นักร้องแถวหน้าอีกหนึ่งคนของวงการเพลง ความสามารถที่ไม่ธรรมดา และเสียงร้องที่ไม่เป็นสองรองใคร เคยทำให้ “เพียว-เอกพันธ์ วรรณสุทธิ์” คว้ารางวัลนักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทยจากเวที KPN Award เมื่อปี 2010 ด้วยอายุเพียง 18 ปี

หลังจากหายไปเกือบ 8 ปี เขาก็กลับมาร่วมสร้างสีสันในรายการ The Voice Thailand Season 6 ที่ผ่านมา และเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกจับตามองมาตั้งแต่ตอนแรก ทั้งเทคนิคการร้อง บวกเสียงทรงพลัง สร้างความประทับใจให้โค้ชทั้ง 4 คน จนต้องหันกลับมา สุดท้ายเพียวก็เลือกร่วมทีมกับโค้ชในดวงใจอย่าง “สิงโต-นำโชค” และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 8 คนสุดท้ายในที่สุด

• หนึ่งในตัวเต็งแชมป์ The Voice Season 6
มีคนเชียร์ให้ได้ที่หนึ่งครับ ก็อ่านคอมเมนต์เหมือนกัน ซึ่งรอบชิงจะใช้ผลโหวตจากผู้ชมทางบ้านเป็นหลัก คนที่โหวตอาจจะชอบเพลงที่เข้าถึงง่ายกว่านี้ ซึ่งต่างจาก KPN แต่จริงๆ เข้ามาถึงรอบนี้ เพียวก็รู้สึกดีใจแล้วนะ เพียวไม่ได้คิดว่าตัวเองมาแข่ง คิดแค่ว่ามาโชว์ความสามารถมากกว่า ได้มาร้องเพลงกับแสงสวยๆ ได้ออกทีวีอีกครั้งแค่นั้นเอง
• ไม่เสียใจ แค่นี้ก็ถือว่าเกินคาด
ไม่เสียใจเลยครับ ก็อย่างที่บอกว่าเกินคาดด้วยซ้ำ ตอนแรกเพียวคาดไว้แค่รอบไลฟ์เอง แต่พอโดนพี่สิงโตเลือกเข้ามารอบชิง ก็รู้สึกว่าเป็นกำไรมากกว่า อย่างน้อยเราก็ได้ทำโชว์อีกหนึ่งโชว์ให้คนดู

• จุดเริ่มต้น “เพียว The Voice”
พี่กฤษ The Voice เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิตที่เพียวเรียนอยู่ เขามาชวนให้ไปประกวด ตอนนั้นก็นั่งคิดอยู่ 3 วันเลย อีกอย่างก็เพราะแม่ด้วยครับ แม่บอกว่า อยากเห็นลูกออกมาร้องเพลงอีก เพียวเลยคิดว่าตายายก็แก่แล้ว อยากให้เขาเห็นหลานมาออกทีวีอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจมา
• ความใฝ่ฝันคือ การยืนบนเวที The Voice
เป็นเวทีที่ใฝ่ฝันเลยครับ เพราะพี่ปลาทองไปแข่ง The Voice ก่อน และพี่เขาก็ชวนให้ไปสมัครเหมือนกัน มาพูดให้ฟังว่า ดนตรีของรายการดีมาก ร้องไม่เหนื่อยเลย เพียวเลยคิดว่าจะได้โปรโมตตัวเองด้วย เลยรอให้หมดสัญญากับ KPN ก่อนครับ

• มีแฟนคลับเป็นถึงระดับโค้ช
ตอนนั้นรู้สึกดีใจมาก หันมา 4 คนเลย ที่พีคกว่านั้นคือ พี่สิงโตจำเพียวได้ และขึ้นมาขอลายเซ็น เขาบอกว่าเป็นแฟนคลับ ติดตามตั้งแต่ประกวด KPN สุดท้ายก็เลยเลือกทีมพี่สิงโต เพราะคิดว่าเขารู้จักเรามาสักพักหนึ่งแล้ว เขาน่าจะรู้ว่าเราเป็นแบบไหน เราชอบเพลงแนวไหน อย่างพี่สิงโตก็เป็นโค้ชในดวงใจของเพียวอยู่แล้วครับ
• โค้ชในดวงใจสอนอะไรเราบ้าง
