ท้าวทองกีบม้า เป็นสตรีต่างชาติคนเดียวที่ถูกจารึกชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ในฐานะผู้มอบมรดกขนมประจำชาติไทย อันได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง รวมทั้งขนมตระกูลทองทั้งหลาย ที่มีสีเป็นมงคลและยังมีรสชาติหวานประทับใจ อันเป็นตำรับข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากยุโรป
คุณท้าวมีเลือดผสมหลายเชื้อชาติ พ่อเป็นชาวเมืองกัว อาณานิคมของโปรตุเกสในอินเดีย และเป็นลูกผสมโปรตุเกส-ญี่ปุ่น-เบงกาลี หรือชาวเบงกอล มีชื่อว่า ฟานิก กีร์มา ส่วนแม่เป็นลูกผสมโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ชื่อ เออร์ซูล่า ยามาด้า อิกเนซ มาร์แตง ยายของมารีซึ่งเป็นชาวปอร์ตุเกส เล่าว่า ครอบครัวของนางตั้งถิ่นฐานอยู่ในญี่ปุ่น จนถึงปี พ.ศ.๒๑๓๕ โชกุนฮิเดะโยชิ ให้จับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ลงโทษและเนรเทศ บางคนถูกประหารชีวิต ครอบครัวของนางถูกจับใส่เรือส่งไปเมืองไฝโฟในประเทศญวน ซึ่งมีคนนับถือศาสนาคริสต์อยู่มาก
นางได้พบรักกับเชื้อพระวงศ์ญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งเข้ารีตและถูกเนรเทศเหมือนกัน ได้แต่งงานกัน ทำมาค้าขายจนมีฐานะ ได้ข่าวว่ากรุงศรีอยุธยาอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง ทั้งไม่กีดกันศาสนา จึงได้อพยพเข้ามาพร้อมกับชาวญี่ปุ่นอีกหลายคน
มารี กีมาร์เกิดที่กรุงศรีอยุธยาในปี ๒๒๐๗ ในวัยสาวเธอเป็นสตรีที่สะคราญโฉม เป็นที่หมายปองของหนุ่มชาวยุโรปในกรุงสยามไปตามกัน แต่คนที่พิชิตหัวใจเธอได้ ก็คือชายหนุ่มที่เหนือกว่าชาวยุโรปทุกคนในกรุงศรีอยุธยา นาม คอนสแตนติล ฟอลคอน และได้แต่งงานกันใน พ.ศ.๒๒๒๕ ขณะที่ฟอลคอนมีบรรดาศักดิ์เป็น ออกพระฤทธิ์กำแหง ซึ่งต่อมาเขาก็คือ เจ้าพระยาวิชเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ในขณะที่ฟอลคอนมีอำนาจวาสนาอยู่นั้น คฤหาสน์ของเขาจึงมีแขกเหรื่อทั้งไทยและเทศมาเยือนอยู่เป็นประจำ คุณหญิงฟอลคอนจึงต้องรับภาระจัดสำรับคาวหวานต้อนรับ ฝีมือปรุงอาหารของเธอเป็นที่เลื่องลือ ในรายการเหล่านี้ ขนมซึ่งใช้ไข่แดงกับน้ำตาลเป็นหลัก อันเป็นตำรับดั้งเดิมของโปรตุเกสที่เธอถ่ายทอดมาทางยายและแม่ จึงกลายเป็นของแปลกใหม่ในกรุงสยาม ทั้งยังมีสีเหลืองอร่ามเหมือนทอง นับเป็นขนมมงคล รสชาติก็ประทับใจ จนเป็นที่นิยมอย่างมากในราชสำนัก ขุนนางหลายคนขอให้มารีไปช่วยสอนฝ่ายครัวที่จวน ส่วนบรรดาลูกมือของเธอก็นำกลับไปทำให้คนทางบ้านได้ชื่นชม แพร่กระจายไปตามหมู่บ้าน จนกลายเป็นขนมประจำชาติมาถึงปัจจุบัน
