เกิดเป็นกระแสถูกพูดถึงอย่างล้นหลามสำหรับการที่เด็กนักเรียนทั้งห้อง 17 คน สอบได้ที่ 1 กันทุกคน และนี่ก็ไม่ใช่แค่การเล่นกลเพื่อดึงความสนใจให้คนเหลียวไปดู แต่คุณครูผู้ให้เกรด ต้องยอมรับว่ามีวิสัยทัศน์ที่พิเศษระดับไม่ธรรมดา!

เราพาไปทำความรู้จักกับ “ครูชินกร พิมพิลา” หรือ “ครูติ๊ก” แห่งโรงเรียนบ้านนาสีนวล ต.หนองแปน อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สกลนคร เขต 2 (สพป..สกลนคร เขต 2) ผู้อยู่เบื้องหลังการให้เกรดนักเรียนทุกคนจนเป็นที่หนึ่งยกชั้น พร้อมรับฟังถึงแนวคิดและแนวทางการเรียนรู้ที่ถูกที่ถูกเวลากับช่วงที่ระบบการศึกษากำลังเพรียกหาการปฏิรูป...

• จุดเริ่มต้น...
มาจากการที่เราได้เห็นเพื่อนที่เก่งคณิตศาสตร์เก่งวิทยาศาสตร์ ให้เพื่อนที่สอบได้บ๊วยช่วยขุดแปลงผักวิชาเกษตรในตอนประถมปลาย คือเขาก็มีความสามารถแบบอื่น แม้ว่าอ่านหนังสือไม่ได้ ไม่คล่อง เขาก็มีทักษะชีวิตที่ดี เขาก็สามารถที่จะทำอย่างอื่นได้ดีกว่าคนอื่น แสดงว่าความเก่งของแต่ละคนก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว
ทีนี้ ยิ่งย้อนกลับไปตอนที่เราเรียนอยู่ชั้นประถมประมาณ ป.2 เราได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในกลุ่มที่คุณครูให้ช่วยสอนเพื่อนๆ รุ่นน้องอ่านหนังสือ ทำให้เราได้ใกล้ชิดอาจารย์กับครูที่ประจำชั้น ท่านก็เป็นเหมือนต้นแบบให้กับเรา เราได้รับการซึมซับความเอ็นดู ความผูกพัน เราก็อยากจะเป็นเหมือนครูที่สอนนักเรียนช่วยนักเรียน เพราะเราได้มองว่าครูให้การยอมรับ เห็นคุณค่าความสามารถ เราก็เหมือนกับมีเป้าหมายว่าอยากจะเป็นครูภาษาไทยและก็ได้ประกอบอาชีพเป็นเรือจ้างครูภาษาไทยจริงๆ ที่หล่อเลี้ยงชีพเรา
หลังจากตั้งใจเรียนสายนี้ จบที่ ม.ขอนแก่น ก็กลับมาสอนที่โรงเรียนที่เราจบมา โรงเรียนบ้านนาสีนวล แล้วก็ใช้วิธีนี้มาตั้งแต่ต้นนับเวลาตอนนี้ก็ 8 ปีแล้ว แต่การที่จัดอันดับที่ 1 ในทุกคนนั้นเพิ่งจะทำปีการศึกษา 2560 ปีนี้ ซึ่งวิธีการเรียนการสอนของเรารูปแบบที่ทำมาตลอด เราไม่ได้เน้นเรื่องการสอนภายในห้องเรียนอย่างเดียว เราเน้นที่การจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนมีความรู้สึกว่าเขาอยากมาโรงเรียน ก็คือการจัดกิจกรรมรวมในระดับทั้งโรงเรียนที่มันแปลกใหม่ หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เขารู้สึกอยากมาโรงเรียน ให้เขาอยากมาเจอสิ่งใหม่ๆ บ้าง อย่างเรื่องของการจัดกิจกรรม เราก็เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว จนมาเป็นครู ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน

จุดสำคัญอย่างหนึ่ง คือเราไม่เพียงปรับรูปแบบกระบวนการสอนในห้องเรียนอย่างเดียว แต่เรามีพื้นที่กระบวนการการจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย แล้วเราก็จะดูความแตกต่างของแต่ละคนจากการทำกิจกรรมตรงนี้ว่าในห้องเรียนกับนอกห้องเรียน คนนี้มีความถนัดทางด้านอะไรยังไงบ้าง อย่างเช่น เด็กชั้น ป.6 ที่เรียนเรื่องของคำภาษาไทย จริงๆ ถ้าเปิดหนังสือสอนก็สอนง่าย ง่ายกว่าด้วย เปิดหนังสืออธิบายแล้วก็จบ แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้เด็กรู้ถึงกระบวนการ ได้เข้าใจลึกซึ้งว่ามันต้องเชื่อมโยง เด็กต้องเชื่อมโยงเรื่องของพวกนี้กับชีวิต
