“จะวิ่งจนกว่าจะวิ่งไม่ไหว” น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังระหว่างเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมา เมื่อถูกเราตั้งคำถามไปว่า “จะวิ่งไปจนถึงเมื่อไหร่”
หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เขาคือชายขี้เมา ติดเหล้า ติดบุหรี่ ขี้โรค และไม่เอาไหนคนหนึ่ง แต่ด้วยหน้าที่การงานที่สูงขึ้นจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้วันนี้เขากลายมาเป็นนักวิ่ง Vertical Run ระดับโลก และยังเป็นคนไทยคนแรกที่มีอายุมากที่สุดที่สามารถวิ่งพิชิตหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสด้วยความสูงถึง 324 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้นได้สำเร็จ
"อำนาจ พรหมภินันท์" คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง หนึ่งในผู้หลงรักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ โดยเก็บสถิติการวิ่งมาราธอนทั้งแนวราบแนวดิ่งในประเทศไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายสนาม การันตีได้จากการเป็นแชมป์วิ่งแนวดิ่งขึ้นยอดตึกใบหยกหลายสมัย หรือการไต่บันไดขึ้นสู่ยอดหอไอเฟล อีกทั้งการเป็นแชมป์วิ่งแนวดิ่งอีกหลากหลายที่
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในวัย 66 ปีแล้วก็ตาม แต่เป้าหมายการวิ่งของเขาจะยังคงไปต่อ ถึงใกล้ไกลหรือบันไดจะสูงชันแค่ไหน เขาจะไม่หยุดมันลงง่ายๆ ตราบใดที่วันนี้ร่างกายยังไหว…
• ก่อนจะมาเป็นนักวิ่งอย่างทุกวันนี้ เห็นว่าเคยเป็นคนขี้เมา ติดเหล้า ติดบุหรี่และขี้โรคมาก่อน
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 40 ปี ต้นๆ เป็นช่วงก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานโรงแรมใหม่ๆ ซึ่งผมอยู่มาตั้งแต่เขาเริ่มก่อสร้าง ก็เลยได้รู้จักกับพวกคนงานก่อสร้าง พอเลิกงานปุ๊บ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสนุกสนานอยู่แล้ว พอเจอพรรคพวกคุยกันถูกปากถูกคอ รู้ใจกันหน่อย ผมก็จะไปดื่มเหล้ากับเขา บางทีก็ไปทั้งวันทั้งคืนบ้านช่องไม่กลับก็มี หรือพอมีไซต์งานเราก็ไปนอนบ้านนั้นที บ้านนี้ที เดินสายขี้เมาไปเลย พอดื่มไปดื่มมาก็ไปติดบุหรี่งอมแงมด้วย ดูดวันละซองเลยครับตอนนั้น ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่างานก่อสร้างแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ใช่จะสร้างเสร็จได้ภายในวันเดียว มันต้องใช้เวลาเป็นปี บางทีก็ 2-3 ปี เราก็เลยกลายเป็นคนขี้เมาอยู่กับพวกคนงานนี่แหละครับ
พอโรงแรมเสร็จแล้ว ผมก็ได้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ประทังจะไปนั่งกินเหล้าให้ลูกน้องเห็นเหมือนเดิมก็คงจะน่าเกลียด ผมก็เลยตัดสินใจหยุด…
• หยุด? จุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ตลอดชีวิต
เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะหยุดนะครับ พวกอบายมุขพวกนี้มันสนุกแหละเนอะ (หัวเราะ) เราชอบไปแล้ว ติดไปแล้ว พอมีเพื่อน เราก็ไปกินเฮฮาสนุกสนานกับเขาได้หมด ไปได้ทุกที่จะตรอก ซอกซอย ริมถนน กลางตลาด ไปหมดไม่รังเกียจ เพราะเราเป็นคนขี้เมาคนหนึ่ง
แรกๆ ทำยากมากเลยนะครับ แต่ผมบอกตัวเองว่าเราต้องหยุดก็คือต้องหยุด ลูกน้องคนอื่นเขาก็ยังกินอยู่นะครับ แต่ว่าผมจะถอยห่างออกมา ไม่ใช่ว่าเราไปรังเกียจอะไรเขานะ แต่เราก็แค่ไม่ได้ไปร่วมวงกินด้วย หรือถ้าวันไหนนั่งกินด้วย ผมก็จะนั่งดื่มน้ำอัดลม ดื่มน้ำเปล่าแทน ส่วนบุหรี่ผมก็ตัดใจไม่สูบและหันไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน เราต้องตัดใจโดยสนิท ไม่ไปแตะต้องมันอีก หักดิบมันไปเลย
ที่ผมต้องเลิกเพราะด้วยความที่ผมทำงานด้านโรงแรมและต้องไปเจอลูกค้าด้วย ซึ่งพอโรงแรมเปิด กฎของโรงแรมก็เริ่มเข้มงวดมากขึ้นมันเลยทำให้ผมถอยห่างออกมาไปโดยปริยาย เพราะถ้าเราขืนไปกินเหล้า ไปขี้เมา ไปคุยกับลูกค้า โดยที่มีกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ไป ภาพพจน์ของโรงแรมก็เสียด้วย
อีกอย่างเราเจ็บไข้ได้ป่วย ไอไม่หยุด หอบง่าย เหนื่อยง่าย หน้าตาซีดเซียว ตัวเหลือง ปากดำ สภาพนี่ดูไม่ได้เลยครับตอนนั้น พอไปหาหมอปรากฏว่าปอดเราเริ่มไม่ดี หมอเลยถามว่า “ดูดบุหรี่ใช่ไหม” “หยุดได้ไหม” “คุณต้องออกกำลังกายบ้างนะ วัณโรคมันจะมาหาแล้ว” ซึ่งแรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ยังคงติด ยังคงชอบอยู่จนมาหักดิบได้ครับ