แต่ชีวิตของผู้มอบมรดกที่มีคุณค่าให้คนไทยไว้ กลับมีแต่ความขมขื่นจากพฤติกรรมของสามีผู้เรืองอำนาจ ทั้งการมีอนุภรรยาแบบขุนนางสยาม และมีลับลมคมนัยกับฝรั่งเศส ที่ไม่ซื่อต่อแผ่นดินไทย การนำทหารฝรั่งเศสเข้ามาและความพยายามจะเปลี่ยนศาสนาสมเด็จพระนารายณ์ ทำให้วิชเยนทร์เพาะศัตรูไว้มาก เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต มารีอ้อนวอนขอให้ฟอลคอนหนีออกนอกประเทศ เพราะเขามีทรัพย์สินมากพอแล้ว ถ้าพาลูกเมียหนีไปอยู่ฝรั่งเศสก็จะมีความสุขไปชั่วชีวิต แต่ฟอลคอนมีความฝันสูงกว่านั้น ฉะนั้นเมื่อฟอลคอนและนางถูกจับ มารีจึงไม่ให้อภัยสามี ถือว่าความวิบัติของครอบครัวมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงและความโลภที่ไม่รู้จักพอของเขา
มารีและลูกต้องตกเป็นทาสหลวงเช่นเดียวกับแม่และญาติพี่น้อง แต่นางก็ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในคุกเหมือนคนอื่น เพียงแต่ถูกกักตัวอยู่ในวัง หลวงสรศักดิ์ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นมหาอุปราช ได้ยื่นข้อเสนอว่า นางจะพ้นจากการเป็นทาสทันที ถ้ายอมเป็นสนม แต่คุณท้าวทองกีบม้าขออยู่อย่างทาส
มารีมีฝีมือเรื่องอาหาร เคยทำถวายสมเด็จพระนารายณ์มาหลายครั้งจนเลื่องลือ สมเด็จพระเพทราชาจึงขอให้เข้าประจำห้องเครื่องเสวย จนกระทั่งคุณท้าวได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าห้องเครื่อง อีกทั้งยังมีหน้าที่ดูแลฉลองพระองค์และเครื่องใช้ต่างๆภายในพระราชวัง เป็นแม่บ้านของราชสำนักสมเด็จพระเพทราชา
มารีมีลูกกับฟอลคอน ๒ คน ชื่อ ยอร์ช และ ฮวน ฟอลคอน แต่ฮวนเสียชีวิตจากโรค มารีจึงได้ส่งยอร์ชไปฝรั่งเศส ซึ่งทำให้ชีวิตเธอไม่มีห่วงกังวลใดๆอีก รับใช้ราชสำนักสยามจนเข้าวัยชรา
ท้าวทองกีบม้า มีชีวิตอยู่ถึง ๔ รัชกาล ในปี ๒๒๖๗ แผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ ซึ่งครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ พระเพทราชา และพระเจ้าเสือ มีบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสว่า ยังพบมาดามคอนสตันซ์ซึ่งมีอายุ ๖๕-๖๖ ปีแล้ว ทั้งยังพบแม่ของนางซึ่งมีอายุ ๘๐ ปีเศษ ป่วยเดินไม่ได้ และเสียชีวิตอีก ๑ ปีหลังจากการพบครั้งนั้น แต่ท้าวทองกีบม้าเสียชีวิตเมื่อใดไม่มีบันทึกไว้
ข่าวคราวล่าสุดของนางมีว่า ในปี ๒๒๔๓ มารี กีมาร์ได้ทำหนังสือร้องทุกข์กราบทูลไปถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขอคืนหุ้นส่วนในบริษัทอินเดียตะวันออก ซึ่งฟอลคอนถืออยู่ พระเจ้าหลุยส์ได้พระราชทานเงินยังชีพมาให้ ๑,๐๐๐ ปอนด์ก่อน ต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสจึงส่งคืนหุ้นของเจ้าพระยาวิชเยนทร์พร้อมด้วยเงินปันผลมาให้ ทำให้ชีวิตของคุณท้าวทองกีบม้ามั่งคั่งสุขสบายหายขมขื่นในบั้นปลาย