อดีตเด็กรับใช้ในสำเภาสินค้าชาวกรีก ซึ่งบุญมาวาสนาส่งได้เป็นถึงอัครเสนาบดีผู้มีอำนาจสูงสุดของกรุงศรีอยุธยา และอาจจะเป็นใหญ่กว่านี้ขึ้นไปอีก ถ้าแผนการที่เขารับใช้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศสสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย แม้จะมีระดับนายพลคุมกองทหารฝรั่งเศสติดอาวุธทันสมัยมาช่วย ก็ไม่อาจไปถึงฝั่งฝันได้ เพราะมีคนๆหนึ่งซึ่งเกิดที่โคนต้นมะเดื่อจองล้างจองผลาญเขามาตั้งแต่เด็ก จนนำเขาไปสู่หลักประหารได้ในที่สุด
นักชาตินิยมหัวรุนแรงซึ่งถูกจารึกไว้ว่าเป็นกษัตริย์ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์พระองค์นี้ ก็คือ พระสุริเยนทราธิบดี หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ กษัตริย์พระองค์ที่ ๒๙ ของกรุงศรีอยุธยา แต่รู้จักกันทั่วไปในพระสมัญญานามว่า “พระเจ้าเสือ” ผู้เป็นกษัตรประสูติที่โคนต้นมะเดื่อในชนบทเมืองพิจิตร
พระเจ้าเสือเป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะสมเด็จพระนารายณ์ทรงเข็ดหลาบกับการนำโอรสของพระเชษฐาที่สวรรคตมาเลี้ยง พอโตขึ้นก็ลอบปลงพระชนม์ แม้จะทรงอภัยให้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่สำนึก จึงจำพระทัยต้องประหาร เลยเข็ดที่จะเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยง ทั้งยังขยาดที่จะมีลูกกับพระสนมด้วย แต่ก็ทรงพระปริวิตกที่จะไม่มีพระราชโอรสสืบบัลลังก์ จึงโปรดให้พระมเหสีทั้ง ๒ พระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานขอพระโอรส ห้ามพระสนมขอ และถ้าหากพระสนมคนใดตั้งครรภ์ก็ให้รีดออก เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงไม่เชื่องอย่างลูกพระเชษฐา
วันหนึ่ง สมเด็จพระนารายณ์ทรงสุบิน มีเทวดามาบอกว่าพระสนมที่ชื่อนางกุสาวดี ซึ่งเป็นธิดาพระเจ้าเชียงใหม่มีครรภ์ โอรสที่จะเกิดมามีบุญญาธิการมาก พระสุบินนี้ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ไม่สบายพระทัย จะรีดทิ้งตามที่ได้ตั้งสัตย์ไว้ ก็ติดที่พระโอรสองค์นี้มีบุญญาธิการ จึงรับสั่งให้ไปนิมนต์พระอาจารย์พรหม วัดปากน้ำประสบ ที่ทรงนับถือมาปรึกษา
พงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัดกล่าวว่า
“พระมหาพรหมผู้เป็นอาจารย์จึ่งว่า อันทรงสุบินนี้ดีหนักหนา พระองค์จะได้พระราชโอรสเป็นกุมาร แต่ไม่ชอบใจอยู่สิ่งหนึ่งว่ามีพระราชโอรสกับพระสนมกำนัลแล้วให้ทำลายเสีย อันนี้กูไม่ชอบใจยิ่งนัก พระองค์มาทำดังนี้ก็เป็นบาปกรรมนั้นประการหนึ่ง ถ้าในพระอัครมเหสีและมิได้มีพระราชโอรส มีแต่พระราชโอรสในพระสนมนี้ พระองค์ก็จะทำประการใดที่จะได้สืบศรีสุริยวงศ์ต่อไป อันว่าน้ำพระทัยนี้ จะให้เสนาบดีเศรษฐีคหบดีและพ่อค้า ให้ขึ้นเสวยราชย์สืบศรีสุริยวงศ์หรือประการใด ถึงจะเป็นพระราชโอรสในพระสนมก็ดี ก็ในพระราชโอรสาของพระองค์ที่จะได้สืบศรีสุริยวงศ์ต่อไป อันนี้สุดแต่กุศลจะคู่ควรและไม่คู่ควร ถ้าแลพระองค์ไม่ฟังกูว่า ดีร้ายกรุงศรีอยุธยาจะสูญหาย จะเป็นเมืองโกลัมโกลีมั่นคง ถ้าและทำดังกูว่า กรุงศรีอยุธยาจะได้เป็นสุขสุภาพต่อไป”