เราก็จัดกระบวนการให้เด็กเก็บข้อมูล คำต่างๆ เช่นชื่อของนักเรียนในโรงเรียน แล้วมาแบ่งชนิดว่าเป็นประเภทไหน โดยใช้ชุมชน หรือโรงเรียนเป็นฐาน เขาก็จะได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริงๆ เหมือนทำระดับวิจัยเลย เป็นขนาดเล็กๆ ซึ่งเด็กก็จะเกิดการเรียนรู้จดจำที่ดี เป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่มากกว่าเรียนรู้ธรรมดา เพราะเด็กได้รับประสบการณ์ตรงเขาจะจดจำได้มากว่าการเห็นภาพเพียงอย่างเดียว เป็นลักษณะของแอกทีฟ เลิร์นนิ่ง (Active Learning)

• กิจกรรมเรียนนอกห้องเรียน เราเพิ่มเสริมตรงจุดไหนบ้าง
เรื่องของชุมชน เพราะเป็นฐานสำคัญที่จะจัดกิจกรรมแต่ละอย่างให้เด็กได้รู้สึกว่าชุมชนของเขามีอะไรดีบ้าง เนื่องจากเราเชื่ออย่างหนึ่งตั้งแต่อยู่ที่นี่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี สิ่งที่อยากให้เกิดคือเรื่องของคำว่า ‘ฮักบ้านเกิด’ แต่การที่จะฮักบ้านเกิด สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือต้องเห็นคุณค่าของชุมชนของเขาก่อน ในอดีต เราอยู่ในชุมชนมา บางทีเราก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าชุมชนมีเรื่องอะไรดี
จนกระทั่งเรามาเป็นครู เราพยายามค้นหาสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็คิดว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราคือความสำคัญ ทั้งคนในชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ก็เลยจัดโปรแกรมพาเด็กทำย้อมผ้า ทอผ้า ร่วมกับทีมพนักงานผู้บริหารแล้วก็ชุมชนที่เข้ามาร่วมปรับรูปแบบของกิจกรรม ซึ่งตัวนี้ก็จะไม่ได้อยู่ในชั่วโมงเรียนหรือรายวิชาเรียน แต่เป็นการเพิ่มเสริมเติมเข้ามาในเวลาเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็ใช้ชั่วโมงเหล่านี้ในเวลาว่างพาเด็กทำ เสริมประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเด็กๆ ก็สนุกและได้ความรู้ได้ประโยชน์
• กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กๆ ก็สนุกและได้ความรู้และเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นคุณค่าของชุมชมสังคมของเขา ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เพียงเด็กๆ เท่านั้น แต่ผู้หลักผู้ใหญ่เองก็ย้อนกลับมามองเห็นคุณค่า ดูได้จากการที่เราได้รับงบสนับสนุนจากโรงเรียนและหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยตรงนี้ตลอดมา

• มีใครหาว่าบ้า ไม่ปกติ บ้างไหม
ครูบ้า เขาพูดกันอยู่แล้วครับ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราทำมาตลอดระยะเวลามากกว่า 8 ปี ตั้งแต่เราเรียน ฝึกสอน คำว่าดีกับบ้ามันต่างกันแค่เส้นบางๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเริ่มจากเราก่อน เรามีความสุขที่เราได้ทำ เราเห็นเด็กๆ มีรอยยิ้ม มีความกระตือรือร้นในสิ่งที่รักชอบและค้นพบ แววตาเวลาที่เขารู้ว่าความสามารถของเขามีความโดดเด่นแต่ละด้านอย่างไรบ้าง เป็นสิ่งที่หาอะไรมาเปรียบเทียบบรรยายได้ยาก
