมที่จะรับครองราชย์
ขุนหลวงสรศักดิ์ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ แต่เรียกกันตามพระอุปนิสัยที่โหดร้ายว่า “พระเจ้าเสือ” ตลอดรัชกาลของพระองค์ไม่มีผลงานที่เด่นชัด นอกจากการตกปลาล่าสัตว์ ราคะตัณหา และการต่อสู้ ทรงปลอมพระองค์ไปต่อยมวยกับชาวบ้าน โปรดเสวยเพดานปลากะโห้ จึงไปตกปลาที่เมืองสาครบุรี (สมุทรสาคร) ที่มีน้ำกร่อย จนเกิดกรณี "พันท้ายนรสิงห์" โปรดให้ขุดคลองมหาชัยเป็นเส้นตรง โดยให้ฝรั่งส่องกล้อง เชื่อมปากน้ำสาครบุรีมาทะลุแม่น้ำเจ้าพระยาที่พระประแดง เพื่อเสด็จไปตกปลากะโห้ได้สะดวก
พระเจ้าเสือครองราชย์อยู่ได้ ๗ ปีก็สวรรคตขณะมีพระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา ขณะที่ประชวรหนักก่อนสวรรคต ทรงพิโรธเจ้าฟ้าเพชร พระราชโอรสผู้ทรงเป็นพระมหาอุปราช เวนคืนราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าพร พระราชโอรสองค์น้อย แต่เมื่อพระเจ้าเสือสวรรคต เจ้าฟ้าพรก็ถวายราชสมบัติคืนให้พระเชษฐา
เจ้าฟ้าเพชรขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ ที่ ๙ แต่เรียกกันว่า ขุนหลวงทรงเบ็ด หรือพระเจ้าท้ายสระ เพราะชอบประทับพระที่นั่งข้างท้ายสระ และชอบเสวยปลาตะเพียน ออกพระราชกำหนดห้ามผู้ใดจับปลาตะเพียนไปบริโภค ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับถึง ๕ ตำลึง
ปลายรัชกาล พระเจ้าท้ายสระเกิดขัดเคืองพระทัยเจ้าฟ้าพร ผู้เป็นมหาอุปราช จึงมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้านเรนทร์ กรมขุนสุเรนทร์พิทักษ์ พระราชโอรสองค์โต แต่เจ้าฟ้านเรนทร์เห็นว่าพระเจ้าอาควรจะได้เป็นรัชทายาท จึงทรงผนวชหนีปัญหา และไม่สึกออกมาอีกเลย พระเจ้าท้ายสระจึงมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เจ้าฟ้าอภัย ราชโอรสองค์กลาง
เมื่อพระเจ้าท้ายสระสวรรคต ก็เกิดการแย่งอำนาจกันครั้งใหญ่อีก เจ้าฟ้าอภัยถือว่าได้รับมอบราชสมบัติมาจากพระราชบิดา และเจ้าฟ้าปรเมศร์ พระราชโอรสองค์น้อยก็สนับสนุนพระเชษฐา ส่วนเจ้าฟ้าพร ก็ถือว่าพระองค์ยังเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม
พระเจ้าหลานมีฝ่ายวังหลวงหนุน สงครามกลางเมืองชิงอำนาจระหว่างวังหลวงกับวังหน้าจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง และดูจะหนักกว่าทุกครั้ง ต่างฝ่ายต่างก็มีผู้สนับสนุน วังหน้าทลายคุกเอานักโทษออกมาเป็นกำลัง ๗๐๐ คน ต่างผลัดกันรุกผลัดกับรับถึง ๓ วัน ล้มตายกันเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย สองเจ้าฟ้าเห็นว่าฝ่ายตัวอ่อนกำลังจนหมดทางสู้แล้ว จึงหอบสมบัติหลบหนีออกไป แต่ก็ถูกตามจับมาได้ และถูกทุบด้วยท่อนจันทน์
ขุนนางฝ่ายวังหลวงถูกกำจัดลงไปมาก ที่เหลือต่างก็ต้องหลบหนีออกจากกรุงไปหลบซ่อนตามหัวเมืองหรือในป่า กำลังของกรุงศรีอยุธาตอนนั้นจึงอ่อนลงอย่างที่สุด หากมีศึกมาประชิดก็ยากที่จะรักษาตัวได้ ดีแต่รอบบ้านต่างก็มีปัญหายุ่งเหยิงพอกัน
เจ้าฟ้าพรขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๓ แต่ในพงศาวดารเรียกเมื่อสวรรคตแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงโปรดเกล้าฯ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นมหาอุปราช แต่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ ผู้เป็นกวีเอก ก็ไปไม่ถึงราชบัลลังก์ เพราะถูกเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์ด้วยข้อหาว่าเป็นชู้กับสนมเอกของพระราชบิดา