สมเด็จพระนารายณ์ได้ฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้นก็โสมนัสยินดีในพระทัย แต่ขัดอยู่ที่ได้ลั่นพระวาจาไปแล้ว จึงคิดที่จะหาวิธีทำโดยอุบายไม่ให้เสียพระวาจา จึงมีรับสั่งให้เจ้าพระยาสุรสีห์ ขุนนางคู่พระทัย ซึ่งเป็นบุตรพระนมคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นครูช้างของพระองค์ ให้เข้าไปในที่ลับบอกเรื่องนางกุสาวดีมีครรภ์ ให้เจ้าพระยาสุรสีห์เอานางไปเลี้ยงเป็นภรรยา ถ้าลูกในครรภ์ออกมาเป็นผู้ชายก็ให้เป็นลูกเจ้าพระยาสุรสีห์ แต่ถ้าเป็นลูกผู้หญิงก็ให้ส่งคืนมา
ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ ที่เมืองพิษณุโลก พระเพทราชาก็พานางกุสาวดีตามเสด็จไปด้วย พอมาถึงตำบลโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร นางได้กำหนดครบทศมาสพอดี จึงได้คลอดบุตรเป็นชายที่โคนต้นมะเดื่อ และนำรกฝังไว้ที่โคนต้นมะเดื่อนั้น พระเพทราชาจึงตั้งชื่อกุมารว่า “เดื่อ”
ครั้นกุมารโตขึ้นรู้ความก็เข้าใจว่าพระเพทราชาคือบิดาของตัว จึงรักใคร่สนิทสนม ครั้นเจริญวัย พระเพทราชานำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก วันหนึ่งสมเด็จพระนารายณ์ให้เจ้าพนักงานเชิญพระฉายมาตั้ง ทรงส่องแล้วกวักพระหัตถ์เรียกนายเดื่อเข้าไปใกล้พระองค์ ทรงรับสั่งว่า
“เอ็งจงดูเงากระจกเถิด”
นายเดื่อก็คลานเข้าไปส่องพระฉายข้างสมเด็จพระนารายณ์ ทรงดำรัสถามว่าเอ็งเห็นรูปเรากับรูปเอ็งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
นายเดื่อก็กราบทูลว่า “รูปทั้งสองอันปรากฏอยู่ในพระฉาย มีพรรณสัณฐานคล้ายคลึงกันพ่ะย่ะค่ะ”
โดยพระราชอุบายส่องพระฉายนี้ นายเดื่อก็รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองเป็นใคร จึงวางตัวไม่เกรงกลัวผู้ใด กล้าที่จะบริโภคพระกระยาหารในพระสุพรรณภาชน์ที่เหลือเสวย ทั้งยังเอาพระภูษาทรงที่เจ้าพนักงานตากไว้มานุ่ง ถ้าเป็นคนอื่นก็ต้องโดนโทษหนักแล้ว แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปกราบทูลฟ้อง สมเด็จพระนารายณ์ก็รับสั่งว่า
“อ้ายเดื่อนี้มันบ้าๆ อยู่แล้ว อย่าถือมันเลย มันชอบใจสิ่งของทั้งนั้น จึงบริโภคนุ่งห่มตามทีมันเถิด”
แต่นั้นมานายเดื่อทำอะไรก็ไม่มีใครกล้าว่ากล่าว เลยได้ใจวางอำนาจ ทั้งยังปากว่ามือถึง ขนาดเจ้าพระยาวิชเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน อัครมหาเสนาบดีสัญชาติกรีก คนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์ที่คนเกรงกันทั้งแผ่นดิน ยังโดนเอาเท้าลูบหัวเล่นเสียดื้อๆ
โดยวันหนึ่งท่านอัครมหาเสนาบดีเข้าเฝ้าขณะที่นายเดื่อเข้าเฝ้าอยู่ก่อนแล้ว พอเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ก้มลงกราบ นายเดื่อก็แกล้งเหยียดเท้าออกไปจนถูกหัวท่านอัครมหาเสนาบดี สมเด็จพระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงรับสั่งว่า
“อ้ายคนนี้มันเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา อย่าถือโทษมันเลย”
เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ก็จำใจต้องกราบทูลว่าไม่ได้ถือโทษ
ต่อมาเจ้าพระยาวิชยยนทร์ได้สร้างตึกสี่เหลี่ยมใหญ่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ เป็นที่อยู่ใกล้วัดปืน กรุงละโว้ ขณะสมเด็จพระนารายณ์ไปประทับที่กรุงละโว้นั้นด้วย วิชเยนทร์ได้สึกเอาภิกขุสามเณรมาเป็นกุลีก่อสร้าง นายเดื่อที่เติบใหญ่เป็นหลวงสรศักดิ์ จึงนำความไปกราบทูลให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงทราบ แต่สมเด็จพระนารายณ์ก็มิได้ทรงลงโทษวิชเยนทร์แต่อย่างใด หลวงสรศักดิ์จึ่งคิดว่าไอ้ฝรั่งคนนี้มันเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก จะกระทำผิดอย่างใดก็มิได้ทรงลงโทษ กูจะทำโทษมันเอง