ส่วนที่สาม ผู้ปกครองเขาก็ได้ตระหนักคุณค่าและความสามารถของลูกเขาที่ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ ครูยอมรับ เขาก็รอคอยวันที่ครูจะให้ความสำคัญของเขาด้วย สิ่งสุดท้าย การที่สังคมให้การยอมรับชื่นชม มันเป็นวิธีการสร้างกำลังใจให้เด็กและพลังทางบวก เราไม่ได้ไปทำลายกรอบเดิมที่เป็นสิ่งที่ดี เราแค่เพิ่มเติมเสริมเข้าไปเพื่อให้เห็นคุณค่าความสำคัญของเด็กมากยิ่งขึ้น
ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้น เสื้อตัวเดียวใส่กับคนทั้งประเทศ มันก็คับบ้างหลวมบ้าง เราจะใช้แค่สิ่งนี้วัดคุณค่าของคนไม่ได้ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลก ในการจัดลำดับที่หนึ่งของแต่ละคน รูปแบบนี้หลายๆ ที่หลายๆ โรงเรียนก็ทำกัน แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราทำแล้วมีกระแสเพราะเราทำถูกช่วงถูกเวลาที่เขากำลังพูดกันเรื่องปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากประชาชนรู้สึกว่าทำไมการศึกษาไทยมันหลงทาง
สิ่งที่เราขาดหายไปเป็นเรื่องของทักษะชีวิต แล้วคนก็เริ่มหวนกลับคืนมาคุยทักษะชีวิต ตรงกันข้ามกับการที่ต้องไปติวไปกวดวิชา การไปมุ่งเน้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยการใช้คะแนนหรือวิชาการให้มาก ตัวอย่างเด็กที่ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนสามารถที่จะยื่นแฟ้มสะสมงานเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้เป็นผลสำเร็จ ทักษะมันไม่ได้มีเพียงศิลป์และวิทย์หรือคณิตศาสตร์ มันมีแยกแตกออกไปอีก 7-8-9-10 ก็คือทักษะชีวิตสังคม เป็นใบเบิกทางให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต


• ไม่รู้จะเรียนอะไร จะไปทางด้านไหน ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็เพราะเหตุนี้
ส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าเราทำให้เด็กเขาเห็นว่าเขามีคุณค่าอะไรในตัวเองตั้งแต่อยู่ประถม เขาได้รับการสนับสนุนต่อมาเรื่อยๆ เขาก็จะวางเป้าหมายในตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
• ซึ่งพอได้ทำในทางที่ชอบ ก็ไปได้ไกลได้ไวขึ้น
ไกลพอสมควรและเป็นตัวหนุนเสริมให้เขาได้เรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย อย่างเด็กที่ชอบประดิษฐ์สร้างเครื่องบินบังคับ เขาก็ได้เห็นว่าในการทำเครื่องบินนั้นมันมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เขาต้องเรียนรู้ เช่นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ มันก็จะมาเองอัตโนมัติเพื่อที่เขาจะได้ทำสำเร็จอย่างที่ฝันตั้งใจ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงเสริมให้เขาเกิดแรงบันดาลใจให้เขาไม่ปิดกั้นตัวเอง เด็กบางคนที่เข้าเรียนไม่ค่อยได้มันก็ต้องมีอยู่แล้ว เขาจะอยู่รั้งท้ายตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ค้นพบตัวเอง เขาก็จะมีความรู้สึกตั้งกำแพงว่าขึ้นชั้นมัธยม ฉันไม่อยากเรียนเลยวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เขาก็จะพยายามเรียนรู้โดยไม่ตั้งกำแพงตัวกั้นการเรียนรู้ของเขา
ก้าวต่อไปของวงการครู ณ ตอนนี้ส่วนตัวมองว่าทุกคนมีความคาดหวังทางด้านการศึกษาจะปฏิรูปโดยการปฏิบัติมากกว่าการปฏิรูปในกระดาษ ทุกคนมีความคาดหวังอย่างนี้หมด สังคมคาดหวังหมด แต่ทุกคนลืมมองไปว่าทุกคนมีส่วนร่วมที่จะทำ ทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา ครูก็ทำหน้าที่ของครู นักเรียนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ผู้ปกครองก็ต้องมีส่วนช่วย องค์กรภายนอกก็ต้องหนุนเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้

