กลายเป็นคดีความที่ดังใน ณ ขณะนี้ อีกคดีหนึ่ง ก็ว่าได้ สำหรับกรณีของ “ก้าน” ชายหนุ่มอาชีพช่างภาพวัย 28 ปี ที่ถูกดำเนินคดีจากบริษัทเกี่ยวกับดำน้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ในข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งๆ ที่เขาได้ช่วยเหลือให้กับทางทรัพยากรทางธรรมชาติ จากการที่มีนักดำน้ำคนหนึ่งในบริษัทดังกล่าวได้ทำการทำลายปะการังแล้วให้ปลากินแท้ๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้ ทาง “ก้าน” เอง ก็ต้องต่อสู้ทางคดีความ จากการทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกไปอย่างไม่ย่อท้อด้วยเช่นกัน

อยากให้ก้านช่วยเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้หน่อยครับ
เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ตอนปีที่แล้วครับ ตอนนั้นผมไปเที่ยวเกาะ เป็นอีกทัวร์นึง เป็นการเที่ยว 2-3 เกาะ แล้วไปจบที่เกาะเภตรา ไปดำน้ำเล่น แล้วก้ไปเจอเหตุการณ์ขึ้นมา คือเราไม่ได้เห็นตอนที่เขาทุบประการังนะครับ เจอตอนที่เขาแนะนำนักท่องเที่ยวให้เอามือไปจับปะการัง ให้จับไว้แล้วทำท่ารูปหัวใจแล้วถ่ายรูปเขา ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันก็ผิดแล้วนะ เลยถ่ายรูปไว้ แล้วก็มาเจออีกที เขาก็ใช้ประการังทุบหอยเม่นต่อหน้าต่อตาเลย ซึ่งปะการังมันมี 2 แบบ คือแบบที่โขด ที่เขาจับไว้ถ่ายรูปเฉยๆ ส่วนอีกอันเขามาอีกกลุ่ม น่าจะเป็นปะการังแบบเขากวาง แต่ว่ามันมีปะการังอ่อนขึ้นทับอยู่ แล้วก้อนนั้นแหละที่มาทุบหอยเม่นครับ
ใน ณ ตอนนั้น ผมไม่ได้อยู่ในทีมเดียวกับนักท่องเที่ยวครับ ผมไปดำน้ำอิสระเฉยๆ แล้วบังเอิญไปเห็นพอดี ตอนนั้นผมก็เฉยๆ นะครับ จะเป็นแบบว่า ถ้าเห็นในกลุ่มแบบนี้ก็อย่าทำนะ แบบตักเตือนกัน แต่พอมาเจออีกที นี่คือทำหนักอย่างที่บอกเลยครับ แล้วมันทำให้รู้สึกแย่มาก ซึ่งผมคิดว่าคนๆ นี้ควรจะโดนลงโทษตักเตือนตามกฎหมายแล้วครับ ผมก็เลยไปโพสรูปในกลุ่มของนักดำน้ำใต้น้ำครับ เพราะว่าตอนนั้นเขาดำน้ำอยู่ในแทงค์ใต้น้ำในเขตของเขา แล้วพอขึ้นมาก็ไม่ได้เจอกันแล้ว คือเขายังดำน้ำวนเวียนไป แล้วผมดำน้ำแบบกลั้นหายใจลงไป ทีนี้พอเสร็จปั๊บ ผมก็เดินตามไป แล้วก็ไปกลุ่มคนที่ใส่เครื่องแบบแบบเดียวกันไปที่ซุ้มดำน้ำที่มีถังออกซิเจน ที่เขาสอนการดำน้ำแบบรวบรัดให้นักท่องเที่ยว แล้วผมก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน เพราะว่าคนที่อยู่ใต้น้ำ เราไม่ทราบเพราะเขาใส่หน้ากาก ใส่เต็มไปหมด เราก็มีหลักฐานอื่นว่านนี้ทำงานที่ไหน สังกัดใด ผมก็เลยถ่ายซุ้มดำน้ำไปด้วย เพื่อประกอบการเป็นเบาะแสให้ตามหานักดำน้ำให้เจอ
แล้วรู้ว่าเป็นไกด์คนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
อันนี้ผมไม่ทราบ คือตอนแรกผมไปแจ้งในกลุ่มก่อน ทีนี้ ผมมาขอความช่วยเหลือว่า ผมไม่รู้ว่าจะไปแจ้งทางไหนดี เขาเลยแนะนำว่า ให้ไปแจ้งที่กรมทรัพยากรแห่งชาติฯ ผมก็ไปแจ้งตามที่เขาบอก วันต่อมา เขาก็ไปดำเนินคดี ระหว่างกรม กับนายคนนี้ แล้วเขาก็ยอมสารภาพ ซี่งกรมเขาเก่งมาก เขาตามหลักฐานตามรูปภาพเลย ไล่ตามเวลา แล้วคนที่โดน เขาก็ไปตามจนเจอ แล้วรับสารภาพอย่างที่บอกเลย