ว่าแล้วก็ไปคอยดักเจ้าพระยาวิชเยนทร์อยู่ในวัง พอเช้าสมุหนายกฝรั่งมาทำงาน หลวงสรศักดิ์ก็ตรงเข้าไปชกหน้าเอาดื้อๆ ทำเอาเจ้าพระยาฝรั่งล้มทั้งยืน เลือดกบปาก ฟันหน้าหักไป ๒ ซี่ แล้วคุณหลวงก็เดินลงเรือกลับไปกรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยาวิชเยนทร์ลุกขึ้นบ้วนฟันออกจากปากแล้วก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว กราบทูลขณะเลือดยังกลบปากว่าทั้งเจ็บทั้งอาย ขอทรงพระกรุณาลงพระราชอาชญาแก่หลวงสรศักดิ์จงหนัก ข้าพระพุทธเจ้าจึ่งจะสิ้นความเจ็บอาย
สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระพิโรธหลวงสรศักดิ์ยิ่งนัก ดำรัสสั่งตำรวจให้ไปเอาตัวหลวงสรศักดิ์มา แต่ตามหาจนทั่วก็ไม่มีใครเห็นแล้ว จึงตรัสแก่เจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่าจะหาตัวมันให้ได้ก่อน เจ้าพระยาวิชเยนทร์เข้าเฝ้าเมื่อใดก็กราบทูลติดตามเรื่องนี้ทุกครั้ง สมเด็จพระนารายณ์ทรงทราบต้นเหตุของเรื่องนี้แล้วก็ดำรัสว่า ไอ้เดื่อมันเห็นท่านทำผิดจึ่งชกให้ได้ทุกขเวทนา เราจะมีโขนโรงใหญ่ทำขวัญให้แก่ท่าน เจ้าพระยาวิชเยนทร์ก็มิพอใจกับการปลอบขวัญแบบนี้ จึงกราบทูลขอแต่ให้ทำโทษหลวงสรศักดิ์ถ่ายเดียว
หลวงสรศักดิเมื่อรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวพิโรธ จึงไปเฝ้ากรมพระเทพามาตย์ เจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็กเจ้าพระยาโกษาปาน และเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ ให้ช่วยกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ อ้าว่าที่ทำไปก็เพราะวิชเยนทร์ย่ำยีพระพุทธศาสนา
เจ้าแม่ผู้เฒ่าเห็นโทษที่เจ้าพระยาฝรั่งทำผิดมหันต์ จึงรีบเสด็จขึ้นไปยังเมืองลพบุรี โดยนำหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปด้วย แต่ให้รออยู่ที่ท่าเรือก่อน เข้ากราบทูลโดยเหตุทั้งปวงนั้นทุกประการ สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชโองการให้หลวงสรศักดิ์มาเฝ้า ดำรัสบริภาษเป็นอันมาก แต่ก็ไม่ได้ทรงลงโทษแต่อย่างใด เจ้าพระยาวิชเยนทร์เลยจำใจต้องเสียฟัน ๒ ซี่เป็นค่าดูโขนไป
แต่โทษของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ที่หลวงสรศักดิ์เป็นผู้ชำระครั้งนี้ ก็คือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับการลงโทษครั้งสุดท้ายที่จะตามมาอีก เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ประชวรหนัก หลวงสรศักดิ์ที่ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาศรีสรศักดิ์ ก็ได้ให้คนไปบอกกับเจ้าพระยาวิชเยนทร์ว่าพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า คนรอบด้านเจ้าพระยาวิชเยนทร์ก็เตือนว่าทหารของพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ล้อมวังไว้หมดแล้วไม่ควรไป อาจเป็นเรื่องลวงก็ได้ แต่วิชเยนทร์เชื่อมั่นในกองทหารฝรั่งที่อารักขา แต่เมื่อจะเข้าวังชั้นใน ทหารต่างชาติจำต้องวางปืนไว้ข้างนอก พอวิชเยนทร์ก้าวพ้นประตูเข้าไปประตูก็ปิด ทหารไทยถือดาบก็กรูออกมารอบด้าน ทหารฝรั่งมือเปล่าที่ติดตามวิชเยนทร์เข้าไปเพียงไม่กี่คนก็ถอยกรูด หลวงสรศักดิ์ก็จับเจ้าพระยาฝรั่งไปเข้าหลักประหารอย่างง่ายๆ
นี่ก็เป็นจุดจบของอดีตกลาสีเรือชาวกรีก ซึ่งเจ้านายเก่าสรรเสริญว่า “...เป็นฝรั่งที่เป็นใหญ่กว่าเจ้าของเมือง...”