• อนาคตวางหมุดหมายเพิ่มไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ได้การตอบรับที่ดีมากครับ หลายคนก็อาจจะเอาไปเป็นแบบอย่าง ก็ต้องขอขอบพระคุณ โดยเฉพาะท่านผู้อำนวยการที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีมาก ที่ทำให้เรามีอิสระในการดำเนินงานหรือการทำงานเหล่านี้โดยนำแนวคิดใหม่ๆ เข้าไปทำ ตอนแรกวางแผนไว้ว่าในระยะเวลา 3 ปีตรงนี้ แต่เราทำปีแรกก็ได้รับเสียงตอบรับขนาดนี้ ช็อตต่อไปคือการพัฒนา ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาว่ามีสิ่งที่แปลกใหม่อะไรอีกหรือไม่ จะสร้างสรรค์เข้ามาโดยนำชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ให้มากที่สุด แล้วสามารถที่จะให้โรงเรียนอื่นมาเรียนรู้ได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพราะแต่ละคนก็มีความถนัดในแต่ละด้าน ก็นำไปปรับใช้
• ไม่เพียงการให้เด็กทุกคนพบคุณค่าในตัวเองเท่านั้น แต่ให้เด็กเล็งเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ครอบครัวและชุมชน อันเป็นแก่นของการศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่
ครับ... สุดท้ายถ้าเขาได้เรียนรู้ว่าชุมชมเขามีอะไรดี เขาก็จะกลับมาที่ชุมชนของตัวเองเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานรากของประเทศชาติ โดยเริ่มจากครอบครัว ชุมชน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด องค์กรขนาดเล็กที่สุดที่จะเป็นก้าวแรกแห่งการพัฒนาที่สุด พื้นฐานสิ่งแวดล้อม ครอบครัว สังคม

ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ขนาดนี้ เพราะการเป็นครูก็เป็นผู้ให้ทั้งกายและจิต ไม่ใช่แค่หน้าที่ภายนอก แต่ภายในเราก็ต้องเป็นครูอยู่ตลอดเวลา คือเราได้รับการปลูกฝังและอบรมสั่งสอนมาเหมือนการบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างที่บอกไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เรื่องของพวกนี้เราจะรู้สึกว่าการเป็นครูต้องทุ่มเทมาก โดนเคี่ยวเข็ญ อย่างช่วงเวลาที่แข่งวิชาการ เราต้องติวหนักมาก ครูท่านก็ต้องติวให้เราทั้งๆ ที่ความรู้ผลงานอะไรต่างๆ ได้กับตัวเรา แต่ท่านก็ทุ่มเทให้เรา ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งหล่อหลอมให้เป็นเรา ให้เรามีเราขึ้นมาในวันนี้ สิ่งเหล่านี้เราได้รับจากคุณครูเรือจ้างที่ท่านได้พายชี้นำ ส่องให้เห็นคุณค่าของตัวเราและสนับสนุนจนเราถึงฝั่ง ทุกอย่างก็เชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งหมดจากการศึกษา






เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ชินกร พิมพิลา
เราพาไปทำความรู้จักกับ “ครูชินกร พิมพิลา” หรือ “ครูติ๊ก” แห่งโรงเรียนบ้านนาสีนวล ต.หนองแปน อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สกลนคร เขต 2 (สพป..สกลนคร เขต 2) ผู้อยู่เบื้องหลังการให้เกรดนักเรียนทุกคนจนเป็นที่หนึ่งยกชั้น พร้อมรับฟังถึงแนวคิดและแนวทางการเรียนรู้ที่ถูกที่ถูกเวลากับช่วงที่ระบบการศึกษากำลังเพรียกหาการปฏิรูป...
