“มัดไหม - วาสนา ปัญญาคำ” สาวงามที่นอกจากจะเคยคว้าอันดับหนึ่งบนเวทีประกวด “Miss Perfect Angel” ในปี 2015 ด้วยอายุเพียง 20 ปี เธอยังเป็นคุณครูสอนนาฏศิลป์ของเด็กๆ โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จ.เชียงใหม่ ด้วย
ก่อนหน้านี้ สาวสวยดีกรีนางงามผู้นี้เคยสร้างความฮือฮาบนโลกออนไลน์มาแล้ว หลังจากเข้าร่วมรายงานตัวเพื่อคัดเลือกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2016 และกลับมาโด่งดังอีกครั้งหลังจากการตอบคำถามหวย 30 ล้าน บนเวทีประกวดเทพธิดานาคี วัดบ้านโขงใหญ่ จ.มหาสารคาม นอกจากคำตอบที่โดนใจคนทั้งประเทศแล้ว ยังโดนใจกรรมการจนคว้ารางวัลชนะเลิศไปครองอีกด้วย
ได้คำถามหวยอลเวง!
ตอนแรกจะไปทำบุญที่วัดบ้านโขงใหญ่อยู่แล้วค่ะ แต่บังเอิญเขามีการประกวดนางงามพอดี เราก็เลยลองขึ้นประกวดดู ซึ่งรองเท้าก็ไม่ได้เตรียมไป ต้องยืมคนอื่น ชุดราตรีก็เอาของพี่เลี้ยง แต่งหน้าทำผมหลังเวที แต่สุดท้ายก็เข้ารอบตอบคำถามค่ะ ตอนนั้นทุกคนจับสลากได้คำถามประมาณว่า ถ้าคุณมี 1 โครงการ คุณจะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง หรือว่าหากคนอื่นไม่ยอมรับในตัวคุณ คุณจะทำอย่างไร ทุกคนได้คำถามเป็นทัศนคติทั่วไปเลยค่ะ
ส่วนหนูตอบเกือบคนสุดท้าย และคำถามที่จับได้ เกี่ยวกับหวย 30 ล้าน ซึ่งหนูก็ติดตามข่าวนี้มาอยู่พอสมควร ตอนนั้นก็คิดเลยว่า ทำไมเราได้คำถามแบบนี้ (หัวเราะ) คือคำถามไม่ส่งเลย ถ้าตอบดี ก็ดี ถ้าตอบไม่ดี คนก็จะคิดลบกับเราเลย ซึ่งทุกครั้งที่ตอบคำถาม หนูจะตอบจากความรู้สึก ดังนั้น คำตอบที่ได้ก็เลยออกมาจากความรู้สึกของเราจริงๆ เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องตอบดีที่สุด ฉันจะต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่ค่ะ คิดแค่ว่าทำเท่าที่คิดได้แค่นั้น ก็กลายเป็นตามคลิปเลยค่ะ
ตอบดีจนมงลง!
ตอนนั้นหนูตอบประมาณว่า ในสังคมทุกคนเกิดมามีความอยากได้กันอยู่แล้ว เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อได้รับ รวมทั้งเงินทุกคนก็อยากได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชีวิตมนุษย์ไม่มีใครที่อยากให้เกิดความสูญเสียกับตัวเอง แม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่ในงานนี้ หรือคนที่นอนอยู่ในบ้าน ทุกคนก็คงรู้จักกับคำว่าสูญเสียกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับ เงินแค่ 30 ล้าน มันก็เป็นแค่ของนอกกาย หายไปแล้วก็สามารถหากลับมาใหม่ได้ อาจจะหากลับมาได้ไม่เท่าเดิม แต่อย่างน้อยเรามี 1 สมอง 2 มือ ถ้าเราขยันทำมาหากิน เราก็สามารถอยู่ในสังคมได้
ตอบเสร็จทุกคนก็ปรบมือเฮเลย พอลงเวทีมาก็ถามเพื่อนว่า เราตอบดีไหม เพื่อนก็บอกว่า ตอบดีมากเลย ในใจลึกๆ ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่า อาจจะได้ที่ 1 เพราะคนเชียร์เราก็เยอะ ตอบคำถามก็พีคกว่าคนอื่น แต่คืนนั้นก็คุยกับพี่เลี้ยงไว้แล้วนะคะว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะตั้งใจจะมาทำบุญมากกว่า แต่พอได้รับรางวัลชนะเลิศ หนูก็ได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งทำบุญกับวัดไปเลยค่ะ
สิ่งที่ทำดีมาตลอด
อย่างน้อยก็ส่งผลให้คนเห็น
ตอนแรกยังไม่รู้นะคะว่ามีคนอัดคลิปแล้วลงในโซเชียล จนเกิดเป็นกระแสขนาดนี้ แต่แม่โทร.มาบอกว่า คนดูกับคนแชร์คลิปหนูเยอะมาก ตอนนั้นหนูก็งงๆ แล้วทีนี้เพื่อนก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า ออกข่าวทีวีด้วย หนูก็เลยไปเปิดดูย้อนหลัง ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ยังสงสัยจนทุกวันนี้เลยว่า ทำไมเขาให้ความสนใจเราขนาดนี้ หรือเป็นความบังเอิญมากกว่า (หัวเราะ) แต่ก็รู้สึกดีใจค่ะ ในโซเชียลคนคอมเมนต์ชมเยอะเลย
บางคนก็มาแซวว่า ต้องให้น้องคนนี้ไปคุยกับครูปรีชานะ หนูอ่านแล้วก็ยังขำๆ อยู่เลย บางคนก็บอกว่า ตอบยาวเกินไป เราก็ไม่ได้คิดนะคะว่า ทำไมเขาต้องมาว่าเราด้วย ไม่เคยคิดเลย เรารู้สึกแค่ว่า จะต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ มากกว่า เก็บคำติชมนั้นมาปรับปรุงตัวเองต่อไปค่ะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่เราทำดีมาตลอด ก็ส่งผลให้คนเห็น แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ
อย่างตอนกลับไปสอน เด็กนักเรียนก็แซวตั้งแต่ประตูเข้าโรงเรียนเลยค่ะ ครูครับๆ ถ้าผมถูกหวย 30 ล้านแล้วทำหายล่ะครับ เด็ก ป.1 - ป.2 ก็วิ่งมาหา ครูคะ เมื่อวานหนูดูข่าว หนูเห็นใครก็ไม่รู้เหมือนครูเลยยืนตอบคำถามในทีวี เรารู้สึกขำๆ และก็รู้สึกดีด้วยนะคะ อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งกำลังใจให้กับเรา อย่างเวลาไปประกวดเด็กๆ ก็จะตามเชียร์ตลอด
ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง
ก็แค่คิดบวกเข้าไว้