• พอเลิกอบายมุขทุกอย่างได้สำเร็จ มาสนใจเรื่องวิ่งตอนไหนคะ
ครั้งแรกที่ตั้งใจจะวิ่งผมเริ่มจากวิ่งแค่ 2-3 กิโลเมตรก่อนครับ วิ่งระยะทางแค่นี้ เราก็หมดแรง เหนื่อยหอบ ใจสั่น วิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็เดินแล้ว มันไปต่อไม่ได้ บอกเลยว่านรกชัดๆ เลยนะ (หัวเราะ) มันเหนื่อยมาก เหนื่อยจนบอกไม่ถูก เพราะในตัวเรามีทั้งเชื้อเหล้า เชื้อบุหรี่ติดตัวเต็มไปหมด ก็เราเป็นคนขี้เหล้ามาก่อน ไปวิ่งกิโลเมตรเดียวมันก็ไม่ไหวแล้ว ซึ่งผมก็ต้องให้เวลากับร่างกายได้ถ่ายเทสารพิษที่สะสมเหล่านี้ออกมา ก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง ประมาณปีกว่าได้ครับกว่าจะล้างสารพิษข้างในออกมาได้
แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากวิ่ง เพราะผมเห็นเพื่อนที่เขาวิ่งกัน ได้เหรียญ ได้ถ้วยรางวัล ผมเลยคิดว่าสักวันเราจะต้องทำให้ได้บ้าง ตั้งแต่นั้นมาผมก็พยายามดูว่านักวิ่งแนวหน้าว่าเขาวิ่งกันยังไง เราก็ศึกษาหาข้อมูล ค่อยๆ ซ้อม ค่อยๆ ฝึกไปทีละหน่อย ไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากวิ่งทีละ 1-2 กิโลเมตร บวกกับลดละเลิกอบายมุขต่างๆ ร่างกายก็ดีขึ้น
หลังจากนั้นผมเลยมาวิ่งมาราธอนทั่วไป โดยเริ่มจากมินิมาราธอน 10 กิโลเมตรก่อน ก็ใช้เวลาอยู่ 2-3 ปีเหมือนกันกว่าจะวิ่งทำเวลาและวิ่งจบการแข่งขันได้ จากนั้นก็ค่อยขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร จำได้ว่าครั้งแรกเป็นที่จอมบึงมาราธอนครับ ซึ่งพอเข้าที่เข้าทางแล้ว มีงานวิ่งที่ไหนทั้งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ถ้ารายการวิ่งไหนน่าไป ใกล้ไกล ถ้าผมสะดวก ผมก็จะไปหมด ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็นคนติดวิ่งไปเลย
• แล้วทำไมถึงได้มาเลือกการวิ่งคะ ไปค้นพบเสน่ห์อะไรในกีฬาประเภทนี้
เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ลงทุนน้อยที่สุดแล้วครับ แค่รองเท้าคู่เดียวเลือกที่ เหมาะกับเท้า ไม่ต้องแพงมาก เสื้อคอกลมหนึ่งตัว กางเกงหนึ่งตัว ก็จบแล้ว ซึ่งถ้าให้ผมไปเล่นเทนนิส ผมก็คงเสียเงินเป็นแสน แต่วิ่งมันใช้แค่นั้นเอง เลิกงานมา ว่างๆ เราก็วิ่งตามริมถนนหน้าบ้าน ในสวนสาธารณะ ก็วิ่งได้แล้ว
อีกอย่างการวิ่งจะไม่มีข้อห้ามตายตัว มีแต่คำแนะนำมากกว่าว่าอย่าทำแบบนี้นะหรืออย่างนั้นนะ อย่ากินยาชนิดนี้นะอะไรทำนองนั้น ยกเว้นซะแต่จะเป็นการแข่งขัน เสน่ห์ของการวิ่งก็มีแค่นี้แหละครับ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง
• แบบนี้ก็ต้องจัดตารางชีวิตใหม่เลยใช่ไหมคะ แรกๆ มีท้อหรืออยากล้มเลิกความตั้งใจบ้างไหม
ผมต้องปรับและจัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่หมดเลยทุกอย่าง ต้องตื่นนอนเป็นเวลา จากเมื่อก่อนจะตื่น 6-7 โมงเช้า ขี้เมามาทำงาน ซกมก แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่มีระเบียบวินัย เราก็เปลี่ยนมาตื่นตี 3 ครึ่ง มาซ้อมวิ่งถึงตี 5 กว่าๆ หรือบางวันผมก็จะเล่นเวทเทรนนิ่งร่วมด้วยเพื่อช่วยกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แล้วก็อาบน้ำไปทำงาน ทุกวันนี้เจอหน้าเจ้านาย เจอหน้าเพื่อนร่วมงานก็สบาย ไม่เครียด หน้าตาสดใส ไม่มีเรื่องเมาเพี้ยน ไม่มีมาสายให้ทางเจ้าของหรือหัวหน้างานต้องมาเดือดร้อนกับเรา
ส่วนเรื่องอาหารผมก็จะกินปกติครับ แต่เราจะไม่ใช้ยาโด๊ป กินเพื่อให้ตัวเองอึดหรือวิ่งชนะอะไรแบบนี้ ผมจะไม่เอายาอันตรายเข้าตัว ซึ่งผมทำแบบนี้มาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วครับ
• จากวิ่งมาราธอนแนวราบ มาสู่วิ่งแนวดิ่งขึ้นตึกได้อย่างไร
ผมมาเริ่มวิ่งแนวดิ่งตอนอายุ 50 ปีครับ มันเริ่มมาจากที่ผมทำงานโรงแรม แล้วผมต้องดูแลพวกเซฟตี้ของโรงแรม ต้องเดินตรวจบันไดหนีไฟเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่หลักของด้านเซฟตี้ ซีเคียวริตี้เลย จากเดินขึ้นเดินลงเราก็มานึกว่าเอ้า! วิ่งดีกว่า สนุกดี เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย อีกอย่างเราวิ่งมาราธอนมาทุกรายการ ลงมาหมดแล้ว ผมก็เลยอยากลองวิ่งแนวดิ่งดูบ้าง ก็มีได้ถ้วยรางวัลและได้เป็นที่รู้จักในวงการวิ่งขึ้นตึกว่า ถ้ารุ่น 40 50 60 ปี ขึ้นไป เราจะไม่ได้แพ้ใครเขาบ่อยๆ แน่นอนครับ