• จุดเริ่มต้น...
มาจากการที่เราได้เห็นเพื่อนที่เก่งคณิตศาสตร์เก่งวิทยาศาสตร์ ให้เพื่อนที่สอบได้บ๊วยช่วยขุดแปลงผักวิชาเกษตรในตอนประถมปลาย คือเขาก็มีความสามารถแบบอื่น แม้ว่าอ่านหนังสือไม่ได้ ไม่คล่อง เขาก็มีทักษะชีวิตที่ดี เขาก็สามารถที่จะทำอย่างอื่นได้ดีกว่าคนอื่น แสดงว่าความเก่งของแต่ละคนก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว
ทีนี้ ยิ่งย้อนกลับไปตอนที่เราเรียนอยู่ชั้นประถมประมาณ ป.2 เราได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในกลุ่มที่คุณครูให้ช่วยสอนเพื่อนๆ รุ่นน้องอ่านหนังสือ ทำให้เราได้ใกล้ชิดอาจารย์กับครูที่ประจำชั้น ท่านก็เป็นเหมือนต้นแบบให้กับเรา เราได้รับการซึมซับความเอ็นดู ความผูกพัน เราก็อยากจะเป็นเหมือนครูที่สอนนักเรียนช่วยนักเรียน เพราะเราได้มองว่าครูให้การยอมรับ เห็นคุณค่าความสามารถ เราก็เหมือนกับมีเป้าหมายว่าอยากจะเป็นครูภาษาไทยและก็ได้ประกอบอาชีพเป็นเรือจ้างครูภาษาไทยจริงๆ ที่หล่อเลี้ยงชีพเรา
หลังจากตั้งใจเรียนสายนี้ จบที่ ม.ขอนแก่น ก็กลับมาสอนที่โรงเรียนที่เราจบมา โรงเรียนบ้านนาสีนวล แล้วก็ใช้วิธีนี้มาตั้งแต่ต้นนับเวลาตอนนี้ก็ 8 ปีแล้ว แต่การที่จัดอันดับที่ 1 ในทุกคนนั้นเพิ่งจะทำปีการศึกษา 2560 ปีนี้ ซึ่งวิธีการเรียนการสอนของเรารูปแบบที่ทำมาตลอด เราไม่ได้เน้นเรื่องการสอนภายในห้องเรียนอย่างเดียว เราเน้นที่การจัดกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนมีความรู้สึกว่าเขาอยากมาโรงเรียน ก็คือการจัดกิจกรรมรวมในระดับทั้งโรงเรียนที่มันแปลกใหม่ หลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เขารู้สึกอยากมาโรงเรียน ให้เขาอยากมาเจอสิ่งใหม่ๆ บ้าง อย่างเรื่องของการจัดกิจกรรม เราก็เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว จนมาเป็นครู ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน
จุดสำคัญอย่างหนึ่ง คือเราไม่เพียงปรับรูปแบบกระบวนการสอนในห้องเรียนอย่างเดียว แต่เรามีพื้นที่กระบวนการการจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วย แล้วเราก็จะดูความแตกต่างของแต่ละคนจากการทำกิจกรรมตรงนี้ว่าในห้องเรียนกับนอกห้องเรียน คนนี้มีความถนัดทางด้านอะไรยังไงบ้าง อย่างเช่น เด็กชั้น ป.6 ที่เรียนเรื่องของคำภาษาไทย จริงๆ ถ้าเปิดหนังสือสอนก็สอนง่าย ง่ายกว่าด้วย เปิดหนังสืออธิบายแล้วก็จบ แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้เด็กรู้ถึงกระบวนการ ได้เข้าใจลึกซึ้งว่ามันต้องเชื่อมโยง เด็กต้องเชื่อมโยงเรื่องของพวกนี้กับชีวิต
เราก็จัดกระบวนการให้เด็กเก็บข้อมูล คำต่างๆ เช่นชื่อของนักเรียนในโรงเรียน แล้วมาแบ่งชนิดว่าเป็นประเภทไหน โดยใช้ชุมชน หรือโรงเรียนเป็นฐาน เขาก็จะได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริงๆ เหมือนทำระดับวิจัยเลย เป็นขนาดเล็กๆ ซึ่งเด็กก็จะเกิดการเรียนรู้จดจำที่ดี เป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่มากกว่าเรียนรู้ธรรมดา เพราะเด็กได้รับประสบการณ์ตรงเขาจะจดจำได้มากว่าการเห็นภาพเพียงอย่างเดียว เป็นลักษณะของแอกทีฟ เลิร์นนิ่ง (Active Learning)