บางคนบอกว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเราจริงๆ ก็คงไม่พูดแบบนี้หรอก หนูว่าก็จริงนะคะ เราอาจจะเครียดก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้หนูก้าวต่อไปก็คือ การคิดบวก คิดซะว่ามันอาจจะไม่ใช่ของเรา อาจเป็นสิ่งที่บังเอิญได้มาและก็หายไป หรืออาจจะเป็นบาปกรรมที่เราเคยทำมาและส่งผลให้เราเจออะไรแบบนี้ สุดท้ายแล้วหนูว่า ชีวิตต่างหากที่ต้องก้าวต่อไปและต้องอยู่ให้ได้
พรข้อแรกสมหวัง
กลายเป็นนางงามสะพานบุญ
เป็นสิ่งที่ภูมิใจหนูมากกว่าการที่คนชื่นชม ก็คือมีถนนเข้าวัด หนูขอให้ถนนลูกรังนี้กลายเป็นถนนคอนกรีต นี่คือพรข้อแรกจาก 3 ข้อที่หนูขอในรอบ 3 คนสุดท้าย เพราะตอนที่นั่งรถมาการเดินทางลำบากมาก หลงทางอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่วัด หนูก็เลยคิดว่าถ้าพรข้อนี้เกิดขึ้นได้ก็น่าจะดี ไม่ใช่แค่ทางความคิด แต่อยากให้ออกมามองเห็นและสัมผัสได้ สุดท้ายก็เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ เราเลยรู้สึกว่าเหมือนได้เป็นสะพานบุญให้กับวัดด้วย ทำให้วัดมีชื่อเสียงขึ้น คนสนใจและก็มียอดบริจาคเพิ่มขึ้น
เป็นนางงามเดินสายตั้งแต่ ม.5
เป็นคนที่ชอบร้องเพลงลูกทุ่งค่ะ ตอนแรกพ่อก็ผลักดันให้ไปประกวดร้องเพลง สนับสนุนให้เป็นนักร้องก่อน แต่พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่า อยากจะเป็นครูนาฏศิลป์ เพราะเราชอบด้านนี้ ตั้งแต่เด็กๆ ก็ชอบฟ้อนรำ ชอบร้องเพลง เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน ก็เลยคิดว่าน่าจะสามารถเรียนได้ และถ่ายทอดให้คนอื่นได้
เริ่มเดินสายประกวดครั้งแรกตอนอยู่ ม.5 ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิง ไปโรงเรียนก็แต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ ผมสั้นรองทรงเรียบร้อย และเป็นประธานโรงเรียนด้วย พ่อก็ไม่รู้เลยคิดว่าเป็นแค่การแสดง ลูกแค่ชอบแสดงก็เลยแต่งตัวเป็นผู้หญิงแค่นั้น ทีนี้หนูไปเรียนพิเศษเกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลป์ ก็ไปเจอพี่คนหนึ่งที่เขามีความรู้ด้านนางงาม เขาก็ชวนให้ไปประกวด เราเลยลองดู คิดว่ามันอาจจะใช่ทางของเราก็ได้ ปรากฏว่าตอนนั้นได้ที่ 3 กลับมา
พอไปประกวด พ่อเห็นว่าได้รางวัล ได้สายสะพายกลับมา ก็เรียกมาถามเลยว่า อยากเป็นนางงามหรือ ลูกอยากเป็นผู้ชายหรืออยากเป็นผู้หญิง เขาก็บอกว่า ถ้าอยากเป็นผู้ชายให้เป็นผู้ชายเลยนะ แต่ถ้าอยากเป็นผู้หญิง พ่อก็จะสนับสนุนเต็มที่เลย คือต้องบอกก่อนว่าเราถูกเลี้ยงมาเป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่งเลย เกิดมาในครอบครัวที่มีพี่สาว 2 คน เราก็เลยไม่ได้เล่นกับเพื่อนผู้ชาย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราแมนกว่านี้แล้ว (หัวเราะ) หลังจากนั้นหนูเลยเริ่มดูแลตัวเอง เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทานยาฮอร์โมนต่างๆ และก็ไว้ผมยาวตั้งแต่ ม.6 ซึ่งพ่อกับ ผอ.ที่โรงเรียนรู้จักกัน บวกกับเราเป็นเด็กกิจกรรมด้วย ก็เลยขอไว้ผมยาวตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
ครอบครัวเข้าใจในสิ่งที่เป็น
และภูมิใจในสิ่งที่ทำ
จากนั้นก็เริ่มเข้าวงการนางงาม ประกวดเยอะๆ เริ่มมีคนรู้จักเรามากขึ้น เริ่มได้ตำแหน่งมากขึ้น พ่อจะบอกเสมอว่า เขาภูมิใจในตัวเรา เวลาออกข่าวพ่อก็ดีใจมาก เหมือนเราเป็นความหวัง เป็นความภูมิใจของบ้าน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาเดือดร้อนเลย ทุกคนจะดีใจเวลาหนูไปประกวด บางครั้งถ้าใกล้บ้าน พ่อแม่ก็ไปให้กำลังใจตลอด ถ้าไม่ได้ไปด้วยก็จะดูในเฟซบุ๊ก ในไลฟ์ เขาก็จะให้เราแชร์เข้าในกลุ่มครอบครัว ที่มีทั้งลุง ป้า น้า อา พี่สาว และก็หลาน ทุกคนก็จะไปดูคอยให้กำลังใจตลอด
หนูคิดว่า หนูโชคดีมากๆ ที่ทุกคนเข้าใจและให้โอกาส พ่อก็ให้อิสระทางความคิดทุกอย่าง ก็เลยทำให้เราเต็มที่ทุกครั้งที่ไปประกวด หรือแม้กระทั่งความเป็นครู พ่อก็สนับสนุนเต็มที่ เขาจะสอนเสมอว่า ถึงเราจะเป็นแบบนี้ แต่เราก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้ แบบอย่างในที่นี้ไม่ใช่ว่าเชิญชวนให้เด็กมาเป็นเหมือนเรา แต่สอนให้เด็กเป็นคนที่มีทัศนคติแบบเดียวกับเรา ให้เขามีแนวทางในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องหลงผิดไปทางอื่น
ถูกปลูกฝังให้รักการทำบุญ
หนูเป็นคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญอยู่แล้วค่ะ ที่บ้านพ่อกับแม่จะพาเข้าวัดปฏิบัติธรรมตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็เลยซึมซับมาเรื่อยๆ หนูว่าการเข้าวัดช่วยทำให้จิตใจเราสงบมากขึ้น ทำให้รู้จักว่า การให้ที่แท้จริงคืออะไร บางครั้งเรานั่งอยู่เฉยๆ เราก็ให้ได้นะคะ ให้ในที่นี้ก็คือ ทำจิตใจเราให้สงบ และสามารถบอกคนอื่นได้ว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งดี สิ่งไหนเป็นสิ่งไม่ดี แค่นี้หนูก็คิดว่าคือการให้กับสังคมแล้วนะ
จากความชอบสู่เวทีประกวด
หารายได้แบ่งเบาภาระครอบครัว