สอนเยอะมากครับ การร้องก็ต้องปรับเยอะ เพราะเพียวทำงานร้องเพลงตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ร้องแนวแจ๊ส จะใช้โน้ตเยอะ พี่สิงโตก็สอนว่าต้องตัดออกให้เหลือนิดเดียวนะ อะไรที่เข้าถึงง่าย คนจะชอบ และก็สอนเรื่องอาชีพนักร้องด้วย พี่เขาบอกว่าความสำเร็จอาจจะไม่ได้เกิดในอายุเท่านี้ อาจจะอีก 5 ปีหรือ 10 ปี ยึดความเป็นศิลปินของเราไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อใคร ให้เราทำตามความฝัน และฝึกไปเรื่อยๆ สุดท้าย ความสำเร็จจะเข้ามาหาเราเอง

• การกลับมาที่เต็มไปด้วยความกดดัน
เพียวไม่ได้กดดันว่าจะตกรอบ หรือจะได้ไปต่อนะ แต่กดดันตรงที่กลัวร้องเพลงได้ไม่ดีมากกว่า กลัวทำคนดูเสียใจว่าทำไมร้องได้แค่นี้
• บนเส้นทางนักร้อง ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตั้งแต่เด็กก็อยากเป็นนักร้อง ชอบร้องเพลง ชอบเต้น ชอบแสดง แต่เป็นคนขี้อายมาก คิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี เป็นเด็กบ้านนอก หน้าตาบ้านๆ และก็โดนล้อบ่อยมาก ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เวลามีการแสดงก็ไม่กล้าออกมาข้างหน้าเวที แต่เราก็พยายามปรับมาตลอด
ตั้งแต่แรกคือ พ่อแม่ไม่สนับสนุนเลย เวลาไปประกวดร้องเพลงก็ไม่เคยมาดูเลย จนจะเข้ามหาวิทยาลัย อยากเรียนดนตรีก็เลยไปขอแม่ คุณครูที่โรงเรียนก็ไปช่วยคุยด้วยว่า ถ้าไปเรียนดนตรี เขาจะเป็นแบบนี้ พอเรียนจบก็ไปทำงานแบบนี้นะ และตอนนั้นเพียวก็ทำให้เขาเห็นด้วยว่าเรามีดี ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ เราสามารถทำเป็นอาชีพได้ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ได้ ตอนอยู่ร้อยเอ็ดก็ไปประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษหลายเวทีมาก ก็ชนะมา 4-5 ครั้ง เขาคงเห็นว่าเราชอบจริงๆ พอสอบติดแม่ก็เลยเข้าใจ
แต่แม่ก็บอกว่า ถ้าจะเรียนก็ต้องได้ทุน ถ้าไม่ได้ทุนก็ไม่ให้เรียน เพราะว่าบ้านเพียวทำนา ไม่ค่อยมีเงิน จากนั้นเราก็สอบชิงทุนมาเรื่อยๆ ศิลปากรก็ไป สุดท้ายได้ที่มหาวิทยาลัยรังสิต กว่าจะผ่านสอบประมาณ 4 รอบ พยายามมากเลยตอนนั้น มีสอบทฤษฎีกับสอบร้องเพลง สอบร้องผ่าน แต่สอบทฤษฎีไม่ผ่าน เพราะเราไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อน ก็ต้องไปติวจนสอบผ่านครับ
• วิทนีย์ ฮุสตัน แรงบันดาลใจในวัยเด็ก
เพียวได้ไปดูซินเดอเรลลา ที่วิทนีย์ ฮุสตัน รับบทนางฟ้า พอได้ยินเสียงร้องเพลง เพียวก็รู้สึกว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงเพราะจัง อยากเป็นเหมือนเขา อยากร้องเพลงให้ได้เหมือนเขา ก็เป็นแรงบันดาลใจของเรามาตั้งแต่ตอนนั้นเลย

• ไม่มีพื้นฐานมาก่อน แต่พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ฝึกจากเพลงเลยครับ เราจะฟังเพลงเยอะมาก เข้าร้านอินเทอร์เน็ตบ่อย ไม่ได้ไปเล่นเกมนะครับ ไปดูวิทนีย์ ฮุสตัน เพราะตอนนั้นเริ่มมียูทิวบ์แล้ว ก็ไปดูว่าเขาร้องยังไง ร้องกับใครบ้าง ใครเป็นไอดอลของเขา เราก็ตามไปฟังหมดเลย ส่วนตอนเรียน เพียวเรียนเอกแจ๊ส ก็ต้องเริ่มฟังอะไรที่เป็นแจ๊สมากขึ้น ก็พยายามเรียนทฤษฎี เพราะมหาวิทยาลัยจะเน้นเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นนักร้องจะร้องเพลงอย่างเดียว ต้องเรียนเครื่องดนตรี ต้องเขียนโน้ตได้ เรียนแบบนักดนตรีเลย ซึ่งตอนนั้นก็มีคุณครูมาสอนฟรีที่โบสถ์ในกรุงเทพฯ เพียวก็เลยได้โอกาสจากตรงนั้นด้วย