• กิจกรรมเรียนนอกห้องเรียน เราเพิ่มเสริมตรงจุดไหนบ้าง
เรื่องของชุมชน เพราะเป็นฐานสำคัญที่จะจัดกิจกรรมแต่ละอย่างให้เด็กได้รู้สึกว่าชุมชนของเขามีอะไรดีบ้าง เนื่องจากเราเชื่ออย่างหนึ่งตั้งแต่อยู่ที่นี่ ตลอดระยะเวลา 5 ปี สิ่งที่อยากให้เกิดคือเรื่องของคำว่า ‘ฮักบ้านเกิด’ แต่การที่จะฮักบ้านเกิด สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือต้องเห็นคุณค่าของชุมชนของเขาก่อน ในอดีต เราอยู่ในชุมชนมา บางทีเราก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าชุมชนมีเรื่องอะไรดี
จนกระทั่งเรามาเป็นครู เราพยายามค้นหาสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็คิดว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราคือความสำคัญ ทั้งคนในชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ก็เลยจัดโปรแกรมพาเด็กทำย้อมผ้า ทอผ้า ร่วมกับทีมพนักงานผู้บริหารแล้วก็ชุมชนที่เข้ามาร่วมปรับรูปแบบของกิจกรรม ซึ่งตัวนี้ก็จะไม่ได้อยู่ในชั่วโมงเรียนหรือรายวิชาเรียน แต่เป็นการเพิ่มเสริมเติมเข้ามาในเวลาเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ เราก็ใช้ชั่วโมงเหล่านี้ในเวลาว่างพาเด็กทำ เสริมประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเด็กๆ ก็สนุกและได้ความรู้ได้ประโยชน์
• กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กๆ ก็สนุกและได้ความรู้และเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นคุณค่าของชุมชมสังคมของเขา ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เพียงเด็กๆ เท่านั้น แต่ผู้หลักผู้ใหญ่เองก็ย้อนกลับมามองเห็นคุณค่า ดูได้จากการที่เราได้รับงบสนับสนุนจากโรงเรียนและหน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยตรงนี้ตลอดมา
• มีใครหาว่าบ้า ไม่ปกติ บ้างไหม
ครูบ้า เขาพูดกันอยู่แล้วครับ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราทำมาตลอดระยะเวลามากกว่า 8 ปี ตั้งแต่เราเรียน ฝึกสอน คำว่าดีกับบ้ามันต่างกันแค่เส้นบางๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเริ่มจากเราก่อน เรามีความสุขที่เราได้ทำ เราเห็นเด็กๆ มีรอยยิ้ม มีความกระตือรือร้นในสิ่งที่รักชอบและค้นพบ แววตาเวลาที่เขารู้ว่าความสามารถของเขามีความโดดเด่นแต่ละด้านอย่างไรบ้าง เป็นสิ่งที่หาอะไรมาเปรียบเทียบบรรยายได้ยาก
ส่วนที่สาม ผู้ปกครองเขาก็ได้ตระหนักคุณค่าและความสามารถของลูกเขาที่ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ ครูยอมรับ เขาก็รอคอยวันที่ครูจะให้ความสำคัญของเขาด้วย สิ่งสุดท้าย การที่สังคมให้การยอมรับชื่นชม มันเป็นวิธีการสร้างกำลังใจให้เด็กและพลังทางบวก เราไม่ได้ไปทำลายกรอบเดิมที่เป็นสิ่งที่ดี เราแค่เพิ่มเติมเสริมเข้าไปเพื่อให้เห็นคุณค่าความสำคัญของเด็กมากยิ่งขึ้น
