xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 8-14 เม.ย.2561

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

1.“บิ๊กตู่” นำ ครม.-ผบ.เหล่าทัพรดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” ด้าน “ป๋าเปรม” ย้ำจะเป็นแรงหนุนที่ดีของนายกฯ พร้อมถามหา “บิ๊กป้อม” !
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นำ ครม.-ผบ.เหล่าทัพเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นำคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้ารดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2561

เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐมนตรีที่ พล.อ.ประยุทธ์นำเข้ารดน้ำขอพรจาก พล.อ.เปรม มีเพียงรัฐมนตรีสายทหารเท่านั้นจำนวน 8 คน ประกอบด้วย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ และ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวในนามของรัฐบาล เหล่าทัพ และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของส่วนราชการต่อ พล.อ.เปรมตอนหนึ่งว่า ทุกคนเป็นห่วงสุขภาพของ พล.อ.เปรม อยากให้แข็งแรง อยู่กับพวกเราไปนานเท่านาน

ขณะที่ พล.เปรม ได้ขอบคุณนายกฯ ที่ดำรงความเป็นไทยในปีใหม่ไทย และมาให้พรซึ่งกันและกัน พล.อ.เปรมยังได้ขอโทษที่ไม่สามารถให้ทุกคนได้รดน้ำได้ ทั้งๆ ที่อยากจะคุยด้วย มีรายงานว่า เหตุที่สงกรานต์ปีนี้ พล.อ.เปรม เปิดโอกาสให้นายกฯ และ ครม.เข้าอวยพรแค่ 9 คน เนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรง

พล.อ.เปรม ยังพูดให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยว่า “มั่นใจในนายกฯ และพวกเราทุกๆ คน ผบ.เหล่าทัพและตำรวจ โดยจะเป็นแรงสนับสนุนที่ดีของนายกฯ ให้สามารถบริหารประเทศของเราสำเร็จได้ ต้องขอโทษอีกครั้งที่ไม่สามารถให้บุคคลเข้ามารดน้ำได้ แต่ใจจริงนั้นเป็นเพื่อนกับทุกคนเสมอ และจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป โดยตนได้เป็นเพื่อนกับนายกฯ มา 10 กว่าปี ซึ่งปีนี้เราเป็นเพื่อนกันอยู่ ซึ่งก็ยินดีและภูมิใจมากที่นายกฯ เข้ามาบริหารประเทศ โดยมีพวกเราเป็นผู้สนับสนุน สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจะต้องพูดกับนายกฯ ตรงๆ คือขอให้ยึดมั่นในคำว่า เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้านายกฯ ทำเรื่องนี้ได้ แผ่นดินก็จะอยู่ในความสงบสุข โดยมีนายกฯ เป็นผู้นำประเทศของเรา และเราเป็นแรงสนับสนุน”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์ได้เรียก ครม.และผู้นำเหล่าทัพเข้ามารายงานตัวต่อ พล.อ.เปรม พล.อ.เปรมได้ถามหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมรดน้ำขอพรครั้งนี้ว่า “ป้อมไปไหน” พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ท่านไม่สบาย ไปตรวจเช็กสุขภาพ เป็นเส้นเลือดหัวใจ หลังการทำบายพาสหัวใจไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่ไม่ใช่การทำบายพาสครั้งใหม่”

วันต่อมา 12 เม.ย. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาชี้แจงกรณี พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เข้าร่วมรดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ว่า พล.อ.ประวิตร ลาไปทำภารกิจส่วนตัวที่ต่างประเทศ แต่ไม่ทราบว่าประเทศไหน และมีกำหนดเดินทางกลับในวันที่ 15 เม.ย. “ผมเข้าใจว่าเดินทางไปเช็กอัพหรือตรวจสุขภาพมากกว่า คงไม่ไปทำบายพาส เพราะ พล.อ.ประวิตรได้เคยทำไปแล้ว เป็นการเดินทางไปพักผ่อนในตัว คงไม่น่ามีอะไรพิเศษ ซึ่งนายรัฐมนตรีก็ได้รับทราบแล้ว”