จะว่าไปแล้ววิ่งแนวดิ่งมันต่างจากวิ่งแนวราบเยอะเลยนะครับ เพราะแต่ละที่ แต่ละประเทศ บันไดไม่เหมือนกัน ขั้นเล็ก ขั้นถี่ ขั้นแคบ ขั้นกว้าง ก็ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องฝึก อย่างตอนนี้ผมก็อาศัยฝึกซ้อมตอนช่วงเลิกงาน โดยจะซ้อมตรงบันไดหนีไฟของโรงแรมคอมพาส สกายวิว สุขุมวิท 24 สถานที่ทำงานของผมเป็นที่ซ้อมวิ่ง โดยจะวิ่งขึ้น 4 รอบ ลง 4 รอบ ที่นี่ตึกสูง 35 ชั้น แต่ผมจะซ้อมให้ได้ประมาณ 100 ชั้นครับ ผมจะวิ่งขึ้นทีละขั้น สองขั้น ลดลงแล้วก็เพิ่มขึ้น เร็วขึ้นแล้วก็ช้าลง จะได้ฝึกระบบการหายใจด้วย
วิ่งแนวดิ่งที่แรกที่ผมได้ไปลงวิ่งก็คือตึกใบหยก เพราะประเทศไทยวิ่งแนวดิ่งที่เป็นที่นิยมเลยก็จะมีที่ตึกใบหยกกับโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ซึ่งสถิติที่ผมเคยทำไว้ก็คือวิ่งขึ้นตึกใบหยก 84 ชั้น อยู่ที่ 16-17นาที ครับ
ส่วนที่อื่นๆ อย่างต่างประเทศทางเอเชียผมก็จะไปที่ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เพราะเขามีตึกสูงและเขาจัดการแข่งขันด้วย อย่างล่าสุดผมก็ได้ไปวิ่งที่หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสมาครับ
• เห็นว่าเป็นนักวิ่งอาวุโสของไทยเพียงหนึ่งเดียวที่พิชิตหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสมาแล้ว
ใช่ครับ ที่หอไอเฟลเขาจะจัดปีละครั้ง ครั้งนั้นเขารับแค่ 129 คน ซึ่งเขาจะเชิญนักวิ่งแนวดิ่งที่เป็นแนวหน้าจากทั่วโลกไป ซึ่งผมก็เลยสมัครและส่งประวัติ ส่งรูปถ้วยรางวัลให้ทางออกแกไนเซอร์เขาดูว่าผมวิ่งมาหลายที่นะ เอาเว็บไซต์ให้เขาไปเช็ค ไปสอบถามได้เลยว่าเราผ่านการวิ่งมาจริงๆ หลังจากนั้นผมก็ได้สิทธิ์พิเศษ Wildcard ได้เป็น 1 ใน 129 คนจากทั่วโลก ที่ได้สิทธิ์เข้าแข่งขัน "วิ่งขึ้นหอไอเฟล" (Eiffel Tower Vertical Run 2018) ครับ
ก่อนไปวิ่งที่หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส ผมก็ได้ไปสำรวจอยู่วันหนึ่งว่าบันไดเป็นยังไง ซึ่งเป็นบันไดเหล็กหมดเลยและก็แคบด้วย วิ่งได้ทีละคน ปล่อย 15 วินาที ต่อ 1 คน สามารถแซงได้แต่กฎระเบียบเยอะมาก ถ้าผิดพลาดปรับแพ้เลย ซึ่งที่นี่ผมกลัวนะ กลัวทำผิดแล้วเสียชื่อเมืองไทย แล้วที่นี่ความยากที่เป็นอุปสรรคที่สุดเลยก็คือ อากาศหนาว ลมแรง หิมะตกด้วย จนต้องเอายาหม่องทาหน้า สุดท้ายผมก็วิ่งทำเวลาได้ที่ 15.11 นาทีครับ ครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นครั้งที่ผมภูมิใจมากครั้งหนึ่ง เพราะว่าผมได้เป็นนักวิ่งที่อายุมากที่สุดในงานและเป็นตัวแทนคนไทยที่ได้ไปถือธงชาติไทยอยู่หน้าหอไอเฟลครับ
• ครั้งนั้นทำให้นายกฯ ประยุทธ์ จันโอชาชื่นชมการวิ่งแนวดิ่งของคุณด้วย
ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจนะครับที่เราได้เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ได้มีโอกาสไปวิ่งในงานนี้ และมันทำให้ทุกคนได้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคที่จะหันมาออกกำลังกาย ผมก็ไม่ทราบว่าเรื่องไปถึงท่านได้ยังไง แต่ผมดีใจนะที่ท่านให้ความสำคัญเรื่องกีฬา คือนักกีฬาทีมชาติไทยทำชื่อเสียงให้แล้วเป็นข่าว มีคนพูดถึงผมเข้าใจนะ แต่นี่เราไม่ใช่ทีมชาติไทย เราก็แค่คนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ท่านนายกรัฐมนตรีพูดถึง สักวันหนึ่งผมหวังว่าคงจะได้พบท่านนายกฯ ตัวจริง (หัวเราะ)
• จะว่าไปแล้ววิ่งมา 20 กว่าปี ได้อะไรบ้างคะ
อย่างแรกเลยผมได้เพื่อน ได้มิตรภาพดีๆ ที่สามารถคุยและปรึกษากันเรื่องวิ่งต่างๆ ได้ เพราะส่วนตัวผมไม่เคยคิดว่าจะไปเพื่อเอารางวัลหรือเงินติดมือมา ผมขอให้ได้ไปวิ่ง ได้ไปเจอเพื่อนฝูง เจออากาศดีๆ แค่นี้ก็สบายใจแล้วครับ ถ้าไปหวังเอาถ้วย เอาเงินรางวัล มันจะไปกดดันตัวเอง ไม่สนุกหรอก
สอง…ผมได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งทุกประเทศดีหมดเลยครับ แต่ที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษจะเป็นที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ตอนนั้นผมไปวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตรนะครับ ซึ่งก่อนวิ่งผมได้ไปดูสนามก่อน ปรากฏว่าผมงงว่าจะวิ่งได้ยังไง สถานที่ก็ไม่เอื้อ คนเต็มไปหมด แต่พอมาวันจริง เขาจัดได้สะอาดมาก ก่อนวิ่งเขาจะเอารถน้ำมาฉีดถนนจนสะอาด ทั้งสองข้างทางเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล ชาวบ้านก็เรียบร้อยมายืนเชียร์ เรียกว่าเปลี่ยนเมืองไปเลย