อย่างในช่วงตอนจับ ผมเห็นมาเยอะมาก ผมถ่ายไว้เพื่อไปเตือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น แต่เรื่องการใช้ปะการังแข็งที่มีตัวอ่อนติดอยู่ไปทุบหอยเม่น เพื่อให้ปลาไปกิน มันเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก แล้วผมคิดว่าคนที่ทำแบบนี้ได้ ไม่ได้ทำครั้งแรกแน่นอน ผมมั่นใจเลย คือน่าจะเป็นคนที่ทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แน่นอน ดังนั้น ถ้าเราปล่อยคนแบบนี้ไป แย่แน่ๆ แล้วถ้าคนอื่นเห็นว่าคนนี้ทำได้ ก็มีการทำตามกัน มันก็จะเป็นมาตรฐานของการทำแบบนี้ไป ซึ่งผมมองว่ามันเสียหาย ซึ่งโอเคที่ว่าให้คนนี้โดนลงโทษนะ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของการเป็นไกด์ แล้วพวกนักท่องเที่ยวก็จะทราบว่า ทำแบบนี้มันไม่โอเค อย่าทำ มันไม่ดี ให้รู้ว่าไม่ควรทำ ซึ่งท้ายที่สุด เขาส่งฟ้องต่อตำรวจต่อ แล้วก็ดำเนินการทางคดีไป แล้ววันถัดมา ทางบริษัทที่เขาทำงาน ได้เชิญเขาให้ออก เพราะว่าได้ทำผิดร้ายแรง ดังนั้น เรื่องบริษัทดำน้ำ เขามีการจัดการค่อนข้างดี เขาให้คนเป็นผู้จัดการออกไปหาทางกรมเลย ไปจัดการเรื่องนี้ ไปรับทราบข้อกล่าวหา นู่นนั่นนี่ แล้วก็ยอมรับครับ กับว่ากล่าวตักเตือนนักดำน้ำคนนี้ แล้ววันต่อมาก็ทำการเชิญออกอย่างที่บอกครับ ตอนนั้นก็คิดว่าจบแค่นี้ครับ
แล้วต่อมากลายเป็นว่า เราถูกฟ้องซะเอง อยากให้ก้านช่วยเล่าความรู้สึกให้ฟังหน่อย
ก็รู้สึกว่าตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่า น่าจะดำเนินคดีไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขามาบอกว่า ในคำฟ้องผม ผมทำให้เขาเสียหาย ไปหมิ่นประมาทเขา เพราะว่านักดำน้ำคนนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย แล้วการที่ผมไปถ่ายภาพเขา มันเป็นการให้คนเกลียดชังบริษัทของเขาประมาณนี้ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นอีกเรื่องของกรมทรัพย์เขาดำเนินการมาเลยนะ ทั้งๆที่เขาไล่พนักงานออกหลังจากเกิดเรื่อง มันไม่ได้พิสูจน์ว่าคนๆ นั้นเป็นคนของบริษัทหรือเปล่า คือเรางงครับ ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามันเป็นบริษัทอะไร คือแค่ถ่ายรูปแล้วลงไว้ เพื่อเป็นเบาะแสตามหาคนๆ นั้น แค่นั้นครับ ว่าผมเจอเหตุการณ์นี้นะ ว่าเขาทำอะไรไว้ ที่ไหน เวลาไหน ขอให้ช่วยกัน ให้ระบุตัวให้ได้ และลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวอ้างถึงบริษัทใดๆ คืออยากให้นักดำน้ำคนนั้นได้รับบทเรียนมากกว่า แล้วก็มาตรฐานไป
ก้านคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เขาฟ้องเรา
พอดีในซุ้มบริษัท มันมีรูปแบรนด์ของซุ้มอยู่ครับ มันจะมีตัวป้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสติดอยู่ ซึ่งในรูปนั้นมันเป็นสิ่งที่เขาชี้นำให้คนได้ทราบถึงเรื่องว่าเป็นคนในบริษัทของเขา แล้วก็ไปเกลียดชังเขา ซึ่งการออกข่าวครั้งนั้น เขาก็รู้ว่าเรื่องเกิดมาจากบริษัทอะไร เป็นของใคร แล้วเขาไปออกข่าวกัน เขาก็เลยเสียหายตรงนั้นด้วยครับ เขาเลยฟ้องผมเพราะว่า ผมไปทำให้คนเกลียดชังบริษัทเขา และอ้างว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนของเขานะ ไม่ถูกต้องประมาณนี้ครับ หลังจากนั้น เขาฟ้องผม น่าจะประมาณเดือนสิงหาครับ คือเจอแบบหมายศาลเลย ไม่มีคำเตือนอะไรมาก่อน เขามาแบบนี้เลย แล้วพ่อผมเปิดอ่านแล้วงงเลยว่าลูกไปทำอะไรมา