มีรายงานว่า หลัง พล.อ.ประวิตรเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันที่ 15 เม.ย.แล้ว วันที่ 16 เม.ย. พล.อ.ประวิตรจะเปิดบ้านพักซอยลาดพร้าว 71 เพื่อให้ ผบ.เหล่าทัพ ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไปเข้ารดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์

2.ครม. ให้ปลัด-รองปลัด พม.ออกจากราชการไว้ก่อน รอสอบปมทุจริต โยก “สมชัย” พ้นปลัดคลังนั่งเลขาฯ สภาพัฒน์ ด้านเจ้าตัวยื่นใบลาออก!
(บนซ้าย) นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) (บนขวา) นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง (ล่างซ้าย) นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) (ล่างขวา) นายณรงค์ คงคำ รองปลัด พม.
ความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ( ป.ป.ท.) เข้าไปตรวจสอบ กระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งสำนักนายกฯ ให้นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม.และนายณรงค์ คงคำ รองปลัด พม.มาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯ เพื่อรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือไม่นั้น

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีคำสั่งให้นายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ ปลัด พม. และนายณรงค์ คงคำ รองปลัด พม.ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอผลการสอบสวนกรณีทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย พร้อมแต่งตั้งนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ไปดำรงตำแหน่งปลัด พม. แทน ซึ่งส่วนตัวมองว่ามีความเหมาะสม เพราะเป็นผู้มีประสบการณ์การทำงาน และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้นายปรเมธี เข้ามาช่วยงาน ในการเตรียมการพัฒนาสังคมในอนาคต ทั้งเรื่องผู้สูงอายุและเด็ก ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ส่วนการแต่งตั้งรองปลัด พม.คนใหม่ จะมีการพิจารณาในการประชุม ครม. ครั้งต่อไป เพื่อให้ พม. ได้พิจารณาคนภายในให้ละเอียดรอบคอบ ยืนยันว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ใช่การแก้อาถรรพ์กระทรวงที่ก่อนหน้านี้มีการทุจริตอยู่บ่อยครั้ง แต่ถือเป็นจังหวะของการปรับเปลี่ยน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการให้นายพุฒิพัฒน์และนายณรงค์ออกจากราชการไว้ก่อนว่า หากวันข้างหน้าพบว่าไม่ผิด ก็กลับมาได้ โดยสามารถเรียกร้องสิทธิเหล่านี้คืนได้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวถามถึงการโยกย้ายนายปรเมธี เลขาธิการ สศช.มาเป็นปลัด พม.ซึ่งเป็นการข้ามห้วย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เขาเก่งไง ผมไว้ใจเขา ทำไม เขามีความสามารถ ทาง พม.เขาเสนอมา ผมก็พิจารณาหาคนที่เหมาะสม ไว้วางใจได้ ทำข้ามห้วยอะไร ก็ข้าราชการด้วยกันทั้งหมด”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยหลังประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมมีมติย้ายนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ไปเป็นเลขาธิการ สศช.แทนนายปรเมธี เนื่องจากมีการขอตัวจากนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการนายสมชัยไปช่วยทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ และให้ไปช่วยดูแผนปฏิรูปประเทศ ต้องใช้คนมีศักยภาพ คนที่ดีที่สุดไปขับเคลื่อน เพราะแผนดังกล่าวต้องขับเคลื่อนเป็นเวลา 20 ปี ฉะนั้นต้องหาคนที่ก่ง และคนที่พร้อมที่จะสร้างระบบให้เดินต่อไปได้

นายอภิศักดิ์ ยังปฏิเสธกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ไม่พอใจการทำงานของนายสมชัย จึงทำให้เกิดการโยกย้ายครั้งนี้ โดยนายอภิศักดิ์ยืนยันว่า ไม่เกี่ยว และว่า นายสมคิดก็ชมปลัดกระทรวงการคลังมาตลอด และนายสมชัยถือว่าเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะไปอยู่ สศช. ยืนยัน การย้ายนายสมชัย ไม่ใช่เพราะมีปัญหาในการทำงาน เพราะที่ผ่านมานายสมชัยช่วยงานกระทรวงการคลังค่อนข้างดี