สาม…ผมได้เรื่องสุขภาพเพราะตอนนี้ผมสบายใจว่าเราไม่มีโรคแน่นอน เนื่องจากเราดูแลตัวเอง ผมจะตรวจร่างกาย ตรวจมะเร็งทุกปี ก็ปกติดีครับ แถมผมยังบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนี้ก็บริจาคไป 85 ครั้งแล้วครับ
การออกกำลังกายทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปนะครับ มันช่วยผมให้ดีขึ้นหลายๆ อย่าง ตอนนี้ผมอายุ 66 ปีแล้ว จริงๆ ที่ทำงานเขาต้องเลิกจ้าง ไม่ให้ทำงานแล้ว แต่ทางโรงแรมยังจ้างผมอยู่ เพราะเรายังโอเค จิตใจสะอาด สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด ร่างกายพร้อม ยังทำงานได้ ไปได้ทุกสถานการณ์ ถ้าผมยังเป็นขี้เหล้าเมายาอยู่แบบตอนนั้นก็คงถูกไล่ออก ป่านนี้ผมก็คงไม่มีการมีงานทำ ไม่มีใครมาคอยสนับสนุนผม ทุกวันนี้เจ้านายสนับสนุน ให้กำลังใจผม อย่างตอนไปที่หอไอเฟลเขาก็ยกครอบครัวไปเชียร์ถึงขอบสนาม ซึ่งถ้าผมเกเร ทำตัวไม่ได้เรื่อง ท่านคงไม่มาสนใจอย่างนี้ นี่แหละครับสิ่งที่ผมได้รับจากการวิ่ง
• ตั้งเป้าหมายอะไรไว้อีกไหม ว่าจะวิ่งไปถึงเมื่อไหร่หรืออยากไปวิ่งสนามไหนอีกบ้าง
ก่อนหน้านี้ผมตั้งเป้าหมายว่าต้องวิ่งจบรายการเท่านั้น ยอมรับว่าแรกๆ มันก็มีกลัวเหมือนกัน กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะไปวิ่งแล้วออกกลางครัน เพราะถ้าวิ่งแล้วท้อกลางทาง ยิ่งไปวิ่งที่ต่างประเทศด้วยแล้วล่ะก็ กลับบ้านไม่ถูกเลยนะ อีกอย่างวิ่งตัวเปล่า เงินก็ไม่มีติดตัวด้วย เราก็เลยต้องกลับมาเส้นชัยให้ได้ ก่อนจะไปวิ่งเราก็ต้องซ้อม อย่าให้ไปหมดแรงกลางทาง เราจะไม่ทำแบบนั้น ซึ่งตลอดที่วิ่งมา 20 กว่าปี ผมก็ไม่เคยออกกลางทาง ไม่เคยวิ่งๆ อยู่ 5 กิโลเมตรแล้วหนีขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไม่เคยทำ และจะไม่ทำเด็ดขาดครับ นั่นคือจุดหมายของผมอย่างเดียวในตอนแรก
ส่วนในอนาคตผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราจะวิ่งจนกว่าจะวิ่งไม่ไหว วิ่งจนกว่าจะวิ่งไม่ได้ ไม่เคยถอดใจว่าจะเลิกหรือพอแล้วครับ เพราะตอนนี้การวิ่งกลายเป็นอาชีพหนึ่งของเราไปแล้ว งานหลักของผมคืองานโรงแรม ส่วนงานเสริมก็คือการวิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมเลยก็คือ ผมอยากไปพิชิตตึก Burj Khalifa ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีความสูง 828 เมตรครับ ถ้าเขาเปิดเมื่อไหร่ผมต้องไปให้ได้แน่ๆ ส่วนล่าสุดวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ผมไปวิ่งขึ้นตึกที่ Lotte World Tower กรุงโซล ประเทศเกาหลีซึ่งตึกของที่นี่เป็นตึกระฟ้าสูง 2,226 ขั้นบันได งานนี้เหนื่อยมากแต่ก็จบรายการ ไม่มีออกกลางทางครับ และวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ผมจะไปวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ที่แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งที่อังกฤษผมไปทำงานที่นั่นด้วยและหาโอกาสไปวิ่งด้วย ผมต้องขอบคุณเจ้านายที่ให้ที่พักฟรีไม่เสียค่าโรงแรมเลยครับ (ยิ้ม)
• ถ้ามีคนสนใจอยากเริ่มต้นวิ่งบ้าง มีข้อแนะนำอย่างไร หรืออยากให้คนอื่นมองเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพอย่างไรบ้างคะ
ก่อนอื่นผมอยากให้ทำเพื่อตัวเองก่อนครับ เพราะการออกกำลังกายมันมีแต่ได้กับได้อยู่แล้ว ทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยลดภาระของหมอได้อีกด้วย ตอนนี้ก็มีทั้งเพื่อนผู้หญิง เพื่อนผู้ชายที่ผมรู้จักออกมาเป็นนักวิ่งหลายคนแล้วเหมือนกันครับ
ลองเริ่มจากออกกำลังกายช้าๆ หน้าบ้าน หรือจะเดินในหมู่บ้านก่อนก็ได้ พอเมื่อใจพร้อม ร่างกายพร้อม แล้วค่อยออกสนามใหญ่
หรือสำหรับผู้สูงอายุต้องเริ่มจากเดินช้าๆ ก่อน เพราะบางคนอาจจะไม่ได้ออกกำลังกายมานาน และพอเดินจนร่างกายปรับตัวได้แล้วอาจจะมาเดินเร็ว หรือถ้าไหวก็ลองวิ่ง 1-2 กิโลเมตรดูก่อน ต้องค่อยๆ ไต่ระดับไปครับ ไม่ใช่ไม่ได้ซ้อมแล้วไปวิ่ง ความพร้อมร่างกายอาจจะไม่ไหวได้ ซึ่งการทำให้ร่างกายพร้อมสำคัญมากนะครับ บางคนร่างกายไม่พร้อม พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วไปออกกำลังกาย ตายคาสนามก็มีข่าวออกบ่อยๆ บางคนมีโรคประจำตัวอยากออกไปวิ่ง แต่ไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว หมอห้าม แต่ไม่เชื่อ ก็มีสิทธิ์น็อคได้ ต้องวอร์มก่อนและหลังออกกำลังกายด้วย ไม่ใช่ว่าออกตัวเลยหรือหยุดกึกเลย ดังนั้นต้องเซฟตัวเองด้วยครับ เพราะการออกกำลังกายมีประโยชน์ก็จริง แต่ถ้าคุณทำผิดวิธีก็จะทำให้เสียประโยชน์ได้