ตอนนี้ก็เดินสายประกวดได้เกือบ 7 ปีแล้วค่ะ ชนะบ้าง ตกรอบบ้าง ก็ปะปนกันไป ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เราหาเงินได้โดยสุจริต หนูว่าพรสวรรค์ของคนเรามีไม่เหมือนกัน บางคนชอบร้องเพลง ก็ไปรับจ้างร้องเพลง บางคนชอบงานบริการก็ไปเสิร์ฟอาหาร จะให้เราไปทำงานเสิร์ฟเราทำได้นะ แต่ว่ามันไม่ใช่ทางของเรา จะให้แต่งหน้าทำผมไปเสิร์ฟ ถามว่าเข้ากับเราไหม คนอื่นก็คงมองว่าไม่ เราเลยคิดว่านี่ก็เป็นงานหนึ่งของเราเหมือนกัน
ทุกครั้งที่ไปประกวดก็จะคิดว่า ถ้าทำดี เราก็จะได้ค่าตอบแทนเท่านี้ ถ้าทำไม่ดีก็ลดลงมา คิดว่าไปทำงานมากกว่า เรามีงานทำระหว่างเรียน เราหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องไปรบกวนทางบ้าน แบ่งเบาภาระครอบครัวได้ บวกกับเป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็เลยมีความสุข อีกอย่างคือทุกๆ ครั้งที่ทำให้คนดูมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย เวลาไปประกวดแถวชนบท คนแก่เขาจะไม่ค่อยเห็นคนสวยๆ เท่าไหร่ ชาวบ้านก็จะมาดูกัน แล้วทีนี้มีรอบความสามารถพิเศษ เราก็แสดงฟ้อนรำ คนอื่นก็จะแสดงตลกบ้าง เราเลยรู้สึกว่ามันก็เป็นการสร้างความสุขให้กับคนอื่นด้วยค่ะ
เวทีนี้ไม่ใช่ของเรา
บางครั้งที่ตกรอบ เราก็คิดนะว่า เพราะอะไรทำไมเราถึงตกรอบ ทำได้ไม่ดีเหรอ แต่ถ้าเรามัวจะไปตอบคำถามหรือกลับไปแก้ตรงนั้น เราเดินไปไหนไม่ได้เลย ยิ่งคิดก็จะยิ่งกดดันค่ะ เหมือนลดคุณค่าของตัวเอง เราก็เลยเลือกที่จะปล่อยไปเพราะมันก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต คิดแค่ว่าเวทีนี้ไม่ใช่ของเราแค่นั้นจบ คิดว่าเราไปทำงาน เราก็จะสบายใจมากขึ้นค่ะ
ก้าวแรกบนเวทีใหญ่
Miss Perfect Angel 2015
ตอนนั้นอยู่ปี 3 แล้วมีเพื่อนมาชวน ด้วยความที่ Miss Perfect Angel หัวใจหลักก็คือการทำบุญ และเกี่ยวกับวัฒนธรรม เราก็เลยลองไปสมัครดูค่ะ เพราะว่าเราเป็นคนชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือสังคมอยู่ด้วย มาที่กรุงเทพฯ ก็มีพี่ที่รู้จักช่วยแต่งหน้าทำผมให้ และปรากฏว่าได้รางวัลชนะเลิศในปี 2015 กลายเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเผยแพร่วัฒนธรรมที่ซานฟรานซิสโก อเมริกาค่ะ และยังเป็นตัวแทนรับองค์กฐินพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ วัดพุทธปทีปด้วยค่ะ ซึ่งเป็นวัดแรกที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ที่ต่างประเทศ ตอนนั้นก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
“นางฟ้ามาโปรด”
ช่วยเหลือเด็กยากไร้
เราคิดว่าการที่จะช่วยเหลือเด็ก เราทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน หลังจากได้ตำแหน่งก็เลยจัดตั้งโครงการ “นางฟ้ามาโปรด” ขึ้นร่วมกับกองประกวด ซึ่งเป็นโครงการแจกทุนการศึกษาให้กับเด็กยากไร้ ทุนละ 800 บาท จะแบ่งเป็นเงินสด 500 บาท ส่วนอีก 300 บาทแบ่งเป็นอุปกรณ์การเรียน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มค่ะ แล้วที่เรารู้สึกดีกว่านั้นก็คือ ทุกวันนี้ก็ยังมีโครงการนี้อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะอำลาตำแหน่งไปแล้ว แต่สิ่งที่เราได้ทำไว้ก็ยังคงอยู่และยังดำเนินต่อไป เรารู้สึกเหมือนการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งเลยค่ะ ซึ่งเราก็คอยมองดูมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา ก็รู้สึกดีใจมาก อย่างเดือนมีนาคมนี้ก็ไปทำโครงการที่จังหวัดร้อยเอ็ดด้วยค่ะ
เริ่มต้นบนเส้นทางครูจิตอาสา
เริ่มตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วค่ะ คือมีเด็กแถวบ้านที่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียน ไม่มีตังค์ไปเรียนพิเศษ หรือว่าพ่อแม่ทำไร่ ทำนาแล้วปล่อยลูกอยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เรียนวิทย์-คณิตมาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง เราเห็นก็เลยสงสาร อยากสอน ก็ให้หลานไปชวนเพื่อนมาเล่นคุณครูกัน เชิงเล่นไปด้วย แต่ว่าก็สอนจริงๆ นะคะ ทำมาเกือบ 3 ปี ก็มาเรียนต่อปริญญาตรีที่เชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็ฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชยค่ะ เป็นโรงเรียนเด็กหลายเชื้อชาติ สอนตั้งแต่ ป.1- ม.3 เลยค่ะ
ส่วนช่วงปิดเทอม หนูก็จะกลับบ้านที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งก็ชนบทพอสมควร แต่ถ้าขึ้นไปบนดอยอีก จะมีพวกเด็กยากไร้อยู่เยอะมาก หนูก็ทำโครงการเกี่ยวกับครูจิตอาสา ขึ้นไปสอนให้กับเด็กที่สนใจอยากจะเรียน อย่างนาฏศิลป์เราก็จะสอนพื้นฐาน เกี่ยวกับรำวงมาตรฐานบ้าง ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนการเรียนของเด็กทุกชั้นปีอยู่แล้ว ส่วนวิชาภาษาไทย ก็สอนเกี่ยวกับหลักในภาษาไทยเบื้องต้น การผันวรรณยุกต์ต่างๆ และก็มีรวบรวมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ใช้ แล้วก็รับบริจาคทางเฟซบุ๊กบ้าง จากนั้นก็เอาขึ้นดอยไปให้เด็กๆ ในโรงเรียนที่ห่างไกลและขาดโอกาสด้วย ก็จะทำแบบนี้ทุกปีค่ะ
