ภาพนี้เป็นภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสขณะที่ เชอวาเลีย เดอ โชมอง ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ยื่นถวายพระราชสาสน์ต่อสมเด็จพระนารายณ์ที่พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท เมืองลพบุรี ใครที่เห็นก็คงนึกแปลกใจที่สมเด็จพระนารายณ์ต้องทรงลุกขึ้นยืน แล้วก้มพระองค์ออกมาเกือบครึ่งพระองค์จากสีหบัญชร ยื่นพระหัตถ์ลงมารับพระราชสาสน์ ขณะที่ทูตฝรั่งเศสก็จับคันทองทูนพานจนชิดพาน ไม่ขับตรงโคน ทั้งยังไม่ยอมเหยียดแขนออก แม้เจ้าพระยาวิชเยนทร์ที่หมอบเฝ้าอยู่จะโบกมือและร้องบอก ราชทูตโชมองก็ทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน ซึ่งบาทหลวงที่เข้าเฝ้าด้วยได้บันทึกเบื้องหลังเรื่องนี้ไว้ แต่บอกว่าเป็นเรื่องน่าขัน
เชอวาเลีย เดอ โชมอง เข้ามาเมื่อพ.ศ.๒๒๒๘ ซึ่งบันทึกของบาทหลวงเดอชัวซีที่เข้ามากับคณะราชทูต กล่าวว่าได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดินเลยทีเดียว พอเรือราชทูตเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา เรืออังกฤษ ฮอลันดา โปรตุเกส ก็ยิงสลุตรับ และพากันจอดหลบเมื่อเรือราชทูตผ่าน ส่วนชาวบ้านก็มาคอยอยู่ริมตลิ่งสองฝั่งแม่น้ำ พอเห็นกระบวนเรือราชทูตมา ต่างก็ก้มลงหมอบท้องติดดินประนมมือ หน้าผากซบอยู่กับฝุ่น
บ้านที่เชอวาเลีย เดอ โชมองพักนั้นก็ทาสีแดงเพื่อเป็นเกียรติยศพิเศษ เพราะสีแดงนั้นนอกจากพระราชวังและพระราชสำนักต่างๆแล้ว บ้านใครจะทาสีแดงไม่ได้เป็นอันขาด สมเด็จพระนารายณ์ได้รับสั่งให้เจ้าพระยาวิชเยนทร์บอกบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ทุกคนให้ไปคอยต้อนรับราชทูต ทำให้ขุนนางบางคนบ่นว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ราชทูตจีน ราชทูตมงโกล ราชทูตเปอร์เซีย ก็มิได้รับเกียรติยศอย่างนี้เลย
คอนสแตนติน ฟอลคอนได้ชี้แจงว่า ว่าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสมีพระเดชานุภาพมาก และกำลังทหารก็มีมาก เพราะฉะนั้นต้องถือว่าพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสเป็นพระเจ้าแผ่นดินเหนือเจ้าแผ่นดินอื่นๆ ทำเอาข้าราชการเหล่านั้นต่างอึ้งกันไป
ในวันที่ ๑๘ ตุลาคมที่ราชทูตจะเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์นั้น มีกระบวนแห่พระราชสาสน์ทางเรือขึ้นไปพระราชวังลพบุรีโดยเรือบัลลังก์ที่ขุดจากต้นไม้ต้นเดียว สลักลวดลายปิดทองทั้งลำ พอถึงลพบุรีก็มีการยิงสลุตคำนับ อัญเชิญพระราชสาสน์ขึ้นรถม้าปิดทอง ส่วนราชทูตขึ้นนั่งเกี้ยวมีคนหาม ๑๐ คน บาทหลวงเดอชัวซีก็ขึ้นเกี้ยวที่สวยงามเช่นกัน แต่มีคนหามแค่ ๘ คนนอกนั้นก็ขี่ม้าตามกันไป โดยมีวงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงตลอด
ครั้นมาถึงพระราชวัง มีทหารถือปืนบ้าง ถือธนูบ้าง ถือหอกบ้าง ใส่หมวกเป็นโลหะคล้ายทอง สวมเสื้อสีแดง และนุ่งผ้าสีผืนยาวต่างกางเกง ยืนเรียงรายอยู่สองข้างทาง เมื่อกระบวนผ่านไปแล้ว ทหารเหล่านี้ก็เข้าไปยืนเรียงในท้องพระโรงซึ่งจะเสด็จออกรับแขกเมืองนั้น
ในการเสด็จออกรับราชทูตครั้งนี้นี้ บาทหลวงเดอชัวซีได้บันทึกไว้ว่า เกิดเรื่องอันน่าขันขึ้นเรื่องหนึ่ง คือ
ในท้องพระโรงนั้นมีพระวิสูตรกั้นอยู่ ครั้นเจ้าพนักงานรูดพระวิสูตรแล้วจึงได้เห็นองค์สมเด็จพระนารายณ์ประทับอยู่บนบัลลังก์สูงมาก เชอวาเลีย เดอ โชมองเห็นดังนั้นก็ตกใจ เพราะได้ตกลงกับฟอลคอนไว้แล้วว่า พระเจ้ากรุงสยามจะประทับในที่สูงเพียงชั่วคนเท่านั้น เพื่อจะได้ทรงเอาพระหัตถ์รับพระราชสาสน์ตรงจากมือราชทูตได้ เชอวาเลียจึงกระซิบกับบาทหลวงเดอชัวซีว่า
“ข้อที่ได้สัญญาไว้เขาทำลืมเสียแล้ว แต่ทำอย่างไรก็จะไม่ถวายพระราชสาสน์ให้สูงเกินตัวข้าพเจ้า”
พานทองซึ่งวางพระราชสาสน์นั้นมีคันทูนอยู่ราว ๓ ฟุต เพื่อจะให้ราชทูตจะจับท้ายคันเพื่อชูขึ้นถวาย แต่เชอวาเลียไม่ยอมที่จะทำตลกเช่นนั้น จึงได้ถวายคำนับแล้วเอาหมวกสวมศีรษะ นั่งลงอ่านคำกราบทูล ครั้นเสร็จแล้วจึงได้เดินตรงเข้าไปยังที่ประทับ เชิญพานทองที่วางพระราชสาสน์ยกขึ้นถวายต่อสมเด็จพระนารายณ์ แต่ได้ยกแขนขึ้นครึ่งเดียวเท่านั้น
คอนสแตนติน ฟอลคอนซึ่งกำกับราชทูตอยู่ด้วย ได้คลานศอกแบบตะวันออกเข้าไปใกล้ราชทูต ทำท่าด้วยมือและพูดด้วยปากว่า
“ชูให้สูงขึ้น ชูให้สูงขึ้น”
แต่เชอวาเลียทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยิน สมเด็จพระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวล แล้วทรงยืนขึ้น ก้มพระองค์ลงมาครึ่งองค์ เพื่อทรงหยิบพระราชสาสน์จากพานทอง ราชทูตจึงได้ถวายคำนับแบบฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกราบทูลเรื่องต่างๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเชอวาเลีย เดอ โชมอง มีเจตนาอะไรที่ไปตกลงกับฟอลตอนว่าจะถวายพระราชสาสน์กับพระราชหัตถ์โดยตรง ไม่ยอมรับธรรมเนียมแบบไทย ซึ่งได้สร้างสีหบัญชรให้สูงราว ๒ เมตรไว้แล้ว แม้จนถึงหน้าพระพักตร์ก็ยังไม่ยอมอีก การเล่นแง่ถือดีตั้งแต่ก้าวแรกนี้ ภาระหน้าที่ทางการทูตของเชอวาเลีย เดอ โชมองจึงไม่ประสบความสำเร็จ เดินทางฝ่าคลื่นลมไปกลับ ๑๒,๐๐๐ ไมล์ จึงได้แต่คว้าน้ำเหลวกลับไป
แต่อีก ๓ ปีต่อมา เมื่อ ซิมอน เดอ ลาลูแบร์ เข้ามาถวายพระราชสาสน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ในปี พ.ศ.๒๒๓๑ เจ้าพนักงานราชพิธีจึงได้ยกเลิกคันทองทูนพระราชสาสน์ เปลี่ยนเป็นทำอัฒจันทร์ที่หน้าสีหบัญชร สำหรับราชทูตก้าวขึ้นไปถวายพระราชสาสน์