ประธานโรงแรมคอมพาส สกายวิว และคุณอำนาจ พรหมภินันท์
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ, Facebook : Amnaj Prompinun
หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เขาคือชายขี้เมา ติดเหล้า ติดบุหรี่ ขี้โรค และไม่เอาไหนคนหนึ่ง แต่ด้วยหน้าที่การงานที่สูงขึ้นจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้วันนี้เขากลายมาเป็นนักวิ่ง Vertical Run ระดับโลก และยังเป็นคนไทยคนแรกที่มีอายุมากที่สุดที่สามารถวิ่งพิชิตหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสด้วยความสูงถึง 324 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้นได้สำเร็จ
"อำนาจ พรหมภินันท์" คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง หนึ่งในผู้หลงรักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ โดยเก็บสถิติการวิ่งมาราธอนทั้งแนวราบแนวดิ่งในประเทศไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายสนาม การันตีได้จากการเป็นแชมป์วิ่งแนวดิ่งขึ้นยอดตึกใบหยกหลายสมัย หรือการไต่บันไดขึ้นสู่ยอดหอไอเฟล อีกทั้งการเป็นแชมป์วิ่งแนวดิ่งอีกหลากหลายที่
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในวัย 66 ปีแล้วก็ตาม แต่เป้าหมายการวิ่งของเขาจะยังคงไปต่อ ถึงใกล้ไกลหรือบันไดจะสูงชันแค่ไหน เขาจะไม่หยุดมันลงง่ายๆ ตราบใดที่วันนี้ร่างกายยังไหว…
• ก่อนจะมาเป็นนักวิ่งอย่างทุกวันนี้ เห็นว่าเคยเป็นคนขี้เมา ติดเหล้า ติดบุหรี่และขี้โรคมาก่อน
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 40 ปี ต้นๆ เป็นช่วงก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานโรงแรมใหม่ๆ ซึ่งผมอยู่มาตั้งแต่เขาเริ่มก่อสร้าง ก็เลยได้รู้จักกับพวกคนงานก่อสร้าง พอเลิกงานปุ๊บ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสนุกสนานอยู่แล้ว พอเจอพรรคพวกคุยกันถูกปากถูกคอ รู้ใจกันหน่อย ผมก็จะไปดื่มเหล้ากับเขา บางทีก็ไปทั้งวันทั้งคืนบ้านช่องไม่กลับก็มี หรือพอมีไซต์งานเราก็ไปนอนบ้านนั้นที บ้านนี้ที เดินสายขี้เมาไปเลย พอดื่มไปดื่มมาก็ไปติดบุหรี่งอมแงมด้วย ดูดวันละซองเลยครับตอนนั้น ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่างานก่อสร้างแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ใช่จะสร้างเสร็จได้ภายในวันเดียว มันต้องใช้เวลาเป็นปี บางทีก็ 2-3 ปี เราก็เลยกลายเป็นคนขี้เมาอยู่กับพวกคนงานนี่แหละครับ
พอโรงแรมเสร็จแล้ว ผมก็ได้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ประทังจะไปนั่งกินเหล้าให้ลูกน้องเห็นเหมือนเดิมก็คงจะน่าเกลียด ผมก็เลยตัดสินใจหยุด…
• หยุด? จุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ตลอดชีวิต
เอาจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะหยุดนะครับ พวกอบายมุขพวกนี้มันสนุกแหละเนอะ (หัวเราะ) เราชอบไปแล้ว ติดไปแล้ว พอมีเพื่อน เราก็ไปกินเฮฮาสนุกสนานกับเขาได้หมด ไปได้ทุกที่จะตรอก ซอกซอย ริมถนน กลางตลาด ไปหมดไม่รังเกียจ เพราะเราเป็นคนขี้เมาคนหนึ่ง
แรกๆ ทำยากมากเลยนะครับ แต่ผมบอกตัวเองว่าเราต้องหยุดก็คือต้องหยุด ลูกน้องคนอื่นเขาก็ยังกินอยู่นะครับ แต่ว่าผมจะถอยห่างออกมา ไม่ใช่ว่าเราไปรังเกียจอะไรเขานะ แต่เราก็แค่ไม่ได้ไปร่วมวงกินด้วย หรือถ้าวันไหนนั่งกินด้วย ผมก็จะนั่งดื่มน้ำอัดลม ดื่มน้ำเปล่าแทน ส่วนบุหรี่ผมก็ตัดใจไม่สูบและหันไปเคี้ยวหมากฝรั่งแทน เราต้องตัดใจโดยสนิท ไม่ไปแตะต้องมันอีก หักดิบมันไปเลย
ที่ผมต้องเลิกเพราะด้วยความที่ผมทำงานด้านโรงแรมและต้องไปเจอลูกค้าด้วย ซึ่งพอโรงแรมเปิด กฎของโรงแรมก็เริ่มเข้มงวดมากขึ้นมันเลยทำให้ผมถอยห่างออกมาไปโดยปริยาย เพราะถ้าเราขืนไปกินเหล้า ไปขี้เมา ไปคุยกับลูกค้า โดยที่มีกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ไป ภาพพจน์ของโรงแรมก็เสียด้วย
อีกอย่างเราเจ็บไข้ได้ป่วย ไอไม่หยุด หอบง่าย เหนื่อยง่าย หน้าตาซีดเซียว ตัวเหลือง ปากดำ สภาพนี่ดูไม่ได้เลยครับตอนนั้น พอไปหาหมอปรากฏว่าปอดเราเริ่มไม่ดี หมอเลยถามว่า “ดูดบุหรี่ใช่ไหม” “หยุดได้ไหม” “คุณต้องออกกำลังกายบ้างนะ วัณโรคมันจะมาหาแล้ว” ซึ่งแรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ยังคงติด ยังคงชอบอยู่จนมาหักดิบได้ครับ
• พอเลิกอบายมุขทุกอย่างได้สำเร็จ มาสนใจเรื่องวิ่งตอนไหนคะ