แม่พิมพ์ในดวงใจ
ผู้จุดประกายความฝันและงานจิตอาสา
คุณครูพรทิพย์ มงคลเนตรค่ะ เป็นคุณครูนาฏศิลป์ เป็นคนกรุงเทพฯ แต่สอบบรรจุไปอยู่โรงเรียนเรา ต้องไปใช้ชีวิตในถิ่นที่ลำบาก แล้วนึกถึงการแต่งตัวคนกรุงเทพฯ ก็คือต้องใส่ส้นสูง ใส่ชุดกระโปรงสวยงาม ครูก็แต่งตัวแบบนั้นเลยค่ะ 11 ปีที่อยู่บนดอย (หัวเราะ) ซึ่งเราก็ชอบมาก เราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเรียนกับครู พอได้เรียนแล้วครูก็สอนทุกอย่างเลยค่ะ สอนการใช้ชีวิตต่างๆ เอาหนูมาอยู่ด้วยเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งเลย จากที่ตอนแรกชอบร้องเพลง ชอบเล่นกีฬา ก็ไม่ไปแล้ว มาซ้อมรำทุกวัน
คุณครูเป็นคนที่จุดประกายความฝันทำให้หนูอยากเป็นครูสอนนาฏศิลป์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนูอยากเป็นคุณครูจิตอาสา หนูคิดว่าขนาดครูเขาโตมาในกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายก็ยังไปอยู่บนดอยแถวบ้านเราได้ หนูก็เลยคิดว่า คงไม่ยากหรอกถ้าเราจะขึ้นไปสอนเด็กบนนั้นบ้าง เราก็ต้องทำได้เหมือนกันนั่นแหละ
ครูให้ได้...ในสิ่งที่ครูมี
หนูคิดว่าการเป็นครู ทุกคนเป็นได้ สอนแล้วได้เงิน ใครๆ ก็อยากสอน ใครๆ ก็อยากได้ แต่การเป็นครูโดยจิตวิญญาณหนูว่ายาก จิตวิญญาณในที่นี้หนูหมายถึงการเป็นครูโดยที่ไม่ได้เงิน ไม่ได้อะไรเลย แต่ได้ให้ความรู้ เอาเวลาของตัวเองทั้งวันมาเสียให้กับเด็กที่เป็นใครก็ไม่รู้ เงินก็ไม่ได้ หนูว่ามันหายากนะคะ หนูก็เลยอยากจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นคนที่มีมากพอที่จะเอาเงินไปให้เขา ถามว่าเรามีไหมทุกวันนี้เราก็ต้องหาเลี้ยงตัวเองอยู่ พ่อแม่เราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่สิ่งที่เรามีก็คือกำลังกาย กำลังใจ และความรู้ที่สามารถถ่ายทอดให้เขาได้
คนละเส้นทาง
แต่ปรับใช้ด้วยกันได้
แน่นอนก็คือการพูดคุยต่อหน้าคนเยอะๆ ในความคิดของหนู เวลาเราพูดต่อหน้าเด็ก กดดันกว่าพูดต่อหน้ากรรมการอีกนะคะ เด็กจะชอบมีคำถามตลอดว่า ทำไม เพราะอะไร เราก็เลยต้องคิดให้ไว กลั่นกรองดีๆ ว่า สิ่งที่เรากำลังจะพูดเด็กรอฟังอยู่นะ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฝึกความกล้าแสดงออกไปด้วย อยู่โรงเรียนพูดหน้าเสาธง ก็เหมือนกับเราอยู่หน้าเวทีประกวดเลยค่ะ เราก็ฝึกจากตรงนี้ทำให้ลดความตื่นเต้นได้บ้าง แล้วก็เรื่องบุคลิกภาพด้วย สำหรับครูไม่ใช่ว่าไม่สำคัญนะคะ ถ้าหากเราวางตัวดี บุคลิกภาพดี เด็กก็จะมีความเชื่อถือ ความเชื่อใจเรามากขึ้น ส่วนเวลาเราอยู่บนเวทีถ้าเราบุคลิกภาพดีก็ทำให้เราเข้ารอบได้มากขึ้นค่ะ
เปลี่ยนความเหนื่อยมาเป็นแรงผลักดัน
ถ้าขึ้นชื่อว่าทำงานเหนื่อยหมดทุกอย่างเลยค่ะ อย่างสอนเด็กถ้าเหนื่อย ก็ให้คิดถึงสิ่งที่เด็กได้รับก็คือความรู้ที่สอนไป เราก็หายเหนื่อยเลยนะคะ อย่างประกวดนางงามก็เหมือนกัน เหนื่อย นอนก็ดึก แต่เราคิดถึงพ่อแม่ที่ต้องตากแดดทำสวน ทำไร่ คือเหนื่อยกว่าเรามาก อันนี้เราแค่แต่งตัวสวยๆ เดินบนส้นสูงแค่นั้นเอง หนูเลยเปลี่ยนความเหนื่อยตรงนั้นมาเป็นกำลังใจและแรงผลักดันมากกว่าค่ะ
อนาคตจะเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับโอกาสที่เข้ามา
หนูชอบการทำงานในวงการบันเทิงมากกว่า เพราะตั้งแต่เด็กๆ ชอบที่จะแต่งตัวสวยๆ อยู่บ้านก็เอาผ้าเช็ดตัวมาทำเป็นผมยาว เอาผ้าห่มมาทำเป็นชุดราตรี เราเลยคิดว่าเราชอบตรงนั้นมากกว่า แต่สิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดคือความเป็นครู ก็มีวางแผนไว้เหมือนกันว่าอยากเป็นครูแลกเปลี่ยน ไปถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ แต่สุดท้ายก็แล้วแต่โอกาสที่จะเข้ามามากกว่าค่ะ ถ้าเกิดว่ามีโอกาสที่จะได้ทำงานในวงการบันเทิง หรือประกวดบนเวทีใหญ่ระดับประเทศ เราก็จะรับโอกาสนั้นไว้ก่อนในช่วงที่ยังอายุน้อย แต่ถ้าหากว่าโอกาสนั้นยังมาไม่ถึง เราก็จะเป็นครูของเราต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
มีเป้าหมายและเชื่อมั่นในตัวเอง
สุดท้ายนี้ฝากถึงน้องๆ ทุกคนนะคะ การที่เราจะทำอะไรในชีวิตก็ตามถ้าหากเรามีเป้าหมาย และความชัดเจนในชีวิต ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เลือก สิ่งนั้นจะเป็นไปในทางที่ดีเสมอค่ะ จงซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง รัก และให้คุณค่าแก่ตัวเองก่อน อย่างเช่น ถ้าเราคิดจะทำอะไร ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ยากก็ตาม แต่ถ้าเรามองว่าตัวฉันเก่ง ฉันทำได้ ฉันต้องทำให้ได้ หนูเชื่อว่าทุกๆ คนจะทำได้แน่นอนค่ะ
Profile
ชื่อจริง : น.ส.วาสนา ปัญญาคำ
ชื่อเล่น : มัดไหม
อายุ : 23 ปี
การศึกษาปัจจุบัน : ครุศาสตร์ สาขานาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
สัดส่วน : 34/25/38.