ทุกคนเป็นคนดีทั้งนั้น เสื้อตัวเดียวใส่กับคนทั้งประเทศ มันก็คับบ้างหลวมบ้าง เราจะใช้แค่สิ่งนี้วัดคุณค่าของคนไม่ได้ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลก ในการจัดลำดับที่หนึ่งของแต่ละคน รูปแบบนี้หลายๆ ที่หลายๆ โรงเรียนก็ทำกัน แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราทำแล้วมีกระแสเพราะเราทำถูกช่วงถูกเวลาที่เขากำลังพูดกันเรื่องปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากประชาชนรู้สึกว่าทำไมการศึกษาไทยมันหลงทาง
สิ่งที่เราขาดหายไปเป็นเรื่องของทักษะชีวิต แล้วคนก็เริ่มหวนกลับคืนมาคุยทักษะชีวิต ตรงกันข้ามกับการที่ต้องไปติวไปกวดวิชา การไปมุ่งเน้นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยการใช้คะแนนหรือวิชาการให้มาก ตัวอย่างเด็กที่ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนสามารถที่จะยื่นแฟ้มสะสมงานเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้เป็นผลสำเร็จ ทักษะมันไม่ได้มีเพียงศิลป์และวิทย์หรือคณิตศาสตร์ มันมีแยกแตกออกไปอีก 7-8-9-10 ก็คือทักษะชีวิตสังคม เป็นใบเบิกทางให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต
• ไม่รู้จะเรียนอะไร จะไปทางด้านไหน ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็เพราะเหตุนี้
ส่วนหนึ่งครับ แต่ถ้าเราทำให้เด็กเขาเห็นว่าเขามีคุณค่าอะไรในตัวเองตั้งแต่อยู่ประถม เขาได้รับการสนับสนุนต่อมาเรื่อยๆ เขาก็จะวางเป้าหมายในตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
• ซึ่งพอได้ทำในทางที่ชอบ ก็ไปได้ไกลได้ไวขึ้น
ไกลพอสมควรและเป็นตัวหนุนเสริมให้เขาได้เรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย อย่างเด็กที่ชอบประดิษฐ์สร้างเครื่องบินบังคับ เขาก็ได้เห็นว่าในการทำเครื่องบินนั้นมันมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เขาต้องเรียนรู้ เช่นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ มันก็จะมาเองอัตโนมัติเพื่อที่เขาจะได้ทำสำเร็จอย่างที่ฝันตั้งใจ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงเสริมให้เขาเกิดแรงบันดาลใจให้เขาไม่ปิดกั้นตัวเอง เด็กบางคนที่เข้าเรียนไม่ค่อยได้มันก็ต้องมีอยู่แล้ว เขาจะอยู่รั้งท้ายตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ค้นพบตัวเอง เขาก็จะมีความรู้สึกตั้งกำแพงว่าขึ้นชั้นมัธยม ฉันไม่อยากเรียนเลยวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เขาก็จะพยายามเรียนรู้โดยไม่ตั้งกำแพงตัวกั้นการเรียนรู้ของเขา