ครั้งแรกที่ตั้งใจจะวิ่งผมเริ่มจากวิ่งแค่ 2-3 กิโลเมตรก่อนครับ วิ่งระยะทางแค่นี้ เราก็หมดแรง เหนื่อยหอบ ใจสั่น วิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็เดินแล้ว มันไปต่อไม่ได้ บอกเลยว่านรกชัดๆ เลยนะ (หัวเราะ) มันเหนื่อยมาก เหนื่อยจนบอกไม่ถูก เพราะในตัวเรามีทั้งเชื้อเหล้า เชื้อบุหรี่ติดตัวเต็มไปหมด ก็เราเป็นคนขี้เหล้ามาก่อน ไปวิ่งกิโลเมตรเดียวมันก็ไม่ไหวแล้ว ซึ่งผมก็ต้องให้เวลากับร่างกายได้ถ่ายเทสารพิษที่สะสมเหล่านี้ออกมา ก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง ประมาณปีกว่าได้ครับกว่าจะล้างสารพิษข้างในออกมาได้
แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากวิ่ง เพราะผมเห็นเพื่อนที่เขาวิ่งกัน ได้เหรียญ ได้ถ้วยรางวัล ผมเลยคิดว่าสักวันเราจะต้องทำให้ได้บ้าง ตั้งแต่นั้นมาผมก็พยายามดูว่านักวิ่งแนวหน้าว่าเขาวิ่งกันยังไง เราก็ศึกษาหาข้อมูล ค่อยๆ ซ้อม ค่อยๆ ฝึกไปทีละหน่อย ไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากวิ่งทีละ 1-2 กิโลเมตร บวกกับลดละเลิกอบายมุขต่างๆ ร่างกายก็ดีขึ้น
หลังจากนั้นผมเลยมาวิ่งมาราธอนทั่วไป โดยเริ่มจากมินิมาราธอน 10 กิโลเมตรก่อน ก็ใช้เวลาอยู่ 2-3 ปีเหมือนกันกว่าจะวิ่งทำเวลาและวิ่งจบการแข่งขันได้ จากนั้นก็ค่อยขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร จำได้ว่าครั้งแรกเป็นที่จอมบึงมาราธอนครับ ซึ่งพอเข้าที่เข้าทางแล้ว มีงานวิ่งที่ไหนทั้งในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ถ้ารายการวิ่งไหนน่าไป ใกล้ไกล ถ้าผมสะดวก ผมก็จะไปหมด ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็นคนติดวิ่งไปเลย
• แล้วทำไมถึงได้มาเลือกการวิ่งคะ ไปค้นพบเสน่ห์อะไรในกีฬาประเภทนี้
เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ลงทุนน้อยที่สุดแล้วครับ แค่รองเท้าคู่เดียวเลือกที่ เหมาะกับเท้า ไม่ต้องแพงมาก เสื้อคอกลมหนึ่งตัว กางเกงหนึ่งตัว ก็จบแล้ว ซึ่งถ้าให้ผมไปเล่นเทนนิส ผมก็คงเสียเงินเป็นแสน แต่วิ่งมันใช้แค่นั้นเอง เลิกงานมา ว่างๆ เราก็วิ่งตามริมถนนหน้าบ้าน ในสวนสาธารณะ ก็วิ่งได้แล้ว
อีกอย่างการวิ่งจะไม่มีข้อห้ามตายตัว มีแต่คำแนะนำมากกว่าว่าอย่าทำแบบนี้นะหรืออย่างนั้นนะ อย่ากินยาชนิดนี้นะอะไรทำนองนั้น ยกเว้นซะแต่จะเป็นการแข่งขัน เสน่ห์ของการวิ่งก็มีแค่นี้แหละครับ ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง
• แบบนี้ก็ต้องจัดตารางชีวิตใหม่เลยใช่ไหมคะ แรกๆ มีท้อหรืออยากล้มเลิกความตั้งใจบ้างไหม
ผมต้องปรับและจัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่หมดเลยทุกอย่าง ต้องตื่นนอนเป็นเวลา จากเมื่อก่อนจะตื่น 6-7 โมงเช้า ขี้เมามาทำงาน ซกมก แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่มีระเบียบวินัย เราก็เปลี่ยนมาตื่นตี 3 ครึ่ง มาซ้อมวิ่งถึงตี 5 กว่าๆ หรือบางวันผมก็จะเล่นเวทเทรนนิ่งร่วมด้วยเพื่อช่วยกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แล้วก็อาบน้ำไปทำงาน ทุกวันนี้เจอหน้าเจ้านาย เจอหน้าเพื่อนร่วมงานก็สบาย ไม่เครียด หน้าตาสดใส ไม่มีเรื่องเมาเพี้ยน ไม่มีมาสายให้ทางเจ้าของหรือหัวหน้างานต้องมาเดือดร้อนกับเรา
ส่วนเรื่องอาหารผมก็จะกินปกติครับ แต่เราจะไม่ใช้ยาโด๊ป กินเพื่อให้ตัวเองอึดหรือวิ่งชนะอะไรแบบนี้ ผมจะไม่เอายาอันตรายเข้าตัว ซึ่งผมทำแบบนี้มาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วครับ
• จากวิ่งมาราธอนแนวราบ มาสู่วิ่งแนวดิ่งขึ้นตึกได้อย่างไร
ผมมาเริ่มวิ่งแนวดิ่งตอนอายุ 50 ปีครับ มันเริ่มมาจากที่ผมทำงานโรงแรม แล้วผมต้องดูแลพวกเซฟตี้ของโรงแรม ต้องเดินตรวจบันไดหนีไฟเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่หลักของด้านเซฟตี้ ซีเคียวริตี้เลย จากเดินขึ้นเดินลงเราก็มานึกว่าเอ้า! วิ่งดีกว่า สนุกดี เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย อีกอย่างเราวิ่งมาราธอนมาทุกรายการ ลงมาหมดแล้ว ผมก็เลยอยากลองวิ่งแนวดิ่งดูบ้าง ก็มีได้ถ้วยรางวัลและได้เป็นที่รู้จักในวงการวิ่งขึ้นตึกว่า ถ้ารุ่น 40 50 60 ปี ขึ้นไป เราจะไม่ได้แพ้ใครเขาบ่อยๆ แน่นอนครับ