ส่วนสูง : 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 58 กิโลกรัม
ปัจจุบันเป็นครูฝึกประสบการณ์วิชาชีพในรายวิชาศิลปะดนตรีนาฏศิลป์ โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่
เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : วชิร สายจำปา
ก่อนหน้านี้ สาวสวยดีกรีนางงามผู้นี้เคยสร้างความฮือฮาบนโลกออนไลน์มาแล้ว หลังจากเข้าร่วมรายงานตัวเพื่อคัดเลือกเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2016 และกลับมาโด่งดังอีกครั้งหลังจากการตอบคำถามหวย 30 ล้าน บนเวทีประกวดเทพธิดานาคี วัดบ้านโขงใหญ่ จ.มหาสารคาม นอกจากคำตอบที่โดนใจคนทั้งประเทศแล้ว ยังโดนใจกรรมการจนคว้ารางวัลชนะเลิศไปครองอีกด้วย
ได้คำถามหวยอลเวง!
ตอนแรกจะไปทำบุญที่วัดบ้านโขงใหญ่อยู่แล้วค่ะ แต่บังเอิญเขามีการประกวดนางงามพอดี เราก็เลยลองขึ้นประกวดดู ซึ่งรองเท้าก็ไม่ได้เตรียมไป ต้องยืมคนอื่น ชุดราตรีก็เอาของพี่เลี้ยง แต่งหน้าทำผมหลังเวที แต่สุดท้ายก็เข้ารอบตอบคำถามค่ะ ตอนนั้นทุกคนจับสลากได้คำถามประมาณว่า ถ้าคุณมี 1 โครงการ คุณจะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง หรือว่าหากคนอื่นไม่ยอมรับในตัวคุณ คุณจะทำอย่างไร ทุกคนได้คำถามเป็นทัศนคติทั่วไปเลยค่ะ
ส่วนหนูตอบเกือบคนสุดท้าย และคำถามที่จับได้ เกี่ยวกับหวย 30 ล้าน ซึ่งหนูก็ติดตามข่าวนี้มาอยู่พอสมควร ตอนนั้นก็คิดเลยว่า ทำไมเราได้คำถามแบบนี้ (หัวเราะ) คือคำถามไม่ส่งเลย ถ้าตอบดี ก็ดี ถ้าตอบไม่ดี คนก็จะคิดลบกับเราเลย ซึ่งทุกครั้งที่ตอบคำถาม หนูจะตอบจากความรู้สึก ดังนั้น คำตอบที่ได้ก็เลยออกมาจากความรู้สึกของเราจริงๆ เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องตอบดีที่สุด ฉันจะต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น ไม่ใช่ค่ะ คิดแค่ว่าทำเท่าที่คิดได้แค่นั้น ก็กลายเป็นตามคลิปเลยค่ะ
ตอบดีจนมงลง!
ตอนนั้นหนูตอบประมาณว่า ในสังคมทุกคนเกิดมามีความอยากได้กันอยู่แล้ว เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อได้รับ รวมทั้งเงินทุกคนก็อยากได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชีวิตมนุษย์ไม่มีใครที่อยากให้เกิดความสูญเสียกับตัวเอง แม้กระทั่งคนที่นั่งอยู่ในงานนี้ หรือคนที่นอนอยู่ในบ้าน ทุกคนก็คงรู้จักกับคำว่าสูญเสียกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับ เงินแค่ 30 ล้าน มันก็เป็นแค่ของนอกกาย หายไปแล้วก็สามารถหากลับมาใหม่ได้ อาจจะหากลับมาได้ไม่เท่าเดิม แต่อย่างน้อยเรามี 1 สมอง 2 มือ ถ้าเราขยันทำมาหากิน เราก็สามารถอยู่ในสังคมได้
ตอบเสร็จทุกคนก็ปรบมือเฮเลย พอลงเวทีมาก็ถามเพื่อนว่า เราตอบดีไหม เพื่อนก็บอกว่า ตอบดีมากเลย ในใจลึกๆ ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่า อาจจะได้ที่ 1 เพราะคนเชียร์เราก็เยอะ ตอบคำถามก็พีคกว่าคนอื่น แต่คืนนั้นก็คุยกับพี่เลี้ยงไว้แล้วนะคะว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะตั้งใจจะมาทำบุญมากกว่า แต่พอได้รับรางวัลชนะเลิศ หนูก็ได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งทำบุญกับวัดไปเลยค่ะ
สิ่งที่ทำดีมาตลอด
อย่างน้อยก็ส่งผลให้คนเห็น
ตอนแรกยังไม่รู้นะคะว่ามีคนอัดคลิปแล้วลงในโซเชียล จนเกิดเป็นกระแสขนาดนี้ แต่แม่โทร.มาบอกว่า คนดูกับคนแชร์คลิปหนูเยอะมาก ตอนนั้นหนูก็งงๆ แล้วทีนี้เพื่อนก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า ออกข่าวทีวีด้วย หนูก็เลยไปเปิดดูย้อนหลัง ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ยังสงสัยจนทุกวันนี้เลยว่า ทำไมเขาให้ความสนใจเราขนาดนี้ หรือเป็นความบังเอิญมากกว่า (หัวเราะ) แต่ก็รู้สึกดีใจค่ะ ในโซเชียลคนคอมเมนต์ชมเยอะเลย
บางคนก็มาแซวว่า ต้องให้น้องคนนี้ไปคุยกับครูปรีชานะ หนูอ่านแล้วก็ยังขำๆ อยู่เลย บางคนก็บอกว่า ตอบยาวเกินไป เราก็ไม่ได้คิดนะคะว่า ทำไมเขาต้องมาว่าเราด้วย ไม่เคยคิดเลย เรารู้สึกแค่ว่า จะต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ มากกว่า เก็บคำติชมนั้นมาปรับปรุงตัวเองต่อไปค่ะ อย่างน้อยๆ สิ่งที่เราทำดีมาตลอด ก็ส่งผลให้คนเห็น แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะ
อย่างตอนกลับไปสอน เด็กนักเรียนก็แซวตั้งแต่ประตูเข้าโรงเรียนเลยค่ะ ครูครับๆ ถ้าผมถูกหวย 30 ล้านแล้วทำหายล่ะครับ เด็ก ป.1 - ป.2 ก็วิ่งมาหา ครูคะ เมื่อวานหนูดูข่าว หนูเห็นใครก็ไม่รู้เหมือนครูเลยยืนตอบคำถามในทีวี เรารู้สึกขำๆ และก็รู้สึกดีด้วยนะคะ อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นเหมือนอีกหนึ่งกำลังใจให้กับเรา อย่างเวลาไปประกวดเด็กๆ ก็จะตามเชียร์ตลอด
ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเอง
ก็แค่คิดบวกเข้าไว้