รู้สึกว่าตัวเองซวยมั้ย
ใช่ครับ ก็รู้สึกว่าเครียดเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อนด้วย อยู่ๆ ก็แบบเป็นคนมีคดีเลย มีเอกสารจากศาลมาที่บ้าน เขาก็เครียดไปด้วยว่าเราไปทำอะไรมาเ เราก็เล่าให้ฟัง เขาก็บอกว่า แบบนี้ไม่ถูกนะ ผมก็บอกแม่ว่าไปเจออะไรแบบนี้นะ มันไม่ดีเลย แม่ก็บอกว่าให้ไปแจ้งทางการ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะไปแจ้งทางไหน เลยไปแจ้งคนในกลุ่มเอา ซึ่งแม่ก็เชียร์ผมนะ เพราะว่าคนที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ทุกคนก็น่าจะไม่อยู่เฉย แบบไม่นิ่งนอนใจได้ ส่วนความรู้สึกในการโดนดำเนินคดีของเรา แม่ก็มีเซ็งบ้าง แต่ในเมื่อเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็จงเชื่อมั่นต่อไป คือถ้าเรามีเจตนาที่ดีพอ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรมาทำเราได้ คิดว่าอย่างงั้น
ทางคู่กรณีเป็นบริษัท ตอนนี้คือมีคนกลางเข้ามาคุยกับเราด้วยมั้ย
ใช่ครับ คนกลางก็มาจากกรมทรัพย์ฯ คือเขาพยายามที่จะช่วยเหลือผมมากกว่า ซึ่งรอบแรกเป็นเรื่องของกรมทรัพย์กับนักดำน้ำคนนั้น ซึ่งฝ่ายแรกเขาดูแลอยู่ ทีนี้ขั้นที่สองจะเป็นส่วนของผมที่มีข้อเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำในครั้งนั้น คือทางกรมก็พยายามมาเคลียร์ให้ หลักๆ เลยคือให้ไปทำความเข้าใจ เหมือนกับว่า ถ้าเป็นไปได้ จะให้เราไปขอโทษ เพื่อให้เรื่องมันจบ และเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งผมเข้าใจว่าไปคุยกัน คือคำว่าขอโทษผมไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงนะครับ ให้ถอนฟ้องเหรอ คือตอนนี้ ผมไม่ทราบจริงๆว่าผมสามารถเชื่อใจฝั่งนั้นได้แค่ไหน เพราะว่าเบื้องต้น ผมยังโดนขนาดนนี้เลย ดังนั้น ถ้าผมขอโทษ มีอะไรที่จะรับประกันผมได้บ้าง ว่าจะไม่โดนฟ้องในอนาคตอีก คือมันเกิดกรณีได้เยอะแยะเลยครับ ไม่มีอะไรมารับประกันได้เลย ตอนนี้ผมก็ยังสู้ต่อไป
คือถ้ากรมฯ มาช่วยจริงๆ จะต้องเป็นแนวว่าให้ทนายมาให้นี่
ผมว่าแนวนั้น มันก็ดีครับ แต่เขาคิดว่าให้ยิ่งจบยิ่งดีก็ได้ คือผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมพยายามที่จะคิดไปในแง่ดีครับ จะได้ไม่เครียดมาก แล้วพอมาถึงกรมทรัพย์ฯ ถ้าถึงขั้นสืบพยาน ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นผม ผมจะต้องเอาเจ้าหน้าที่ 2 คน ที่นำจับในวันนั้น มาเป็นพยานว่าจับที่ซุ้มนั้น ทำงานที่นั่นจริงๆ ไม่งั้นถ้าผมแพ้คดี ผมมีสิทธิ์โดนฟ้องแพ่งทีหลังได้ แล้วเขาจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราลำบากทีหลัง คือมีผมมาเตือนผมเยอะมากว่า อย่าแพ้อาญารอบนี้นะ ไม่งั้นจะโดนเรื่องแพ่งอ่วมแน่ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ไปจับกุมไกด์คนนั้น คือยังไม่ได้พูดโดยตรงครับ แต่คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ติดต่อผมมา เมื่อวันสองวันก่อน เขาบอกว่า ถ้าอยากได้ เดี๋ยวเขาไปคุยให้ สามารถเรียกไปให้ได้ แต่ยังไม่ถึงจุดนั้นครับ ยังแค่ให้เคลียร์ให้จบน่ะครับ