ด้านนายสมชัย ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ คือ ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน ที่ประเทศสิงคโปร์ และหลังจากนั้น ได้ลาราชการเพื่อพาครอบครัวไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศ โดยมีกำหนดกลับถึงไทยในวันที่ 17 เม.ย.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ส่งข้อความทางไลน์ถึงนายสมชัยกรณีถูกโยกย้ายจากปลัดกระทรวงการคลัง ไปเป็นเลขาธิการ สศช. นายสมชัยตอบกลับมาว่า “ยื่นใบลาออกจากราชการแล้ว”

มีรายงานข่าวจากกระทรวงการคลังว่า สาเหตุการโยกย้ายนายสมชัยครั้งนี้ มีการประเมินกันว่า เพราะนายสมชัยทำงานไม่เข้าตานายสมคิด และทำงานไม่ตรงใจที่ฝ่ายนโยบายต้องการ ประกอบกับนายสมชัยเป็นคนปากไวและเคยพูดเองว่า เป็นคนปากไม่ดี และเคยถูกนายสมคิดตำหนิหลายครั้งถึงการให้สัมภาษณ์ในเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับงานของรัฐบาลที่ได้รับมอบหมาย เนื่องจากคำสัมภาษณ์ดังกล่าวถูกนำไปเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง เช่น กรณีเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยง รวมถึงกรณีเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการคนจน ที่จะโยกเงินจากรถเมล์ รถไฟฟรี มาเป็นเงินซื้อของร้านธงฟ้า และกรณีเห็บสยามโมเดล นอกจากนี้ นายสมชัยยังพูดเคยทำนองประชดประชัน เช่น ถ้าเป็นคนทำงานไม่ดี หรือทำงานไม่ได้ คงถูกย้ายไปนานแล้ว

3.เวทีสาธารณะแก้ปัญหาบ้านพักตุลาการ สรุปให้รื้อบางส่วน-ตั้ง กก.ตรวจสอบพื้นที่ก่อนเสนอนนายกฯ ด้าน คกก.ศาลฯ ให้ “บิ๊กตู่” ตัดสิน!
บรรยากาศการหารือเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องกรณีคัดค้านการก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพักข้าราชการตุลาการบริเวณเชิงดอยสุเทพเมื่อวันที่ 9 เม.ย.
ความคืบหน้าปัญหาการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมบ้านพักข้าราชการตุลาการ บนเนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณเชิงดอยสุเทพ ใกล้กับเขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย จ.เชียงใหม่ ที่มีประชาชนออกมาคัดค้าน พร้อมเรียกร้องให้ยุติการก่อสร้างและทุบทิ้งอาคารที่พักดังกล่าว ร้อนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งฝ่ายกฎหมายของ คสช. ไปพูดคุยหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับฝ่ายตุลาการ และส่งข้อเสนอแนะมายังรัฐบาล เพื่อพิจารณาตัดสินใจต่อไป โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งศาลและทางจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกองทัพภาคที่ 3 และมณฑลทหารบกที่ 33 ไปพูดคุยร่วมกันในวันที่ 9 เม.ย.

ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด ผู้เกี่ยวข้องได้ประชุมโต๊ะกลมเวทีสาธารณะ ที่ลานร่มโพธิ์ หน้ากองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33(มทบ.33) ค่ายกาวิละ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยก่อนประชุม พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้แจ้งให้ผู้ร่วมประชุมทราบว่า ได้ประสาน ผบ.มทบ.33 ส่งหนังสือเชิญผู้แทนศาลเข้าร่วมหารือและมีการตอบรับพร้อมส่งรายชื่อผู้เข้าร่วมแล้ว แต่ช่วงเช้าวันเดียวกัน ได้รับแจ้งขอยกเลิก ไม่มาประชุมและไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วม เนื่องจากทางศาลยุติธรรมจะมีการประชุมเพื่อกำหนดบทบาทและท่าทีต่อเรื่องนี้ในวันเดียวกัน