บางคนบอกว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเราจริงๆ ก็คงไม่พูดแบบนี้หรอก หนูว่าก็จริงนะคะ เราอาจจะเครียดก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้หนูก้าวต่อไปก็คือ การคิดบวก คิดซะว่ามันอาจจะไม่ใช่ของเรา อาจเป็นสิ่งที่บังเอิญได้มาและก็หายไป หรืออาจจะเป็นบาปกรรมที่เราเคยทำมาและส่งผลให้เราเจออะไรแบบนี้ สุดท้ายแล้วหนูว่า ชีวิตต่างหากที่ต้องก้าวต่อไปและต้องอยู่ให้ได้
พรข้อแรกสมหวัง
กลายเป็นนางงามสะพานบุญ
เป็นสิ่งที่ภูมิใจหนูมากกว่าการที่คนชื่นชม ก็คือมีถนนเข้าวัด หนูขอให้ถนนลูกรังนี้กลายเป็นถนนคอนกรีต นี่คือพรข้อแรกจาก 3 ข้อที่หนูขอในรอบ 3 คนสุดท้าย เพราะตอนที่นั่งรถมาการเดินทางลำบากมาก หลงทางอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่วัด หนูก็เลยคิดว่าถ้าพรข้อนี้เกิดขึ้นได้ก็น่าจะดี ไม่ใช่แค่ทางความคิด แต่อยากให้ออกมามองเห็นและสัมผัสได้ สุดท้ายก็เกิดขึ้นจริงๆ ค่ะ เราเลยรู้สึกว่าเหมือนได้เป็นสะพานบุญให้กับวัดด้วย ทำให้วัดมีชื่อเสียงขึ้น คนสนใจและก็มียอดบริจาคเพิ่มขึ้น
เป็นนางงามเดินสายตั้งแต่ ม.5
เป็นคนที่ชอบร้องเพลงลูกทุ่งค่ะ ตอนแรกพ่อก็ผลักดันให้ไปประกวดร้องเพลง สนับสนุนให้เป็นนักร้องก่อน แต่พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่า อยากจะเป็นครูนาฏศิลป์ เพราะเราชอบด้านนี้ ตั้งแต่เด็กๆ ก็ชอบฟ้อนรำ ชอบร้องเพลง เป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน ก็เลยคิดว่าน่าจะสามารถเรียนได้ และถ่ายทอดให้คนอื่นได้
เริ่มเดินสายประกวดครั้งแรกตอนอยู่ ม.5 ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิง ไปโรงเรียนก็แต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ ผมสั้นรองทรงเรียบร้อย และเป็นประธานโรงเรียนด้วย พ่อก็ไม่รู้เลยคิดว่าเป็นแค่การแสดง ลูกแค่ชอบแสดงก็เลยแต่งตัวเป็นผู้หญิงแค่นั้น ทีนี้หนูไปเรียนพิเศษเกี่ยวกับการแสดงนาฏศิลป์ ก็ไปเจอพี่คนหนึ่งที่เขามีความรู้ด้านนางงาม เขาก็ชวนให้ไปประกวด เราเลยลองดู คิดว่ามันอาจจะใช่ทางของเราก็ได้ ปรากฏว่าตอนนั้นได้ที่ 3 กลับมา
พอไปประกวด พ่อเห็นว่าได้รางวัล ได้สายสะพายกลับมา ก็เรียกมาถามเลยว่า อยากเป็นนางงามหรือ ลูกอยากเป็นผู้ชายหรืออยากเป็นผู้หญิง เขาก็บอกว่า ถ้าอยากเป็นผู้ชายให้เป็นผู้ชายเลยนะ แต่ถ้าอยากเป็นผู้หญิง พ่อก็จะสนับสนุนเต็มที่เลย คือต้องบอกก่อนว่าเราถูกเลี้ยงมาเป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่งเลย เกิดมาในครอบครัวที่มีพี่สาว 2 คน เราก็เลยไม่ได้เล่นกับเพื่อนผู้ชาย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราแมนกว่านี้แล้ว (หัวเราะ) หลังจากนั้นหนูเลยเริ่มดูแลตัวเอง เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทานยาฮอร์โมนต่างๆ และก็ไว้ผมยาวตั้งแต่ ม.6 ซึ่งพ่อกับ ผอ.ที่โรงเรียนรู้จักกัน บวกกับเราเป็นเด็กกิจกรรมด้วย ก็เลยขอไว้ผมยาวตั้งแต่ตอนนั้นเลยค่ะ
ครอบครัวเข้าใจในสิ่งที่เป็น
และภูมิใจในสิ่งที่ทำ
จากนั้นก็เริ่มเข้าวงการนางงาม ประกวดเยอะๆ เริ่มมีคนรู้จักเรามากขึ้น เริ่มได้ตำแหน่งมากขึ้น พ่อจะบอกเสมอว่า เขาภูมิใจในตัวเรา เวลาออกข่าวพ่อก็ดีใจมาก เหมือนเราเป็นความหวัง เป็นความภูมิใจของบ้าน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เคยทำให้เขาเดือดร้อนเลย ทุกคนจะดีใจเวลาหนูไปประกวด บางครั้งถ้าใกล้บ้าน พ่อแม่ก็ไปให้กำลังใจตลอด ถ้าไม่ได้ไปด้วยก็จะดูในเฟซบุ๊ก ในไลฟ์ เขาก็จะให้เราแชร์เข้าในกลุ่มครอบครัว ที่มีทั้งลุง ป้า น้า อา พี่สาว และก็หลาน ทุกคนก็จะไปดูคอยให้กำลังใจตลอด
หนูคิดว่า หนูโชคดีมากๆ ที่ทุกคนเข้าใจและให้โอกาส พ่อก็ให้อิสระทางความคิดทุกอย่าง ก็เลยทำให้เราเต็มที่ทุกครั้งที่ไปประกวด หรือแม้กระทั่งความเป็นครู พ่อก็สนับสนุนเต็มที่ เขาจะสอนเสมอว่า ถึงเราจะเป็นแบบนี้ แต่เราก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้ แบบอย่างในที่นี้ไม่ใช่ว่าเชิญชวนให้เด็กมาเป็นเหมือนเรา แต่สอนให้เด็กเป็นคนที่มีทัศนคติแบบเดียวกับเรา ให้เขามีแนวทางในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องหลงผิดไปทางอื่น
ถูกปลูกฝังให้รักการทำบุญ
หนูเป็นคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญอยู่แล้วค่ะ ที่บ้านพ่อกับแม่จะพาเข้าวัดปฏิบัติธรรมตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็เลยซึมซับมาเรื่อยๆ หนูว่าการเข้าวัดช่วยทำให้จิตใจเราสงบมากขึ้น ทำให้รู้จักว่า การให้ที่แท้จริงคืออะไร บางครั้งเรานั่งอยู่เฉยๆ เราก็ให้ได้นะคะ ให้ในที่นี้ก็คือ ทำจิตใจเราให้สงบ และสามารถบอกคนอื่นได้ว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งดี สิ่งไหนเป็นสิ่งไม่ดี แค่นี้หนูก็คิดว่าคือการให้กับสังคมแล้วนะ
จากความชอบสู่เวทีประกวด
หารายได้แบ่งเบาภาระครอบครัว