• กว่าจะคว้าแชมป์ KPN Award 2010
ประกวดมาหลายเวทีครับ LG Star Talent ,The Star, งานวัด, งาน อบต. ไปหมด โดนดูถูกมาก็เยอะ เพียวเลยคิดว่า I will prove you wrong ฉันจะทำให้เขารู้ว่า เราเป็นนักร้องได้ ก็เลยมาประกวด KPN และก็ได้ที่ 1 กลับไปดูเทปเก่าๆ ยังรู้สึกตลอดเลยว่า เราผ่านมาได้ยังไง เพราะมีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น
• ถึงเป็นนักร้องอาชีพ ก็ยังต้องฝึกฝน
อาชีพนี้การฝึกฝนไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว มีอะไรใหม่ก็ต้องเอาเข้ามา ถ้าเกิดไม่ไปตามโลก เราก็จะไม่ทันโลก อย่างมีเพลงกระแสใหม่มา เราไม่ร้องก็ไม่ได้ เขาก็จะไม่จ้าง จริงๆ การเป็นนักร้องเพียวว่าไม่ง่ายเลยนะ เกิดมาร้องเพลงเพราะเฉยๆ ก็อาจจะขายไม่ได้ ต้องมีหลายอย่างจริงๆ คาริสมาบนเวทีก็สำคัญเหมือนกัน

• เพราะการร้องเพลง คือส่วนหนึ่งของชีวิต
เคยโดนอาจารย์ด่าจนร้องไห้เลยครับ ตอนนั้นท้อมาก ไม่อยากเรียน ไม่ร้องเพลงแล้ว เอาเข้าจริงๆ เช้าวันใหม่ตื่นขึ้นมาก็ฟังเพลงเหมือนเดิม ฮึดขึ้นมาเพราะเสียงเพลง เราว่าการร้องเพลงอยู่ในสายเลือด เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพียวไปแล้ว
• ความฝันคือ การเป็นนักร้องแจ๊สคนไทยที่ดังไกลถึงต่างประเทศ
เพียวอยากทำอะไรใหม่ๆ อยากพากย์หนัง อยากเล่นหนังด้วย ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากทำ แต่ว่าความฝันจริงๆ ก็คือ อยากร้องเพลงให้เก่ง อยากเป็นนักร้องแจ๊สคนไทยที่ดังในเอเชีย ดังในต่างประเทศ ถึงตอนนี้ยังไม่เก่ง แต่ก็พยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ความสำเร็จของเพียวก็คือ อยากเก่งขึ้นแค่นั้นเองครับ
• ยอมรับและรักตัวเองก่อน
ถึงน้องๆ ทุกคนนะครับ ไม่ว่าฝันอยากเป็นอะไรก็ตาม ขอให้ค่อยๆ ฝึกฝนความสามารถที่มีอยู่ให้ดีที่สุด เพียวเชื่อว่าทุกคนจะทำความฝันได้สำเร็จแน่นอน และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพียวอยากให้น้องๆ ทุกคน รักตัวเองให้มากๆ ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ก่อน ต้องบอกเลยว่า เคยเกลียดตัวเอง เพราะว่าเป็นเกย์ ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าบอกใคร จนมาถึงจุดหนึ่งก็ตัดสินใจบอกพ่อแม่ ตอนนั้นแม่ก็ตอบว่า รู้นานแล้ว ทำไมจะไม่รู้ก็เขาเป็นคนเลี้ยงเรามา เลยทำให้เพียวรู้สึกหลุดพ้นจากการเกลียดตัวเอง
สุดท้ายก็ขอบคุณทุกคนที่จำเพียว KPN คนนี้ได้ อยากฝากให้คนที่ชอบในเสียงเพียว ช่วยติดตามผลงานไปเรื่อยๆ ด้วยนะครับ จะพยายามทำเพลงที่ดี ผลงานเพลงดีๆ ออกมาให้ฟังกัน และขอฝากเพลง “อดีตที่ผ่านมา” ไว้ด้วย น่าจะปล่อยให้ฟังกันในเดือนเมษายนนี้ครับ
เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