เมื่อตำแหน่งรัชทายาทว่างลง ขุนนางข้าราชการทูลขอให้สถาปนาเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมหลวงพรพินิต ขึ้นเป็นมหาอุปราช แต่กรมขุนพรพินิตกลับขอให้สถาปนากรมขุนอนุรักษ์มนตรี หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ พระเชษฐาขึ้นเป็นรัชทายาท พระราชบิดาไม่ทรงยินยอม แล้วรับสั่งอย่างชัดเจนว่า
“กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราช สำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติเสียหาย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตกอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตรครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไปได้ เหมือนดังคำปรึกษาด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง”
จึงมีพระราชโองการให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรี หรือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ออกผนวช และสถาปนากรมขุนพรพินิต หรือเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นเป็นมหาอุปราช แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ยังกระดากกระเดื่องที่จะไปประทับที่วังหน้า คงประทับที่พระตำหนักสวนกระต่ายต่อไป
ในปี ๒๓๐๑ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศประชวรหนัก รับสั่งให้พระราชโอรสที่มีบทบาทสำคัญเข้าเฝ้า ตรัสมอบราชสมบัติแก่พระราชวังบวร กรมขุนพรพินิต และให้พระราชโอรสอีก ๔ พระองค์ ซึ่งประสูติแต่พระสนม มี กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเทพภักดี ถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ฝ่ายเจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรีที่ทรงผนวชอยู่ เมื่อรู้ข่าวว่าพระราชบิดาประชวรหนัก ก็สลัดผ้าเหลืองออกจากวัด เสด็จมาประทับที่ตำหนักสวนกระต่ายในพระบรมมหาราชวัง ด้วยความหวังจะขึ้นครองราชย์ เพราะถือว่าเป็นพระเชษฐาผู้อาวุโสที่สุด
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต กรมหมื่นเทพพิพิธก็ทรงบัญชาให้ปิดประตูพระราชวังตามธรรมเนียม ส่วนเจ้า ๓ กรม คือ กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเทพภักดี และกรมหมื่นจิตรสุนทร ซึ่งถวายสัตย์ไปแล้ว กลับร่วมกันส้องสุมผู้คนและศาสตราวุธ ณ ตำหนักศาลาลวด ส่อเค้าว่าจะเปิดศึกสายเลือด และเมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธสั่งให้อัญเชิญพระแสงกระบี่และพระแสงง้าวตามเสด็จกรมพระราชวังบวรไปตำหนักสวนกระต่าย กรมหมื่นสุนทรเทพกับกรมหมื่นเทพภักดีก็แย่งพระแสงไปไว้ที่ตำหนักศาลาลวด เป็นการขัดขวางการทำพิธีราชาภิเษกของกรมขุนพรพินิต
ในตอนค่ำที่กรมขุนพรพินิตเรียกประชุมขุนนางข้าราชการที่ตำหนักสวนกระต่ายเพื่อปรึกษาข้อราชการ กรมหมื่นสุนทรเทพได้สั่งให้ข้าราชบริพารพาคนกว่าร้อยปีนกำแพงวัดพระศรีสรรเพชญ์และกำแพงด้านโรงพาหนะ สมทบกับกองกำลังของกรมหมื่นจิตรสุนทรเข้าทำลายประตูคลังแสงนอก ขนเอาปืนนกสับและอาวุธต่างๆไปเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมการรบเต็มที่
ขณะที่สงครามกลางเมืองชิงราชบัลลังก์จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ๕ รูป ซึ่งทราบข่าวได้รีบมาระงับศึก กรมขุนพรพินิตจึงอาราธนาพระคุณเจ้าทั้ง ๕ ไปช่วยเตือนสติพระอนุชาต่างมารดา ให้เห็นบาปบุญคุณโทษ เลิกก่อการร้ายเสีย แต่พี่น้องทั้ง ๓ ไม่ยอม พระคุณเจ้าทั้ง ๕ รูปต้องเวียนไปฝ่ายโน้นทีฝ่ายนี้ทีจนใกล้สว่าง ๓ พี่น้องจึงยอมรับว่าจะเข้าถวายสัตย์ต่อองค์รัชทายาท