ตอนนี้ก็เดินสายประกวดได้เกือบ 7 ปีแล้วค่ะ ชนะบ้าง ตกรอบบ้าง ก็ปะปนกันไป ถือว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เราหาเงินได้โดยสุจริต หนูว่าพรสวรรค์ของคนเรามีไม่เหมือนกัน บางคนชอบร้องเพลง ก็ไปรับจ้างร้องเพลง บางคนชอบงานบริการก็ไปเสิร์ฟอาหาร จะให้เราไปทำงานเสิร์ฟเราทำได้นะ แต่ว่ามันไม่ใช่ทางของเรา จะให้แต่งหน้าทำผมไปเสิร์ฟ ถามว่าเข้ากับเราไหม คนอื่นก็คงมองว่าไม่ เราเลยคิดว่านี่ก็เป็นงานหนึ่งของเราเหมือนกัน
ทุกครั้งที่ไปประกวดก็จะคิดว่า ถ้าทำดี เราก็จะได้ค่าตอบแทนเท่านี้ ถ้าทำไม่ดีก็ลดลงมา คิดว่าไปทำงานมากกว่า เรามีงานทำระหว่างเรียน เราหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องไปรบกวนทางบ้าน แบ่งเบาภาระครอบครัวได้ บวกกับเป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็เลยมีความสุข อีกอย่างคือทุกๆ ครั้งที่ทำให้คนดูมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย เวลาไปประกวดแถวชนบท คนแก่เขาจะไม่ค่อยเห็นคนสวยๆ เท่าไหร่ ชาวบ้านก็จะมาดูกัน แล้วทีนี้มีรอบความสามารถพิเศษ เราก็แสดงฟ้อนรำ คนอื่นก็จะแสดงตลกบ้าง เราเลยรู้สึกว่ามันก็เป็นการสร้างความสุขให้กับคนอื่นด้วยค่ะ
เวทีนี้ไม่ใช่ของเรา
บางครั้งที่ตกรอบ เราก็คิดนะว่า เพราะอะไรทำไมเราถึงตกรอบ ทำได้ไม่ดีเหรอ แต่ถ้าเรามัวจะไปตอบคำถามหรือกลับไปแก้ตรงนั้น เราเดินไปไหนไม่ได้เลย ยิ่งคิดก็จะยิ่งกดดันค่ะ เหมือนลดคุณค่าของตัวเอง เราก็เลยเลือกที่จะปล่อยไปเพราะมันก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต คิดแค่ว่าเวทีนี้ไม่ใช่ของเราแค่นั้นจบ คิดว่าเราไปทำงาน เราก็จะสบายใจมากขึ้นค่ะ
ก้าวแรกบนเวทีใหญ่
Miss Perfect Angel 2015
ตอนนั้นอยู่ปี 3 แล้วมีเพื่อนมาชวน ด้วยความที่ Miss Perfect Angel หัวใจหลักก็คือการทำบุญ และเกี่ยวกับวัฒนธรรม เราก็เลยลองไปสมัครดูค่ะ เพราะว่าเราเป็นคนชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือสังคมอยู่ด้วย มาที่กรุงเทพฯ ก็มีพี่ที่รู้จักช่วยแต่งหน้าทำผมให้ และปรากฏว่าได้รางวัลชนะเลิศในปี 2015 กลายเป็นตัวแทนประเทศไทยไปเผยแพร่วัฒนธรรมที่ซานฟรานซิสโก อเมริกาค่ะ และยังเป็นตัวแทนรับองค์กฐินพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ วัดพุทธปทีปด้วยค่ะ ซึ่งเป็นวัดแรกที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ที่ต่างประเทศ ตอนนั้นก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
“นางฟ้ามาโปรด”
ช่วยเหลือเด็กยากไร้
เราคิดว่าการที่จะช่วยเหลือเด็ก เราทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน หลังจากได้ตำแหน่งก็เลยจัดตั้งโครงการ “นางฟ้ามาโปรด” ขึ้นร่วมกับกองประกวด ซึ่งเป็นโครงการแจกทุนการศึกษาให้กับเด็กยากไร้ ทุนละ 800 บาท จะแบ่งเป็นเงินสด 500 บาท ส่วนอีก 300 บาทแบ่งเป็นอุปกรณ์การเรียน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มค่ะ แล้วที่เรารู้สึกดีกว่านั้นก็คือ ทุกวันนี้ก็ยังมีโครงการนี้อยู่ ถึงแม้ว่าเราจะอำลาตำแหน่งไปแล้ว แต่สิ่งที่เราได้ทำไว้ก็ยังคงอยู่และยังดำเนินต่อไป เรารู้สึกเหมือนการปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งเลยค่ะ ซึ่งเราก็คอยมองดูมันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา ก็รู้สึกดีใจมาก อย่างเดือนมีนาคมนี้ก็ไปทำโครงการที่จังหวัดร้อยเอ็ดด้วยค่ะ
เริ่มต้นบนเส้นทางครูจิตอาสา
เริ่มตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วค่ะ คือมีเด็กแถวบ้านที่ขาดทุนทรัพย์ในการเรียน ไม่มีตังค์ไปเรียนพิเศษ หรือว่าพ่อแม่ทำไร่ ทำนาแล้วปล่อยลูกอยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เรียนวิทย์-คณิตมาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง เราเห็นก็เลยสงสาร อยากสอน ก็ให้หลานไปชวนเพื่อนมาเล่นคุณครูกัน เชิงเล่นไปด้วย แต่ว่าก็สอนจริงๆ นะคะ ทำมาเกือบ 3 ปี ก็มาเรียนต่อปริญญาตรีที่เชียงใหม่ ซึ่งตอนนี้ก็ฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชยค่ะ เป็นโรงเรียนเด็กหลายเชื้อชาติ สอนตั้งแต่ ป.1- ม.3 เลยค่ะ
ส่วนช่วงปิดเทอม หนูก็จะกลับบ้านที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งก็ชนบทพอสมควร แต่ถ้าขึ้นไปบนดอยอีก จะมีพวกเด็กยากไร้อยู่เยอะมาก หนูก็ทำโครงการเกี่ยวกับครูจิตอาสา ขึ้นไปสอนให้กับเด็กที่สนใจอยากจะเรียน อย่างนาฏศิลป์เราก็จะสอนพื้นฐาน เกี่ยวกับรำวงมาตรฐานบ้าง ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนการเรียนของเด็กทุกชั้นปีอยู่แล้ว ส่วนวิชาภาษาไทย ก็สอนเกี่ยวกับหลักในภาษาไทยเบื้องต้น การผันวรรณยุกต์ต่างๆ และก็มีรวบรวมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ใช้ แล้วก็รับบริจาคทางเฟซบุ๊กบ้าง จากนั้นก็เอาขึ้นดอยไปให้เด็กๆ ในโรงเรียนที่ห่างไกลและขาดโอกาสด้วย ก็จะทำแบบนี้ทุกปีค่ะ
แม่พิมพ์ในดวงใจ
ผู้จุดประกายความฝันและงานจิตอาสา