คนที่มาคุยกับก้านที่ให้ไปขอโทษ ตำแหน่งใหญ่กว่าเจ้าหน้าที่ที่จะเป็นพยานให้ใช่มั้ย
คิดว่าใช่ครับ คือผมต้องมีเงื่อนไขครับ คือผมไม่แน่ใจว่าเราทำผิดอะไร คือผมรู้สึกว่าอยากให้อภัยเขามากกว่าที่ผมมาโดนเรื่องแบบนี้ ถ้าเรื่องนี้มันจบได้จริงๆ จบแบบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก แบบจบๆ กันไป ถอนฟ้องอะไรก็ได้ แล้วผมขอแค่ค่าเสียหายในบางอย่าง คือค่าทนายผมยังต้องจ่ายนะ ค่าเสียเวลาผมก็มีนะ ต้องลาธุระงาน ไปหาหลักฐานมาขอนี่นั่น ต้องพาคนไป ต้องหาคนมาทำประกันอิสรภาพให้ คือทุกอย่างมันทำให้ชีวิตผมลำบากขึ้นครับ ดังนั้น ถ้าทำให้สามารถชดเชยส่วนนี้ได้ สามารถบอกได้ว่าจะถอนฟ้องได้ทุกอย่าง และจะไม่ติดใจเอาความ ต่างคนต่างอยู่ แต่ในการขอโทษก็ไม่ได้สามารถสร้างหลักประกันอะไรให้ผมได้เลย
มองในมุมหนึ่ง ถือว่าเป็นความสอดรู้สอดเห็นของเรา ที่ทำให้เป็นอย่างนี้
ผมคิดว่าที่ผมพลาดไปอย่างหนึ่ง คือ ผมลืมเซ็นเซอร์ตราบริษัท ซึ่งเราลงไปเลยไม่ได้คิดอะไร และไม่ได้คิดว่าจะโดนขนาดนี้ เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ้างว่าเป็นเรื่องของเขาได้ ซึ่งทางบริษัทเขาประกาศในเชิงว่าให้ลูกจ้างคนนั้นลาออกไป ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แต่พอผมโดนฟ้องไป ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรเลย มุมมองของบริษัทมันเปลี่ยนเลยว่า ผมคิดว่าผมทำดีแล้วนั แต่พอมาโดนแบบนี้ แล้วเนื้อหาในการฟ้องมันก็ไม่ใช่ความจริง แล้วผมต้องทำยังไง
แล้วในเรื่องบริจาคที่ก้านขอรับความช่วยในการสู้คดีล่ะ
จริงๆ ก็ไม่ได้ขอยอดอะไรมากนะครับ แต่ตอนนี้คือยังไม่จำเป็น ไม่ต้องการ ซึ่งยังมีหนทางที่จะสามารถใช้เงินที่น้อยได้อยู่ อยากให้ไปทางนั้นไปก่อน คือตั้งแต่ที่โดนมา รวม 30000 ครับ ต้องจ่ายอีกครับ ส่วนเรื่องทนายอาสา ผมไม่ทราบว่ามีอยู่ครับ แล้วผมไปพูดกับเพื่อนในกลุ่ม ประมาณว่ากูโดนอย่างงี้ว่ะ ทำยังไงดี มันก็บอกว่ามันมีเพื่อนที่เป็นทนายที่เชื่อถือได้ ผมก็เลยจ้างคนนี้ครับ แล้วผมต้องไปในวันที่ 21 นี้ นี้คืองวดสอง เป็นขั้นในชั้นสืบพยาน ซึ่งทนายคนแรกเขาไปทำธุระที่กรุงเทพ เลยไม่สามารถที่จะทำงานต่อได้ เลยจ้างคนที่สอง ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ครับ คิดว่าจบตรงที่คนทำโดนจับ โดนปรับไป ปรากฏว่ายาวเลย เพราะมันเป็นกระแสสังคมที่พาดหัวแล้วมีชื่อบริษัทแผ่หราขึ้นมา หลังจากนั้น บริษัทก็มาฟ้องเรา ก็ลำบากเลยครับ
นับจากวันนี้ที่เสียเวลาต่างๆ ถ้าย้อนเวลาไปได้ จะเลือกที่จะเงียบมั้ย
ไม่เงียบครับ แต่จะฉลาดขึ้นหน่อย จะเซ็นเซอร์โลโก้ แล้วก็อย่าลืมให้กล่าวอ้างได้ ไม่งั้นจะเป็นแบบผมครับ ซึ่งถ้าเขาติดต่อมา ผมก็ยินดที่จะเคลียร์ครับ ผมก็อยากจะจบเรื่องครับ เพราะว่าเอาจริงๆ ตอนนี้บริษัทก็เสียหายเยอะ เพราะว่าเขาก็ลำบากแน่ๆ และคนก็เชียร์ผมเยอะอยู่นะ แล้วผมก็โพสตามข้อมูลที่ถ่าย ไม่ได้ใช้อารมณ์อะไรเลย แต่แค่พลาดไปนิดนึง ส่วนคนที่ไปด่าเขา อย่าไปด่าเขาด้วยความก้าวร้าวหรือโทสะ คือให้กำลังใจผมก็ได้ น่าจะดีกว่า คือถ้าไปแสดงความโกรธออกไป มันแสดงถึงเหตุการณ์นี้ไปโจมตีคนๆ หนึ่งมากไปหรือเปล่า ผมเข้าใจนะว่าสิ่งนี้มันไม่ถูก แต่การไปโจมตีด้วยความก้าวร้าว ผมคิดว่ามันไม่เกิดอะไร คือแค่เข้าใจในจุดนี้ เรียนรู้จากมัน แล้วก็ทำในสิ่งที่ควรทำ และปกป้องตัวเองก็พอครับ ซึ่งผมอาจจะแย่ขึ้นก็ได้ จากการที่คนไปรุมถล่มด่า