หลังจากหายไปเกือบ 8 ปี เขาก็กลับมาร่วมสร้างสีสันในรายการ The Voice Thailand Season 6 ที่ผ่านมา และเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกจับตามองมาตั้งแต่ตอนแรก ทั้งเทคนิคการร้อง บวกเสียงทรงพลัง สร้างความประทับใจให้โค้ชทั้ง 4 คน จนต้องหันกลับมา สุดท้ายเพียวก็เลือกร่วมทีมกับโค้ชในดวงใจอย่าง “สิงโต-นำโชค” และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 8 คนสุดท้ายในที่สุด
• หนึ่งในตัวเต็งแชมป์ The Voice Season 6
มีคนเชียร์ให้ได้ที่หนึ่งครับ ก็อ่านคอมเมนต์เหมือนกัน ซึ่งรอบชิงจะใช้ผลโหวตจากผู้ชมทางบ้านเป็นหลัก คนที่โหวตอาจจะชอบเพลงที่เข้าถึงง่ายกว่านี้ ซึ่งต่างจาก KPN แต่จริงๆ เข้ามาถึงรอบนี้ เพียวก็รู้สึกดีใจแล้วนะ เพียวไม่ได้คิดว่าตัวเองมาแข่ง คิดแค่ว่ามาโชว์ความสามารถมากกว่า ได้มาร้องเพลงกับแสงสวยๆ ได้ออกทีวีอีกครั้งแค่นั้นเอง
• ไม่เสียใจ แค่นี้ก็ถือว่าเกินคาด
ไม่เสียใจเลยครับ ก็อย่างที่บอกว่าเกินคาดด้วยซ้ำ ตอนแรกเพียวคาดไว้แค่รอบไลฟ์เอง แต่พอโดนพี่สิงโตเลือกเข้ามารอบชิง ก็รู้สึกว่าเป็นกำไรมากกว่า อย่างน้อยเราก็ได้ทำโชว์อีกหนึ่งโชว์ให้คนดู
• จุดเริ่มต้น “เพียว The Voice”
พี่กฤษ The Voice เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิตที่เพียวเรียนอยู่ เขามาชวนให้ไปประกวด ตอนนั้นก็นั่งคิดอยู่ 3 วันเลย อีกอย่างก็เพราะแม่ด้วยครับ แม่บอกว่า อยากเห็นลูกออกมาร้องเพลงอีก เพียวเลยคิดว่าตายายก็แก่แล้ว อยากให้เขาเห็นหลานมาออกทีวีอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจมา
• ความใฝ่ฝันคือ การยืนบนเวที The Voice
เป็นเวทีที่ใฝ่ฝันเลยครับ เพราะพี่ปลาทองไปแข่ง The Voice ก่อน และพี่เขาก็ชวนให้ไปสมัครเหมือนกัน มาพูดให้ฟังว่า ดนตรีของรายการดีมาก ร้องไม่เหนื่อยเลย เพียวเลยคิดว่าจะได้โปรโมตตัวเองด้วย เลยรอให้หมดสัญญากับ KPN ก่อนครับ
• มีแฟนคลับเป็นถึงระดับโค้ช
ตอนนั้นรู้สึกดีใจมาก หันมา 4 คนเลย ที่พีคกว่านั้นคือ พี่สิงโตจำเพียวได้ และขึ้นมาขอลายเซ็น เขาบอกว่าเป็นแฟนคลับ ติดตามตั้งแต่ประกวด KPN สุดท้ายก็เลยเลือกทีมพี่สิงโต เพราะคิดว่าเขารู้จักเรามาสักพักหนึ่งแล้ว เขาน่าจะรู้ว่าเราเป็นแบบไหน เราชอบเพลงแนวไหน อย่างพี่สิงโตก็เป็นโค้ชในดวงใจของเพียวอยู่แล้วครับ
• โค้ชในดวงใจสอนอะไรเราบ้าง
สอนเยอะมากครับ การร้องก็ต้องปรับเยอะ เพราะเพียวทำงานร้องเพลงตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ร้องแนวแจ๊ส จะใช้โน้ตเยอะ พี่สิงโตก็สอนว่าต้องตัดออกให้เหลือนิดเดียวนะ อะไรที่เข้าถึงง่าย คนจะชอบ และก็สอนเรื่องอาชีพนักร้องด้วย พี่เขาบอกว่าความสำเร็จอาจจะไม่ได้เกิดในอายุเท่านี้ อาจจะอีก 5 ปีหรือ 10 ปี ยึดความเป็นศิลปินของเราไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อใคร ให้เราทำตามความฝัน และฝึกไปเรื่อยๆ สุดท้าย ความสำเร็จจะเข้ามาหาเราเอง
• การกลับมาที่เต็มไปด้วยความกดดัน