หลังการหารือเวทีสาธารณะ พล.ท.วิจักขฐ์ เผยข้อสรุปว่า 1.ภาคประชาสังคมต้องการให้รื้ออาคารศาลบางส่วน แต่จะรื้อขนาดไหน จะจัดผู้เกี่ยวข้องไปดูแลอย่างเป็นธรรม และนำเสนอจุดที่ขีดเส้นภายในวันที่ 19 เม.ย.นี้ หรือหลังสงกรานต์ ในลักษณะวินวิน ในรูปแบบสันติวิธีในฐานะคนไทยด้วยกัน 2.ในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้าง ให้ทำให้เสร็จหรือจะให้หยุด แต่รัฐต้องจ่ายเงินตามงวดงานให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้กระทบบริษัทที่ได้งานมาอย่างถูกต้องกฎหมายตามสิทธิ 3.บ้านพัก หากรื้อ รัฐจะต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการก่อสร้างทดแทน เพื่อเยียวยาหางบประมาณมาก่อสร้างใหม่ 4.กรณีที่ขีดเส้นแล้ว สำนักงานศาลต้องส่งคืนพื้นที่ที่เกี่ยวข้องที่กระทบต่อผืนป่าให้ราชพัสดุ และดำเนินโครงการปลูกป่าราษฎร์-รัฐร่วมใจต่อไป โดยจะนำ 4 ประเด็นดังกล่าวรายงาน ผบ.ทบ.เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาพร้อมข้อยุติของศาลที่จะออกมา

แม่ทัพภาคที่ 3 เผยด้วยว่า “ตอนนี้ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาสังคมและข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูพื้นที่ และขออนุญาตเจ้าของพื้นที่เข้าไปตามมารยาทของคนไทย เพื่อดูสภาพพื้นที่จริง และสรุปมาเป็นประเด็น เพื่อทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี โดยส่งผ่าน ผบ.มทบ.33 แล้วส่งให้แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อเป็นข้อยุติที่เป็นสันติวิธี ผมเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนกล้าตัดสินใจ เพราะกระทบต่อจิตใจประชาชน”

ส่วนผลการหารือของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมในวันเดียวกันนั้น นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เผยว่า สำนักงานศาลฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขอใช้พื้นที่และการดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งมีการขอใช้ที่ดิน มีการดำเนินการด้านงบประมาณ และจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยโครงการที่ 1 ก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้วเสร็จสมบูรณ์และได้เข้าใช้งานแล้ว โครงการที่ 2 ก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษา 38 หน่วย อาคารชุดพักอาศัยของข้าราชการตุลาการ 16 หน่วย บ้านพักผู้อำนวยการ 1 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยของข้าราชการศาลยุติธรรม 36 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้างตามสัญญา โดยสัญญาจะสิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.2561 ส่วนโครงการที่ 3 ก่อสร้างบ้านพัก 9 หน่วย และอาคารชุดพักอาศัยของข้าราชการตุลาการ 64 หน่วย ส่งมอบงานแล้วบางส่วน สัญญาจะสิ้นสุดวันที่ 9 มิ.ย.2561

นายสราวุธ กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าว หากมองภาพในมุมสูง จะเห็นได้ว่า การก่อสร้างอยู่ในแนวระดับเดียวกับ สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี อ่างเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุมชนช่างเคียน ชุมชนช้างเผือก และการดำเนินการโครงการดังกล่าว สำนักงานศาลยุติธรรมได้ตระหนักถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมเสมอมา และว่า ที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งพยายามให้ยุติและรื้อถอนโครงการนั้น สำนักงานศาลฯ เป็นคู่สัญญา ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้ เพราะหากสำนักงานศาลฯ ยุติโครงการ จะตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา และถูกคู่สัญญาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จะทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณในการชดเชยค่าเสียหาย ส่วนการรื้อถอน สำนักงานศาลฯ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เช่นกัน เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ และยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย รวมทั้งอาจจะต้องถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมายด้วย

อย่างไรก็ตาม นายสราวุธ เผยว่า ที่ประชุมสำนักงานศาลฯ มีมติว่า ให้สำนักงานศาลฯ รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ชอบธรรม และด้วยสันติวิธี โดยตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม และให้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีทราบถึงข้อเท็จจริงทั้งหมด หากรัฐบาลเห็นสมควรอย่างไร เช่น ให้ชะลอการใช้บ้านพักเฉพาะส่วนที่มีการคัดค้านไว้ชั่วคราวหรือดำเนินการอย่างอื่นในระหว่างฟื้นฟูสภาพแวดล้อม สำนักงานศาลฯ ก็ไม่ขัดข้อง