อยากให้ก้านช่วยเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้หน่อยครับ
เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ตอนปีที่แล้วครับ ตอนนั้นผมไปเที่ยวเกาะ เป็นอีกทัวร์นึง เป็นการเที่ยว 2-3 เกาะ แล้วไปจบที่เกาะเภตรา ไปดำน้ำเล่น แล้วก้ไปเจอเหตุการณ์ขึ้นมา คือเราไม่ได้เห็นตอนที่เขาทุบประการังนะครับ เจอตอนที่เขาแนะนำนักท่องเที่ยวให้เอามือไปจับปะการัง ให้จับไว้แล้วทำท่ารูปหัวใจแล้วถ่ายรูปเขา ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันก็ผิดแล้วนะ เลยถ่ายรูปไว้ แล้วก็มาเจออีกที เขาก็ใช้ประการังทุบหอยเม่นต่อหน้าต่อตาเลย ซึ่งปะการังมันมี 2 แบบ คือแบบที่โขด ที่เขาจับไว้ถ่ายรูปเฉยๆ ส่วนอีกอันเขามาอีกกลุ่ม น่าจะเป็นปะการังแบบเขากวาง แต่ว่ามันมีปะการังอ่อนขึ้นทับอยู่ แล้วก้อนนั้นแหละที่มาทุบหอยเม่นครับ
ใน ณ ตอนนั้น ผมไม่ได้อยู่ในทีมเดียวกับนักท่องเที่ยวครับ ผมไปดำน้ำอิสระเฉยๆ แล้วบังเอิญไปเห็นพอดี ตอนนั้นผมก็เฉยๆ นะครับ จะเป็นแบบว่า ถ้าเห็นในกลุ่มแบบนี้ก็อย่าทำนะ แบบตักเตือนกัน แต่พอมาเจออีกที นี่คือทำหนักอย่างที่บอกเลยครับ แล้วมันทำให้รู้สึกแย่มาก ซึ่งผมคิดว่าคนๆ นี้ควรจะโดนลงโทษตักเตือนตามกฎหมายแล้วครับ ผมก็เลยไปโพสรูปในกลุ่มของนักดำน้ำใต้น้ำครับ เพราะว่าตอนนั้นเขาดำน้ำอยู่ในแทงค์ใต้น้ำในเขตของเขา แล้วพอขึ้นมาก็ไม่ได้เจอกันแล้ว คือเขายังดำน้ำวนเวียนไป แล้วผมดำน้ำแบบกลั้นหายใจลงไป ทีนี้พอเสร็จปั๊บ ผมก็เดินตามไป แล้วก็ไปกลุ่มคนที่ใส่เครื่องแบบแบบเดียวกันไปที่ซุ้มดำน้ำที่มีถังออกซิเจน ที่เขาสอนการดำน้ำแบบรวบรัดให้นักท่องเที่ยว แล้วผมก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน เพราะว่าคนที่อยู่ใต้น้ำ เราไม่ทราบเพราะเขาใส่หน้ากาก ใส่เต็มไปหมด เราก็มีหลักฐานอื่นว่านนี้ทำงานที่ไหน สังกัดใด ผมก็เลยถ่ายซุ้มดำน้ำไปด้วย เพื่อประกอบการเป็นเบาะแสให้ตามหานักดำน้ำให้เจอ
แล้วรู้ว่าเป็นไกด์คนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
อันนี้ผมไม่ทราบ คือตอนแรกผมไปแจ้งในกลุ่มก่อน ทีนี้ ผมมาขอความช่วยเหลือว่า ผมไม่รู้ว่าจะไปแจ้งทางไหนดี เขาเลยแนะนำว่า ให้ไปแจ้งที่กรมทรัพยากรแห่งชาติฯ ผมก็ไปแจ้งตามที่เขาบอก วันต่อมา เขาก็ไปดำเนินคดี ระหว่างกรม กับนายคนนี้ แล้วเขาก็ยอมสารภาพ ซี่งกรมเขาเก่งมาก เขาตามหลักฐานตามรูปภาพเลย ไล่ตามเวลา แล้วคนที่โดน เขาก็ไปตามจนเจอ แล้วรับสารภาพอย่างที่บอกเลย