จะว่าไปแล้ววิ่งแนวดิ่งมันต่างจากวิ่งแนวราบเยอะเลยนะครับ เพราะแต่ละที่ แต่ละประเทศ บันไดไม่เหมือนกัน ขั้นเล็ก ขั้นถี่ ขั้นแคบ ขั้นกว้าง ก็ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องฝึก อย่างตอนนี้ผมก็อาศัยฝึกซ้อมตอนช่วงเลิกงาน โดยจะซ้อมตรงบันไดหนีไฟของโรงแรมคอมพาส สกายวิว สุขุมวิท 24 สถานที่ทำงานของผมเป็นที่ซ้อมวิ่ง โดยจะวิ่งขึ้น 4 รอบ ลง 4 รอบ ที่นี่ตึกสูง 35 ชั้น แต่ผมจะซ้อมให้ได้ประมาณ 100 ชั้นครับ ผมจะวิ่งขึ้นทีละขั้น สองขั้น ลดลงแล้วก็เพิ่มขึ้น เร็วขึ้นแล้วก็ช้าลง จะได้ฝึกระบบการหายใจด้วย
วิ่งแนวดิ่งที่แรกที่ผมได้ไปลงวิ่งก็คือตึกใบหยก เพราะประเทศไทยวิ่งแนวดิ่งที่เป็นที่นิยมเลยก็จะมีที่ตึกใบหยกกับโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ ซึ่งสถิติที่ผมเคยทำไว้ก็คือวิ่งขึ้นตึกใบหยก 84 ชั้น อยู่ที่ 16-17นาที ครับ
ส่วนที่อื่นๆ อย่างต่างประเทศทางเอเชียผมก็จะไปที่ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เพราะเขามีตึกสูงและเขาจัดการแข่งขันด้วย อย่างล่าสุดผมก็ได้ไปวิ่งที่หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสมาครับ
• เห็นว่าเป็นนักวิ่งอาวุโสของไทยเพียงหนึ่งเดียวที่พิชิตหอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสมาแล้ว
ใช่ครับ ที่หอไอเฟลเขาจะจัดปีละครั้ง ครั้งนั้นเขารับแค่ 129 คน ซึ่งเขาจะเชิญนักวิ่งแนวดิ่งที่เป็นแนวหน้าจากทั่วโลกไป ซึ่งผมก็เลยสมัครและส่งประวัติ ส่งรูปถ้วยรางวัลให้ทางออกแกไนเซอร์เขาดูว่าผมวิ่งมาหลายที่นะ เอาเว็บไซต์ให้เขาไปเช็ค ไปสอบถามได้เลยว่าเราผ่านการวิ่งมาจริงๆ หลังจากนั้นผมก็ได้สิทธิ์พิเศษ Wildcard ได้เป็น 1 ใน 129 คนจากทั่วโลก ที่ได้สิทธิ์เข้าแข่งขัน "วิ่งขึ้นหอไอเฟล" (Eiffel Tower Vertical Run 2018) ครับ
ก่อนไปวิ่งที่หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส ผมก็ได้ไปสำรวจอยู่วันหนึ่งว่าบันไดเป็นยังไง ซึ่งเป็นบันไดเหล็กหมดเลยและก็แคบด้วย วิ่งได้ทีละคน ปล่อย 15 วินาที ต่อ 1 คน สามารถแซงได้แต่กฎระเบียบเยอะมาก ถ้าผิดพลาดปรับแพ้เลย ซึ่งที่นี่ผมกลัวนะ กลัวทำผิดแล้วเสียชื่อเมืองไทย แล้วที่นี่ความยากที่เป็นอุปสรรคที่สุดเลยก็คือ อากาศหนาว ลมแรง หิมะตกด้วย จนต้องเอายาหม่องทาหน้า สุดท้ายผมก็วิ่งทำเวลาได้ที่ 15.11 นาทีครับ ครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นครั้งที่ผมภูมิใจมากครั้งหนึ่ง เพราะว่าผมได้เป็นนักวิ่งที่อายุมากที่สุดในงานและเป็นตัวแทนคนไทยที่ได้ไปถือธงชาติไทยอยู่หน้าหอไอเฟลครับ
• ครั้งนั้นทำให้นายกฯ ประยุทธ์ จันโอชาชื่นชมการวิ่งแนวดิ่งของคุณด้วย
ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจนะครับที่เราได้เป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ ได้มีโอกาสไปวิ่งในงานนี้ และมันทำให้ทุกคนได้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคที่จะหันมาออกกำลังกาย ผมก็ไม่ทราบว่าเรื่องไปถึงท่านได้ยังไง แต่ผมดีใจนะที่ท่านให้ความสำคัญเรื่องกีฬา คือนักกีฬาทีมชาติไทยทำชื่อเสียงให้แล้วเป็นข่าว มีคนพูดถึงผมเข้าใจนะ แต่นี่เราไม่ใช่ทีมชาติไทย เราก็แค่คนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ท่านนายกรัฐมนตรีพูดถึง สักวันหนึ่งผมหวังว่าคงจะได้พบท่านนายกฯ ตัวจริง (หัวเราะ)
• จะว่าไปแล้ววิ่งมา 20 กว่าปี ได้อะไรบ้างคะ
อย่างแรกเลยผมได้เพื่อน ได้มิตรภาพดีๆ ที่สามารถคุยและปรึกษากันเรื่องวิ่งต่างๆ ได้ เพราะส่วนตัวผมไม่เคยคิดว่าจะไปเพื่อเอารางวัลหรือเงินติดมือมา ผมขอให้ได้ไปวิ่ง ได้ไปเจอเพื่อนฝูง เจออากาศดีๆ แค่นี้ก็สบายใจแล้วครับ ถ้าไปหวังเอาถ้วย เอาเงินรางวัล มันจะไปกดดันตัวเอง ไม่สนุกหรอก
สอง…ผมได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งทุกประเทศดีหมดเลยครับ แต่ที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษจะเป็นที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ตอนนั้นผมไปวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตรนะครับ ซึ่งก่อนวิ่งผมได้ไปดูสนามก่อน ปรากฏว่าผมงงว่าจะวิ่งได้ยังไง สถานที่ก็ไม่เอื้อ คนเต็มไปหมด แต่พอมาวันจริง เขาจัดได้สะอาดมาก ก่อนวิ่งเขาจะเอารถน้ำมาฉีดถนนจนสะอาด ทั้งสองข้างทางเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล ชาวบ้านก็เรียบร้อยมายืนเชียร์ เรียกว่าเปลี่ยนเมืองไปเลย
สาม…ผมได้เรื่องสุขภาพเพราะตอนนี้ผมสบายใจว่าเราไม่มีโรคแน่นอน เนื่องจากเราดูแลตัวเอง ผมจะตรวจร่างกาย ตรวจมะเร็งทุกปี ก็ปกติดีครับ แถมผมยังบริจาคเลือดเป็นประจำ ตอนนี้ก็บริจาคไป 85 ครั้งแล้วครับ
การออกกำลังกายทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปนะครับ มันช่วยผมให้ดีขึ้นหลายๆ อย่าง ตอนนี้ผมอายุ 66 ปีแล้ว จริงๆ ที่ทำงานเขาต้องเลิกจ้าง ไม่ให้ทำงานแล้ว แต่ทางโรงแรมยังจ้างผมอยู่ เพราะเรายังโอเค จิตใจสะอาด สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด ร่างกายพร้อม ยังทำงานได้ ไปได้ทุกสถานการณ์ ถ้าผมยังเป็นขี้เหล้าเมายาอยู่แบบตอนนั้นก็คงถูกไล่ออก ป่านนี้ผมก็คงไม่มีการมีงานทำ ไม่มีใครมาคอยสนับสนุนผม ทุกวันนี้เจ้านายสนับสนุน ให้กำลังใจผม อย่างตอนไปที่หอไอเฟลเขาก็ยกครอบครัวไปเชียร์ถึงขอบสนาม ซึ่งถ้าผมเกเร ทำตัวไม่ได้เรื่อง ท่านคงไม่มาสนใจอย่างนี้ นี่แหละครับสิ่งที่ผมได้รับจากการวิ่ง
• ตั้งเป้าหมายอะไรไว้อีกไหม ว่าจะวิ่งไปถึงเมื่อไหร่หรืออยากไปวิ่งสนามไหนอีกบ้าง
ก่อนหน้านี้ผมตั้งเป้าหมายว่าต้องวิ่งจบรายการเท่านั้น ยอมรับว่าแรกๆ มันก็มีกลัวเหมือนกัน กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะไปวิ่งแล้วออกกลางครัน เพราะถ้าวิ่งแล้วท้อกลางทาง ยิ่งไปวิ่งที่ต่างประเทศด้วยแล้วล่ะก็ กลับบ้านไม่ถูกเลยนะ อีกอย่างวิ่งตัวเปล่า เงินก็ไม่มีติดตัวด้วย เราก็เลยต้องกลับมาเส้นชัยให้ได้ ก่อนจะไปวิ่งเราก็ต้องซ้อม อย่าให้ไปหมดแรงกลางทาง เราจะไม่ทำแบบนั้น ซึ่งตลอดที่วิ่งมา 20 กว่าปี ผมก็ไม่เคยออกกลางทาง ไม่เคยวิ่งๆ อยู่ 5 กิโลเมตรแล้วหนีขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไม่เคยทำ และจะไม่ทำเด็ดขาดครับ นั่นคือจุดหมายของผมอย่างเดียวในตอนแรก
ส่วนในอนาคตผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราจะวิ่งจนกว่าจะวิ่งไม่ไหว วิ่งจนกว่าจะวิ่งไม่ได้ ไม่เคยถอดใจว่าจะเลิกหรือพอแล้วครับ เพราะตอนนี้การวิ่งกลายเป็นอาชีพหนึ่งของเราไปแล้ว งานหลักของผมคืองานโรงแรม ส่วนงานเสริมก็คือการวิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมเลยก็คือ ผมอยากไปพิชิตตึก Burj Khalifa ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีความสูง 828 เมตรครับ ถ้าเขาเปิดเมื่อไหร่ผมต้องไปให้ได้แน่ๆ ส่วนล่าสุดวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ผมไปวิ่งขึ้นตึกที่ Lotte World Tower กรุงโซล ประเทศเกาหลีซึ่งตึกของที่นี่เป็นตึกระฟ้าสูง 2,226 ขั้นบันได งานนี้เหนื่อยมากแต่ก็จบรายการ ไม่มีออกกลางทางครับ และวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ผมจะไปวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ที่แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งที่อังกฤษผมไปทำงานที่นั่นด้วยและหาโอกาสไปวิ่งด้วย ผมต้องขอบคุณเจ้านายที่ให้ที่พักฟรีไม่เสียค่าโรงแรมเลยครับ (ยิ้ม)
• ถ้ามีคนสนใจอยากเริ่มต้นวิ่งบ้าง มีข้อแนะนำอย่างไร หรืออยากให้คนอื่นมองเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพอย่างไรบ้างคะ
ก่อนอื่นผมอยากให้ทำเพื่อตัวเองก่อนครับ เพราะการออกกำลังกายมันมีแต่ได้กับได้อยู่แล้ว ทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังช่วยลดภาระของหมอได้อีกด้วย ตอนนี้ก็มีทั้งเพื่อนผู้หญิง เพื่อนผู้ชายที่ผมรู้จักออกมาเป็นนักวิ่งหลายคนแล้วเหมือนกันครับ
ลองเริ่มจากออกกำลังกายช้าๆ หน้าบ้าน หรือจะเดินในหมู่บ้านก่อนก็ได้ พอเมื่อใจพร้อม ร่างกายพร้อม แล้วค่อยออกสนามใหญ่
หรือสำหรับผู้สูงอายุต้องเริ่มจากเดินช้าๆ ก่อน เพราะบางคนอาจจะไม่ได้ออกกำลังกายมานาน และพอเดินจนร่างกายปรับตัวได้แล้วอาจจะมาเดินเร็ว หรือถ้าไหวก็ลองวิ่ง 1-2 กิโลเมตรดูก่อน ต้องค่อยๆ ไต่ระดับไปครับ ไม่ใช่ไม่ได้ซ้อมแล้วไปวิ่ง ความพร้อมร่างกายอาจจะไม่ไหวได้ ซึ่งการทำให้ร่างกายพร้อมสำคัญมากนะครับ บางคนร่างกายไม่พร้อม พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วไปออกกำลังกาย ตายคาสนามก็มีข่าวออกบ่อยๆ บางคนมีโรคประจำตัวอยากออกไปวิ่ง แต่ไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว หมอห้าม แต่ไม่เชื่อ ก็มีสิทธิ์น็อคได้ ต้องวอร์มก่อนและหลังออกกำลังกายด้วย ไม่ใช่ว่าออกตัวเลยหรือหยุดกึกเลย ดังนั้นต้องเซฟตัวเองด้วยครับ เพราะการออกกำลังกายมีประโยชน์ก็จริง แต่ถ้าคุณทำผิดวิธีก็จะทำให้เสียประโยชน์ได้
ประธานโรงแรมคอมพาส สกายวิว และคุณอำนาจ พรหมภินันท์
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ, Facebook : Amnaj Prompinun