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดถึงปัญหาการก่อสร้างบ้านพักตุลาการที่มีกระแสคัดค้านจากชาวเชียงใหม่ว่า จากการหารือขั้นต้น ในส่วนของสำนักงานศาลยุติธรรมคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในส่วนของที่พักข้าราชการตุลาการ ต้องมาดู เพราะมีการอนุมัติงบประมาณของรัฐไปแล้ว จนใกล้จะเสร็จแล้ว ซึ่งมีสัญญาระหว่างรัฐกับผู้รับเหมา มีโอกาสที่จะฟ้องร้องกันตรงนี้ ต้องดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร มีหลายคนเสนอให้ทุบทิ้ง แล้วงบประมาณที่ใช้ไปตรงนี้จะทำอย่างไร งบประมาณรัฐไม่ใช่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ จะต้องมีคนรับผิดชอบ เรื่องนี้นานแล้ว ต้องไปดูว่าจะนำไปใช้ในด้านอื่นได้หรือไม่ หรือให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ เพราะศาลคงใช้ไม่ได้แล้ว เนื่องจากประชาชนออกมาประท้วง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอด้วยว่า อย่านำเรื่องนี้ไปพัวพันกับการรื้อรีสอร์ตของภาคเอกชน เพราะเป็นคนละเรื่อง เรื่องนั้นทำผิดกฎหมายชัดเจน ต้องดำเนินคดี ส่วนการก่อสร้างบ้านพักตุลาการ เป็นงบของราชการที่อนุมัติโดยรัฐบาลที่ผ่านมา เรื่องจะผิดจะถูกไปว่ากันอีกครั้ง ต้องมีกระบวนการสอบสวนกันต่อไป ใครเกี่ยวข้องบ้าง “ขอให้ใจเย็น อย่ามาเดินขบวนกันอีกเลย คุยกันให้รู้เรื่องว่าจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรดีกว่า ถ้าทุบทิ้ง ทำง่าย แต่ต้องมีคนรับผิดชอบงบประมาณตรงนี้”

ขณะที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการแก้ปัญหาการก่อสร้างบ้านพักตุลาการว่า ทางแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่จะตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบรายละเอียดว่า มีความจำเป็นต้องรื้อในส่วนใดบ้าง และรายงานให้รับทราบในวันที่ 29 เม.ย.นี้

4.ตำรวจส่งความเห็นแย้งคดี “เปรมชัย” ให้อัยการแล้ว ยืนยันควรฟ้องอีก 3 ข้อหา รออัยการสูงสุดชี้ขาด!
(บน) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.และพนักงานสอบสวน นำสำนวนความเห็นแย้งกรณีอัยการภาค 7 สั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต 5 ข้อหา ส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาด (ล่าง) นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน)
ความคืบหน้ากรณีอัยการภาค 7 มีคำสั่งฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) กับพวกรวม 4 คน ใน 6 ข้อหา และไม่ฟ้อง 5 ข้อหา ประกอบด้วย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับการใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร จากนั้นได้ส่งความเห็นกลับไปให้พนักงานสอบสวน เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นตามอัยการ หรือเห็นแย้ง หากเห็นแย้ง ต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดอีกครั้งนั้น

เมื่อวันที่ 9 เม.ย. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยหลังประชุมพนักงานสอบสวนคดีนาเยปรมชัยว่า ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า ข้อหาที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง พนักงานสอบสวนมีความเห็นตาม ส่วนข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 รายทุกข้อหา พนักงานสอบสวนมีความเห็นร่วมกันว่า มีความเห็นแย้งทุกข้อหาเช่นกัน

พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยกตัวอย่างด้วยว่า กรณีข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่า อัยการมีความเห็นฟ้องผู้ต้องหาบางคน แต่บางคนไม่ฟ้อง ซึ่งพนักงานสอบสวนยืนยันตั้งแต่ต้นว่า ทุกคนมีการแบ่งหน้าที่กันทำ ฉะนั้นข้อหาร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าฯ ก็ต้องมีการแบ่งหน้าที่กันทำเหมือนกัน จะฟ้องเฉพาะนายธานี ทุมมาศ คนเดียวไม่ได้ และว่า “ตำรวจได้รวบรวมคำพิพากษาศาลฎีกาต่างๆ เพื่อสนับสนุนความเห็นแย้งของพนักงานสอบสวน เช่นกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องเรื่องการเข้าไปและการนำอาวุธเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ซึ่งกฏกระทรวงฉบับที่ 7/2538 อาศัยอำนาจตามมาตรา 5 และมาตรา 37 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ กำหนดไว้ว่า ไม่ให้นำวัตถุระเบิด ประทัด ยาเบื่อ ยาเมา หรือสิ่งอื่นที่อันตรายต่อสัตว์ป่า ไม่นำเครื่องมือจับสัตว์หรืออาวุธใดใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีนี้ จากการสอบสวนไม่มีการยื่นหลักฐานการขออนุญาต พนักงานสอบสวนมองว่า ผิดกฏกระทรวงฉบับนี้”

ทั้งนี้ วันต่อมา(10 เม.ย.) พล.ต.อ. ศรีวราห์ พร้อมคณะพนักงานสอบสวน ได้นำสำนวนความเห็นแย้งคดีนายเปรมชัย ไปส่งให้นายขวัญชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาดตามขั้นตอน โดยพนักงานสอบสวนได้ยืนยันความเห็นควรฟ้องนายเปรมชัย 3 ข้อหาจาก 5 ข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ประกอบด้วย 1.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า 3.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยืนยันให้ฟ้องผู้ต้องหาร่วมอีก 3 คนด้วย

ส่วนอีก 2 ข้อหาที่พนักงานสอบสวนเห็นตามอัยการในการสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย คือ 1.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเดิมในสำนวนการสอบสวน พนักงานสอบสวนก็มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง 2 ข้อหาดังกล่าวเสนออัยการอยู่แล้ว

ด้านนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกอัยการสูงสุด เผยหลังเป็นผู้แทนรับสำนวนความเห็นแย้งดังกล่าวไว้เสนออัยการสูงสุดว่า พนักงานสอบสวนได้นำความเห็นแย้งมาให้พนักงานอัยการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย สำหรับข้อหาที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว 6 ข้อหาถือเป็นอันยุติ ส่วนข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง แล้วพนักงานสอบสวนมีความเห็นแย้งมานี้ จะต้องนำเสนออัยการสูงสุดชี้ขาด โดยคาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จทันฝากขังครั้งสุดท้ายในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนปกติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ผู้สื่อข่าวถามว่า การสั่งไม่ฟ้อง 5 ข้อหาของอัยการก่อนหน้านี้จะทำให้รูปคดีเสียไปหรือไม่ นายธรัมพ์ กล่าวว่า ในความเห็นตนคิดว่าไม่น่ากระทบอะไร เพราะที่สั่งฟ้องก็สามารถดำเนินคดีได้ แต่ทั้งนี้ต้องรอให้อัยการสูงสุดพิจารณาขั้นสุดท้ายอีกครั้ง

5.มติเอกฉันท์ไล่ออก “วิโรฒ” ผอ.รร.สามเสนฯ เซ่นรับแป๊ะเจ๊ยะแลกเข้าเรียน ม.1 - เจ้าตัวยังมีสิทธิอุทธรณ์!
นายวิโรฒ สำรวล ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด กรุงเทพมหานคร (กศจ.กทม.)เผยหลังประชุม กศจ.กทม. ว่า คณะอนุกรรมการ กศจ.ด้านบุคคลเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาโทษวินัยอย่างร้ายแรงนายวิโรฒ สำรวล ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กรณีปรากฏคลิปกล่าวหานายวิโรฒรับเงิน 4 แสนบาท แลกกับการรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงได้สรุปผลเบื้องต้นว่า ผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 6 ต่อ 0 ลงโทษไล่ออกจากราชการนายวิโรฒ ฐานกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นายการุณ เผยด้วยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีหนังสือแจ้งผลการตัดสินใจไปยังหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อแจ้งให้นายวิโรฒทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม นายวิโรฒมีสิทธิยื่นอุทธรณ์มติดังกล่าวได้ภายใน 30 วัน หากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม


กำลังโหลดความคิดเห็น