อย่างในช่วงตอนจับ ผมเห็นมาเยอะมาก ผมถ่ายไว้เพื่อไปเตือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น แต่เรื่องการใช้ปะการังแข็งที่มีตัวอ่อนติดอยู่ไปทุบหอยเม่น เพื่อให้ปลาไปกิน มันเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก แล้วผมคิดว่าคนที่ทำแบบนี้ได้ ไม่ได้ทำครั้งแรกแน่นอน ผมมั่นใจเลย คือน่าจะเป็นคนที่ทำแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แน่นอน ดังนั้น ถ้าเราปล่อยคนแบบนี้ไป แย่แน่ๆ แล้วถ้าคนอื่นเห็นว่าคนนี้ทำได้ ก็มีการทำตามกัน มันก็จะเป็นมาตรฐานของการทำแบบนี้ไป ซึ่งผมมองว่ามันเสียหาย ซึ่งโอเคที่ว่าให้คนนี้โดนลงโทษนะ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของการเป็นไกด์ แล้วพวกนักท่องเที่ยวก็จะทราบว่า ทำแบบนี้มันไม่โอเค อย่าทำ มันไม่ดี ให้รู้ว่าไม่ควรทำ ซึ่งท้ายที่สุด เขาส่งฟ้องต่อตำรวจต่อ แล้วก็ดำเนินการทางคดีไป แล้ววันถัดมา ทางบริษัทที่เขาทำงาน ได้เชิญเขาให้ออก เพราะว่าได้ทำผิดร้ายแรง ดังนั้น เรื่องบริษัทดำน้ำ เขามีการจัดการค่อนข้างดี เขาให้คนเป็นผู้จัดการออกไปหาทางกรมเลย ไปจัดการเรื่องนี้ ไปรับทราบข้อกล่าวหา นู่นนั่นนี่ แล้วก็ยอมรับครับ กับว่ากล่าวตักเตือนนักดำน้ำคนนี้ แล้ววันต่อมาก็ทำการเชิญออกอย่างที่บอกครับ ตอนนั้นก็คิดว่าจบแค่นี้ครับ
แล้วต่อมากลายเป็นว่า เราถูกฟ้องซะเอง อยากให้ก้านช่วยเล่าความรู้สึกให้ฟังหน่อย
ก็รู้สึกว่าตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะว่า น่าจะดำเนินคดีไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขามาบอกว่า ในคำฟ้องผม ผมทำให้เขาเสียหาย ไปหมิ่นประมาทเขา เพราะว่านักดำน้ำคนนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย แล้วการที่ผมไปถ่ายภาพเขา มันเป็นการให้คนเกลียดชังบริษัทของเขาประมาณนี้ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นอีกเรื่องของกรมทรัพย์เขาดำเนินการมาเลยนะ ทั้งๆที่เขาไล่พนักงานออกหลังจากเกิดเรื่อง มันไม่ได้พิสูจน์ว่าคนๆ นั้นเป็นคนของบริษัทหรือเปล่า คือเรางงครับ ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามันเป็นบริษัทอะไร คือแค่ถ่ายรูปแล้วลงไว้ เพื่อเป็นเบาะแสตามหาคนๆ นั้น แค่นั้นครับ ว่าผมเจอเหตุการณ์นี้นะ ว่าเขาทำอะไรไว้ ที่ไหน เวลาไหน ขอให้ช่วยกัน ให้ระบุตัวให้ได้ และลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กล่าวอ้างถึงบริษัทใดๆ คืออยากให้นักดำน้ำคนนั้นได้รับบทเรียนมากกว่า แล้วก็มาตรฐานไป
ก้านคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เขาฟ้องเรา
พอดีในซุ้มบริษัท มันมีรูปแบรนด์ของซุ้มอยู่ครับ มันจะมีตัวป้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสติดอยู่ ซึ่งในรูปนั้นมันเป็นสิ่งที่เขาชี้นำให้คนได้ทราบถึงเรื่องว่าเป็นคนในบริษัทของเขา แล้วก็ไปเกลียดชังเขา ซึ่งการออกข่าวครั้งนั้น เขาก็รู้ว่าเรื่องเกิดมาจากบริษัทอะไร เป็นของใคร แล้วเขาไปออกข่าวกัน เขาก็เลยเสียหายตรงนั้นด้วยครับ เขาเลยฟ้องผมเพราะว่า ผมไปทำให้คนเกลียดชังบริษัทเขา และอ้างว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนของเขานะ ไม่ถูกต้องประมาณนี้ครับ หลังจากนั้น เขาฟ้องผม น่าจะประมาณเดือนสิงหาครับ คือเจอแบบหมายศาลเลย ไม่มีคำเตือนอะไรมาก่อน เขามาแบบนี้เลย แล้วพ่อผมเปิดอ่านแล้วงงเลยว่าลูกไปทำอะไรมา
รู้สึกว่าตัวเองซวยมั้ย