คุณครูพรทิพย์ มงคลเนตรค่ะ เป็นคุณครูนาฏศิลป์ เป็นคนกรุงเทพฯ แต่สอบบรรจุไปอยู่โรงเรียนเรา ต้องไปใช้ชีวิตในถิ่นที่ลำบาก แล้วนึกถึงการแต่งตัวคนกรุงเทพฯ ก็คือต้องใส่ส้นสูง ใส่ชุดกระโปรงสวยงาม ครูก็แต่งตัวแบบนั้นเลยค่ะ 11 ปีที่อยู่บนดอย (หัวเราะ) ซึ่งเราก็ชอบมาก เราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเรียนกับครู พอได้เรียนแล้วครูก็สอนทุกอย่างเลยค่ะ สอนการใช้ชีวิตต่างๆ เอาหนูมาอยู่ด้วยเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งเลย จากที่ตอนแรกชอบร้องเพลง ชอบเล่นกีฬา ก็ไม่ไปแล้ว มาซ้อมรำทุกวัน
คุณครูเป็นคนที่จุดประกายความฝันทำให้หนูอยากเป็นครูสอนนาฏศิลป์ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนูอยากเป็นคุณครูจิตอาสา หนูคิดว่าขนาดครูเขาโตมาในกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายก็ยังไปอยู่บนดอยแถวบ้านเราได้ หนูก็เลยคิดว่า คงไม่ยากหรอกถ้าเราจะขึ้นไปสอนเด็กบนนั้นบ้าง เราก็ต้องทำได้เหมือนกันนั่นแหละ
ครูให้ได้...ในสิ่งที่ครูมี
หนูคิดว่าการเป็นครู ทุกคนเป็นได้ สอนแล้วได้เงิน ใครๆ ก็อยากสอน ใครๆ ก็อยากได้ แต่การเป็นครูโดยจิตวิญญาณหนูว่ายาก จิตวิญญาณในที่นี้หนูหมายถึงการเป็นครูโดยที่ไม่ได้เงิน ไม่ได้อะไรเลย แต่ได้ให้ความรู้ เอาเวลาของตัวเองทั้งวันมาเสียให้กับเด็กที่เป็นใครก็ไม่รู้ เงินก็ไม่ได้ หนูว่ามันหายากนะคะ หนูก็เลยอยากจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นคนที่มีมากพอที่จะเอาเงินไปให้เขา ถามว่าเรามีไหมทุกวันนี้เราก็ต้องหาเลี้ยงตัวเองอยู่ พ่อแม่เราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่สิ่งที่เรามีก็คือกำลังกาย กำลังใจ และความรู้ที่สามารถถ่ายทอดให้เขาได้
คนละเส้นทาง
แต่ปรับใช้ด้วยกันได้
แน่นอนก็คือการพูดคุยต่อหน้าคนเยอะๆ ในความคิดของหนู เวลาเราพูดต่อหน้าเด็ก กดดันกว่าพูดต่อหน้ากรรมการอีกนะคะ เด็กจะชอบมีคำถามตลอดว่า ทำไม เพราะอะไร เราก็เลยต้องคิดให้ไว กลั่นกรองดีๆ ว่า สิ่งที่เรากำลังจะพูดเด็กรอฟังอยู่นะ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฝึกความกล้าแสดงออกไปด้วย อยู่โรงเรียนพูดหน้าเสาธง ก็เหมือนกับเราอยู่หน้าเวทีประกวดเลยค่ะ เราก็ฝึกจากตรงนี้ทำให้ลดความตื่นเต้นได้บ้าง แล้วก็เรื่องบุคลิกภาพด้วย สำหรับครูไม่ใช่ว่าไม่สำคัญนะคะ ถ้าหากเราวางตัวดี บุคลิกภาพดี เด็กก็จะมีความเชื่อถือ ความเชื่อใจเรามากขึ้น ส่วนเวลาเราอยู่บนเวทีถ้าเราบุคลิกภาพดีก็ทำให้เราเข้ารอบได้มากขึ้นค่ะ
เปลี่ยนความเหนื่อยมาเป็นแรงผลักดัน
ถ้าขึ้นชื่อว่าทำงานเหนื่อยหมดทุกอย่างเลยค่ะ อย่างสอนเด็กถ้าเหนื่อย ก็ให้คิดถึงสิ่งที่เด็กได้รับก็คือความรู้ที่สอนไป เราก็หายเหนื่อยเลยนะคะ อย่างประกวดนางงามก็เหมือนกัน เหนื่อย นอนก็ดึก แต่เราคิดถึงพ่อแม่ที่ต้องตากแดดทำสวน ทำไร่ คือเหนื่อยกว่าเรามาก อันนี้เราแค่แต่งตัวสวยๆ เดินบนส้นสูงแค่นั้นเอง หนูเลยเปลี่ยนความเหนื่อยตรงนั้นมาเป็นกำลังใจและแรงผลักดันมากกว่าค่ะ
อนาคตจะเป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับโอกาสที่เข้ามา
หนูชอบการทำงานในวงการบันเทิงมากกว่า เพราะตั้งแต่เด็กๆ ชอบที่จะแต่งตัวสวยๆ อยู่บ้านก็เอาผ้าเช็ดตัวมาทำเป็นผมยาว เอาผ้าห่มมาทำเป็นชุดราตรี เราเลยคิดว่าเราชอบตรงนั้นมากกว่า แต่สิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดคือความเป็นครู ก็มีวางแผนไว้เหมือนกันว่าอยากเป็นครูแลกเปลี่ยน ไปถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ แต่สุดท้ายก็แล้วแต่โอกาสที่จะเข้ามามากกว่าค่ะ ถ้าเกิดว่ามีโอกาสที่จะได้ทำงานในวงการบันเทิง หรือประกวดบนเวทีใหญ่ระดับประเทศ เราก็จะรับโอกาสนั้นไว้ก่อนในช่วงที่ยังอายุน้อย แต่ถ้าหากว่าโอกาสนั้นยังมาไม่ถึง เราก็จะเป็นครูของเราต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
มีเป้าหมายและเชื่อมั่นในตัวเอง
สุดท้ายนี้ฝากถึงน้องๆ ทุกคนนะคะ การที่เราจะทำอะไรในชีวิตก็ตามถ้าหากเรามีเป้าหมาย และความชัดเจนในชีวิต ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เลือก สิ่งนั้นจะเป็นไปในทางที่ดีเสมอค่ะ จงซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง รัก และให้คุณค่าแก่ตัวเองก่อน อย่างเช่น ถ้าเราคิดจะทำอะไร ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ยากก็ตาม แต่ถ้าเรามองว่าตัวฉันเก่ง ฉันทำได้ ฉันต้องทำให้ได้ หนูเชื่อว่าทุกๆ คนจะทำได้แน่นอนค่ะ
Profile
ชื่อจริง : น.ส.วาสนา ปัญญาคำ
ชื่อเล่น : มัดไหม
อายุ : 23 ปี
การศึกษาปัจจุบัน : ครุศาสตร์ สาขานาฏศิลป์ไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
สัดส่วน : 34/25/38.
ส่วนสูง : 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 58 กิโลกรัม
ปัจจุบันเป็นครูฝึกประสบการณ์วิชาชีพในรายวิชาศิลปะดนตรีนาฏศิลป์ โรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่
เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : วชิร สายจำปา