พฤติกรรมของ ๓ พี่น้องกลุ่มนี้ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์อีกต่อไป ทั้งยังทราบว่าทั้ง ๓ นี้เองที่เป็นผู้เพ็ดทูลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศใส่ความจนเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ต้องพระราชอาญาถึงสิ้นพระชนม์ หากปล่อยไว้คงไม่พ้นที่จะคิดร้ายด้วยจิตใฝ่สูงอีก กรมขุนพรพินิตที่พระราชบิดาทรงชมว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงออกอุบายรับสั่งให้ทั้ง ๓ พี่น้องมาเฝ้าในอีก ๑๐ วันข้างหน้า เพื่อแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ช่วยบริหาราชการแผ่นดิน ทั้ง ๓ จึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสงบรอดูท่าทีก่อน
ในวันที่มาเฝ้าด้วยหวังจะเป็นใหญ่นั้น กรมหมื่นทั้ง ๓ ไม่ได้เฉลียวพระทัยเลย จึงเดินมาเข้าหลุมพลางของกรมขุนพรพินิต และถูกล้อมจับอย่างง่ายดาย พระองค์เจ้าอาทิตย์ โอรสของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ชำระคดี ทั้งยังทรงถูกกำชับว่า “เขาทำกับพระบิดาของเจ้าฉันใด จงกระทำตอบแทนฉันนั้น” แบบนี้จะมีอะไรเหลือ ทั้ง ๓ กรมหมื่นถูกเชิญไปวัดโคกพระยา ใส่ถุงแล้วทุบด้วยท่อนจันทน์ รับกรรมจากความมักใหญ่ใฝ่สูงไปทั้ง ๓ กรม อีกทั้งสมัครพรรคพวกที่หลงผิดหรือโดนปั่นหัวมาเป็นเครื่องมือชิงอำนาจ ก็ได้รับโทษไปตามระเบียบ
เมื่อขจัดเสี้ยนหนามหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองไปได้ กรมขุนพรพินิตก็ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๔ หรือเรียกกันว่า สมด็จพระเจ้าอุทุมพร แต่เจ้าฟ้าเอกทัศน์ที่ลาผนวชมารอเป็นกษัตริย์ กลับเสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของกษัตริย์โดยไม่มีใครเชิญ พระเจ้าอุทุมพรผู้ทรงเห็นแก่วงศาคณาญาติมากกว่าประเทศชาติ เห็นพระเชษฐาอยากเป็นกษัตริย์เต็มแก่ เลยสละราชบัลลังก์ให้หลังครองราชบ์มาได้แค่ ๑๐ วัน ท่ามกลางความตกตะลึงของพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์ จากนั้นก็เสด็จออกจากพระราขวังไปผนวชที่วัดประดู่ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธที่เป็นเจ้ากี้เจ้าการสนับสนุนเจ้าฟ้าอุทุมพรมาตลอด เกรงว่าจะไม่เป็นที่ไว้วางพระทัยพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ เลยลาไปผนวชเหมือนกันที่วัดกระโจม
เจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือ พระเจ้าอยู่หัวสุริยามรินทร์ แต่เป็นที่รู้จักกันในพระนาม พระเจ้าเอกทัศน์ หรือ ขุนหลวงขี้เรื่อน เพราะเป็นโรคเรื้อน ทรงบริหาราชการแผ่นดินอย่างที่พระราชบิดาคาดไว้ไม่มีผิด ขุนนางที่ประพฤติชั่วแต่ประจบสอพลอได้ดิบได้ดีไปตามกัน ขุนนางที่รักแผ่นดินและภักดีต่อราชบัลลังก์ จึงไปคบคิดกับกรมหมื่นเทพพิพิธที่ทรงผนวช แล้วพากันไปเฝ้าเจ้าฟ้าอุทุมพร ขอให้ลาผนวชกลับมาเสวยราชย์ก่อนบ้านเมืองจะล่มจม เจ้าฟ้าอุทุมพร รับสั่งว่า
"รูปเป็นสมณะ จะคิดอ่านการแผ่นดินนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงเห็นเป็นประการใดก็ตามแต่จะคิดกัน"
เมื่อรับสั่งเช่นนี้ ผู้เข้าเฝ้าทั้งหลายก็ตีความหมายว่าทรงรับข้อเสนอ แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับคิดลึก กลัวว่าถ้าพวกกบฎทำการสำเร็จ อาจจะจับทั้งพระเชษฐาและพระองค์ แล้วยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นครองราชย์ จึงนำความไปกราบทูลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ แต่ก็ทูลขอชีวิตไว้ คณะก่อการจึงถูกจับทั้งหมด ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลังแล้วจำขังไว้ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธทรงพระกรุณาให้สึกแล้วเนรเทศไปเกาะลังกา