ใช่ครับ ก็รู้สึกว่าเครียดเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อนด้วย อยู่ๆ ก็แบบเป็นคนมีคดีเลย มีเอกสารจากศาลมาที่บ้าน เขาก็เครียดไปด้วยว่าเราไปทำอะไรมาเ เราก็เล่าให้ฟัง เขาก็บอกว่า แบบนี้ไม่ถูกนะ ผมก็บอกแม่ว่าไปเจออะไรแบบนี้นะ มันไม่ดีเลย แม่ก็บอกว่าให้ไปแจ้งทางการ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะไปแจ้งทางไหน เลยไปแจ้งคนในกลุ่มเอา ซึ่งแม่ก็เชียร์ผมนะ เพราะว่าคนที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ทุกคนก็น่าจะไม่อยู่เฉย แบบไม่นิ่งนอนใจได้ ส่วนความรู้สึกในการโดนดำเนินคดีของเรา แม่ก็มีเซ็งบ้าง แต่ในเมื่อเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็จงเชื่อมั่นต่อไป คือถ้าเรามีเจตนาที่ดีพอ ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรมาทำเราได้ คิดว่าอย่างงั้น
ทางคู่กรณีเป็นบริษัท ตอนนี้คือมีคนกลางเข้ามาคุยกับเราด้วยมั้ย
ใช่ครับ คนกลางก็มาจากกรมทรัพย์ฯ คือเขาพยายามที่จะช่วยเหลือผมมากกว่า ซึ่งรอบแรกเป็นเรื่องของกรมทรัพย์กับนักดำน้ำคนนั้น ซึ่งฝ่ายแรกเขาดูแลอยู่ ทีนี้ขั้นที่สองจะเป็นส่วนของผมที่มีข้อเกี่ยวเนื่องมาจากการกระทำในครั้งนั้น คือทางกรมก็พยายามมาเคลียร์ให้ หลักๆ เลยคือให้ไปทำความเข้าใจ เหมือนกับว่า ถ้าเป็นไปได้ จะให้เราไปขอโทษ เพื่อให้เรื่องมันจบ และเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งผมเข้าใจว่าไปคุยกัน คือคำว่าขอโทษผมไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงนะครับ ให้ถอนฟ้องเหรอ คือตอนนี้ ผมไม่ทราบจริงๆว่าผมสามารถเชื่อใจฝั่งนั้นได้แค่ไหน เพราะว่าเบื้องต้น ผมยังโดนขนาดนนี้เลย ดังนั้น ถ้าผมขอโทษ มีอะไรที่จะรับประกันผมได้บ้าง ว่าจะไม่โดนฟ้องในอนาคตอีก คือมันเกิดกรณีได้เยอะแยะเลยครับ ไม่มีอะไรมารับประกันได้เลย ตอนนี้ผมก็ยังสู้ต่อไป
คือถ้ากรมฯ มาช่วยจริงๆ จะต้องเป็นแนวว่าให้ทนายมาให้นี่
ผมว่าแนวนั้น มันก็ดีครับ แต่เขาคิดว่าให้ยิ่งจบยิ่งดีก็ได้ คือผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ว่าผมพยายามที่จะคิดไปในแง่ดีครับ จะได้ไม่เครียดมาก แล้วพอมาถึงกรมทรัพย์ฯ ถ้าถึงขั้นสืบพยาน ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นผม ผมจะต้องเอาเจ้าหน้าที่ 2 คน ที่นำจับในวันนั้น มาเป็นพยานว่าจับที่ซุ้มนั้น ทำงานที่นั่นจริงๆ ไม่งั้นถ้าผมแพ้คดี ผมมีสิทธิ์โดนฟ้องแพ่งทีหลังได้ แล้วเขาจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งจะทำให้เราลำบากทีหลัง คือมีผมมาเตือนผมเยอะมากว่า อย่าแพ้อาญารอบนี้นะ ไม่งั้นจะโดนเรื่องแพ่งอ่วมแน่ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ไปจับกุมไกด์คนนั้น คือยังไม่ได้พูดโดยตรงครับ แต่คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ติดต่อผมมา เมื่อวันสองวันก่อน เขาบอกว่า ถ้าอยากได้ เดี๋ยวเขาไปคุยให้ สามารถเรียกไปให้ได้ แต่ยังไม่ถึงจุดนั้นครับ ยังแค่ให้เคลียร์ให้จบน่ะครับ
คนที่มาคุยกับก้านที่ให้ไปขอโทษ ตำแหน่งใหญ่กว่าเจ้าหน้าที่ที่จะเป็นพยานให้ใช่มั้ย