ก้าวต่อไปของวงการครู ณ ตอนนี้ส่วนตัวมองว่าทุกคนมีความคาดหวังทางด้านการศึกษาจะปฏิรูปโดยการปฏิบัติมากกว่าการปฏิรูปในกระดาษ ทุกคนมีความคาดหวังอย่างนี้หมด สังคมคาดหวังหมด แต่ทุกคนลืมมองไปว่าทุกคนมีส่วนร่วมที่จะทำ ทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษา ครูก็ทำหน้าที่ของครู นักเรียนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ผู้ปกครองก็ต้องมีส่วนช่วย องค์กรภายนอกก็ต้องหนุนเสริมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้
• อนาคตวางหมุดหมายเพิ่มไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ได้การตอบรับที่ดีมากครับ หลายคนก็อาจจะเอาไปเป็นแบบอย่าง ก็ต้องขอขอบพระคุณ โดยเฉพาะท่านผู้อำนวยการที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีมาก ที่ทำให้เรามีอิสระในการดำเนินงานหรือการทำงานเหล่านี้โดยนำแนวคิดใหม่ๆ เข้าไปทำ ตอนแรกวางแผนไว้ว่าในระยะเวลา 3 ปีตรงนี้ แต่เราทำปีแรกก็ได้รับเสียงตอบรับขนาดนี้ ช็อตต่อไปคือการพัฒนา ทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาว่ามีสิ่งที่แปลกใหม่อะไรอีกหรือไม่ จะสร้างสรรค์เข้ามาโดยนำชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ให้มากที่สุด แล้วสามารถที่จะให้โรงเรียนอื่นมาเรียนรู้ได้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพราะแต่ละคนก็มีความถนัดในแต่ละด้าน ก็นำไปปรับใช้
• ไม่เพียงการให้เด็กทุกคนพบคุณค่าในตัวเองเท่านั้น แต่ให้เด็กเล็งเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ครอบครัวและชุมชน อันเป็นแก่นของการศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่
ครับ... สุดท้ายถ้าเขาได้เรียนรู้ว่าชุมชมเขามีอะไรดี เขาก็จะกลับมาที่ชุมชนของตัวเองเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานรากของประเทศชาติ โดยเริ่มจากครอบครัว ชุมชน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด องค์กรขนาดเล็กที่สุดที่จะเป็นก้าวแรกแห่งการพัฒนาที่สุด พื้นฐานสิ่งแวดล้อม ครอบครัว สังคม
ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ขนาดนี้ เพราะการเป็นครูก็เป็นผู้ให้ทั้งกายและจิต ไม่ใช่แค่หน้าที่ภายนอก แต่ภายในเราก็ต้องเป็นครูอยู่ตลอดเวลา คือเราได้รับการปลูกฝังและอบรมสั่งสอนมาเหมือนการบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างที่บอกไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เรื่องของพวกนี้เราจะรู้สึกว่าการเป็นครูต้องทุ่มเทมาก โดนเคี่ยวเข็ญ อย่างช่วงเวลาที่แข่งวิชาการ เราต้องติวหนักมาก ครูท่านก็ต้องติวให้เราทั้งๆ ที่ความรู้ผลงานอะไรต่างๆ ได้กับตัวเรา แต่ท่านก็ทุ่มเทให้เรา ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งหล่อหลอมให้เป็นเรา ให้เรามีเราขึ้นมาในวันนี้ สิ่งเหล่านี้เราได้รับจากคุณครูเรือจ้างที่ท่านได้พายชี้นำ ส่องให้เห็นคุณค่าของตัวเราและสนับสนุนจนเราถึงฝั่ง ทุกอย่างก็เชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งหมดจากการศึกษา
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ชินกร พิมพิลา