ในปี ๒๓๐๒ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีเมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี เรื่อยมาจนถึงสุพรรณบุรี ขุนนางข้าราชการเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์คงรักษาเมืองไว้ไม่ได้แน่ จึงพากันกราบทูลพระเจ้าอุทุมพรให้ลาผนวชออกมาช่วยพระเชษฐา พระเจ้าเอกทัศน์ก็กลัวพม่า จึงยอมให้พระเจ้าอุทุมพรเข้ามาช่วยจัดการป้องกันพระนคร พระเจ้าอุทุมพรจึงถอดถอนข้าราชการที่ต้องโทษให้ออกมาช่วยราชการ ลงโทษข้าราชการชั่วทั้งปวง แต่แม่ทัพนายกองที่ออกไปรับมือพม่าเกิดขัดแย้งกันอีก จึงต้องถอยทัพกลับเข้าพระนคร กองทัพพม่ารุกเข้ามาชิดจนยิงปืนใหญ่เข้ามาถึง พระเจ้าอุทุมพรทรงช้างต้นเลียบพระนครบัญชาการรบ พอดีพระเจ้าอลองพญาถูกปืนใหญ่ของตัวเองระเบิดถูกพระวรกายประชวรหนัก ต้องเลิกทัพกลับไป และสิ้นพระชนม์เมื่อออกไปพ้นด่านเมืองตาก
เมื่อหมดศึกพม่า พระเจ้าเอกทัศน์ก็กลับไม่ไว้ใจพระอนุชา ค่ำวันหนึ่งพระเจ้าอุทุมพรเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาข้อราชการตามปกติ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงถอดพระแสงดาบออกจากฝักพาดไว้บนพระเพลา เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ตีความหมายว่าพระเชษฐาไม่ไว้วางใจ จึงได้ทูลลากลับไปผนวชที่วัดโพธิ์ทองคำหยาด เมืองอ่างทอง
ต่อมาในปี ๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา ได้ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก พระเจ้าเอกทัศน์รับสั่งให้นิมนต์พระราชาคณะเข้ามาอยู่เสียในกำแพงพระนคร เจ้าฟ้าอุทุมพรก็เสด็จมาประทับที่วัดราชประดิษฐานด้วย ขุนนางข้าราชการได้ทูลขอให้ลาผนวชออกมาช่วยป้องกันบ้านเมืองอีกที แม้ราษฎรจะพากันเขียนคำวิงวอนใส่บาตรตอนออกบิณทบาตรก็ตาม เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ไม่ทรงยินยอม
และแล้วกรุงศรีอยุธยาก็ชะตาขาดในวันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน พ.ศ.๒๓๑๐ หลังจากเป็นราชธานีมาได้ ๔๑๖ ปีกับ ๓๕ วัน
พระเจ้าเอกทัศน์นั้น มหาดเล็กได้พาลงเรือเล็กหลบไปซ่อนในดงหญ้าดงไม้ที่บ้านจิก ใกล้วัดสังฆาวาส พม่าตามพบก็ปรากฎว่าอดพระกระยาหารมาถึง ๑๐ วันแล้ว เมื่อหามมาค่ายโพธิ์สามต้นก็สิ้นพระชนม์
ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ ของกรุงศรีอยุธยา ถูกพม่ากวาดต้อนไปกรุงอังวะขณะครองผ้าเหลือง พร้อมกับขุนนางข้าราชการและราษฎรอีกจำนวนมาก ทรงสิ้นพระชนม์ที่พม่า ไม่มีโอกาสกลับมาแผ่นดินไทย
การย่อยยับของกรุงศรีอยุธยาจนไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีก นอกจากการแย่งชิงอำนาจและกวาดล้างขุนนางของอำนาจเก่ารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนไม่มีคนดีมีความสามารถเหลือหลอ บ้านเมืองมีแต่คนประจบสอพลอ และการที่ประเทศได้ผู้นำอย่างพระเจ้าเอกทัศน์ ยังเป็นข้อผิดพลาดอย่างมหันต์
แม้แต่การเมืองไทยยุคนี้ก็ตาม เป็นข้อผิดพลาดของระบบหรืออย่างไร เราจึงได้ผู้นำอย่างที่ไม่ควรจะได้ อย่างน้อยก็มีนายกรัฐมนตรี ๒-๓ คนที่ทำให้เราต้องฉุกคิดว่า ประเทศนี้ไม่มีคนดีมีความรู้ความสามารถกว่านี้อีกแล้วหรือ