คิดว่าใช่ครับ คือผมต้องมีเงื่อนไขครับ คือผมไม่แน่ใจว่าเราทำผิดอะไร คือผมรู้สึกว่าอยากให้อภัยเขามากกว่าที่ผมมาโดนเรื่องแบบนี้ ถ้าเรื่องนี้มันจบได้จริงๆ จบแบบไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก แบบจบๆ กันไป ถอนฟ้องอะไรก็ได้ แล้วผมขอแค่ค่าเสียหายในบางอย่าง คือค่าทนายผมยังต้องจ่ายนะ ค่าเสียเวลาผมก็มีนะ ต้องลาธุระงาน ไปหาหลักฐานมาขอนี่นั่น ต้องพาคนไป ต้องหาคนมาทำประกันอิสรภาพให้ คือทุกอย่างมันทำให้ชีวิตผมลำบากขึ้นครับ ดังนั้น ถ้าทำให้สามารถชดเชยส่วนนี้ได้ สามารถบอกได้ว่าจะถอนฟ้องได้ทุกอย่าง และจะไม่ติดใจเอาความ ต่างคนต่างอยู่ แต่ในการขอโทษก็ไม่ได้สามารถสร้างหลักประกันอะไรให้ผมได้เลย
มองในมุมหนึ่ง ถือว่าเป็นความสอดรู้สอดเห็นของเรา ที่ทำให้เป็นอย่างนี้
ผมคิดว่าที่ผมพลาดไปอย่างหนึ่ง คือ ผมลืมเซ็นเซอร์ตราบริษัท ซึ่งเราลงไปเลยไม่ได้คิดอะไร และไม่ได้คิดว่าจะโดนขนาดนี้ เพราะไม่คิดว่าเขาจะอ้างว่าเป็นเรื่องของเขาได้ ซึ่งทางบริษัทเขาประกาศในเชิงว่าให้ลูกจ้างคนนั้นลาออกไป ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แต่พอผมโดนฟ้องไป ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรเลย มุมมองของบริษัทมันเปลี่ยนเลยว่า ผมคิดว่าผมทำดีแล้วนั แต่พอมาโดนแบบนี้ แล้วเนื้อหาในการฟ้องมันก็ไม่ใช่ความจริง แล้วผมต้องทำยังไง
แล้วในเรื่องบริจาคที่ก้านขอรับความช่วยในการสู้คดีล่ะ
จริงๆ ก็ไม่ได้ขอยอดอะไรมากนะครับ แต่ตอนนี้คือยังไม่จำเป็น ไม่ต้องการ ซึ่งยังมีหนทางที่จะสามารถใช้เงินที่น้อยได้อยู่ อยากให้ไปทางนั้นไปก่อน คือตั้งแต่ที่โดนมา รวม 30000 ครับ ต้องจ่ายอีกครับ ส่วนเรื่องทนายอาสา ผมไม่ทราบว่ามีอยู่ครับ แล้วผมไปพูดกับเพื่อนในกลุ่ม ประมาณว่ากูโดนอย่างงี้ว่ะ ทำยังไงดี มันก็บอกว่ามันมีเพื่อนที่เป็นทนายที่เชื่อถือได้ ผมก็เลยจ้างคนนี้ครับ แล้วผมต้องไปในวันที่ 21 นี้ นี้คืองวดสอง เป็นขั้นในชั้นสืบพยาน ซึ่งทนายคนแรกเขาไปทำธุระที่กรุงเทพ เลยไม่สามารถที่จะทำงานต่อได้ เลยจ้างคนที่สอง ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้ครับ คิดว่าจบตรงที่คนทำโดนจับ โดนปรับไป ปรากฏว่ายาวเลย เพราะมันเป็นกระแสสังคมที่พาดหัวแล้วมีชื่อบริษัทแผ่หราขึ้นมา หลังจากนั้น บริษัทก็มาฟ้องเรา ก็ลำบากเลยครับ
นับจากวันนี้ที่เสียเวลาต่างๆ ถ้าย้อนเวลาไปได้ จะเลือกที่จะเงียบมั้ย
ไม่เงียบครับ แต่จะฉลาดขึ้นหน่อย จะเซ็นเซอร์โลโก้ แล้วก็อย่าลืมให้กล่าวอ้างได้ ไม่งั้นจะเป็นแบบผมครับ ซึ่งถ้าเขาติดต่อมา ผมก็ยินดที่จะเคลียร์ครับ ผมก็อยากจะจบเรื่องครับ เพราะว่าเอาจริงๆ ตอนนี้บริษัทก็เสียหายเยอะ เพราะว่าเขาก็ลำบากแน่ๆ และคนก็เชียร์ผมเยอะอยู่นะ แล้วผมก็โพสตามข้อมูลที่ถ่าย ไม่ได้ใช้อารมณ์อะไรเลย แต่แค่พลาดไปนิดนึง ส่วนคนที่ไปด่าเขา อย่าไปด่าเขาด้วยความก้าวร้าวหรือโทสะ คือให้กำลังใจผมก็ได้ น่าจะดีกว่า คือถ้าไปแสดงความโกรธออกไป มันแสดงถึงเหตุการณ์นี้ไปโจมตีคนๆ หนึ่งมากไปหรือเปล่า ผมเข้าใจนะว่าสิ่งนี้มันไม่ถูก แต่การไปโจมตีด้วยความก้าวร้าว ผมคิดว่ามันไม่เกิดอะไร คือแค่เข้าใจในจุดนี้ เรียนรู้จากมัน แล้วก็ทำในสิ่งที่ควรทำ และปกป้องตัวเองก็พอครับ ซึ่งผมอาจจะแย่ขึ้นก็ได้ จากการที่คนไปรุมถล่มด่า