เพียวไม่ได้กดดันว่าจะตกรอบ หรือจะได้ไปต่อนะ แต่กดดันตรงที่กลัวร้องเพลงได้ไม่ดีมากกว่า กลัวทำคนดูเสียใจว่าทำไมร้องได้แค่นี้
• บนเส้นทางนักร้อง ที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตั้งแต่เด็กก็อยากเป็นนักร้อง ชอบร้องเพลง ชอบเต้น ชอบแสดง แต่เป็นคนขี้อายมาก คิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี เป็นเด็กบ้านนอก หน้าตาบ้านๆ และก็โดนล้อบ่อยมาก ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเองเลย เวลามีการแสดงก็ไม่กล้าออกมาข้างหน้าเวที แต่เราก็พยายามปรับมาตลอด
ตั้งแต่แรกคือ พ่อแม่ไม่สนับสนุนเลย เวลาไปประกวดร้องเพลงก็ไม่เคยมาดูเลย จนจะเข้ามหาวิทยาลัย อยากเรียนดนตรีก็เลยไปขอแม่ คุณครูที่โรงเรียนก็ไปช่วยคุยด้วยว่า ถ้าไปเรียนดนตรี เขาจะเป็นแบบนี้ พอเรียนจบก็ไปทำงานแบบนี้นะ และตอนนั้นเพียวก็ทำให้เขาเห็นด้วยว่าเรามีดี ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ เราสามารถทำเป็นอาชีพได้ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ได้ ตอนอยู่ร้อยเอ็ดก็ไปประกวดร้องเพลงภาษาอังกฤษหลายเวทีมาก ก็ชนะมา 4-5 ครั้ง เขาคงเห็นว่าเราชอบจริงๆ พอสอบติดแม่ก็เลยเข้าใจ
แต่แม่ก็บอกว่า ถ้าจะเรียนก็ต้องได้ทุน ถ้าไม่ได้ทุนก็ไม่ให้เรียน เพราะว่าบ้านเพียวทำนา ไม่ค่อยมีเงิน จากนั้นเราก็สอบชิงทุนมาเรื่อยๆ ศิลปากรก็ไป สุดท้ายได้ที่มหาวิทยาลัยรังสิต กว่าจะผ่านสอบประมาณ 4 รอบ พยายามมากเลยตอนนั้น มีสอบทฤษฎีกับสอบร้องเพลง สอบร้องผ่าน แต่สอบทฤษฎีไม่ผ่าน เพราะเราไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อน ก็ต้องไปติวจนสอบผ่านครับ
• วิทนีย์ ฮุสตัน แรงบันดาลใจในวัยเด็ก
เพียวได้ไปดูซินเดอเรลลา ที่วิทนีย์ ฮุสตัน รับบทนางฟ้า พอได้ยินเสียงร้องเพลง เพียวก็รู้สึกว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ร้องเพลงเพราะจัง อยากเป็นเหมือนเขา อยากร้องเพลงให้ได้เหมือนเขา ก็เป็นแรงบันดาลใจของเรามาตั้งแต่ตอนนั้นเลย
• ไม่มีพื้นฐานมาก่อน แต่พยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ฝึกจากเพลงเลยครับ เราจะฟังเพลงเยอะมาก เข้าร้านอินเทอร์เน็ตบ่อย ไม่ได้ไปเล่นเกมนะครับ ไปดูวิทนีย์ ฮุสตัน เพราะตอนนั้นเริ่มมียูทิวบ์แล้ว ก็ไปดูว่าเขาร้องยังไง ร้องกับใครบ้าง ใครเป็นไอดอลของเขา เราก็ตามไปฟังหมดเลย ส่วนตอนเรียน เพียวเรียนเอกแจ๊ส ก็ต้องเริ่มฟังอะไรที่เป็นแจ๊สมากขึ้น ก็พยายามเรียนทฤษฎี เพราะมหาวิทยาลัยจะเน้นเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นนักร้องจะร้องเพลงอย่างเดียว ต้องเรียนเครื่องดนตรี ต้องเขียนโน้ตได้ เรียนแบบนักดนตรีเลย ซึ่งตอนนั้นก็มีคุณครูมาสอนฟรีที่โบสถ์ในกรุงเทพฯ เพียวก็เลยได้โอกาสจากตรงนั้นด้วย
• กว่าจะคว้าแชมป์ KPN Award 2010
ประกวดมาหลายเวทีครับ LG Star Talent ,The Star, งานวัด, งาน อบต. ไปหมด โดนดูถูกมาก็เยอะ เพียวเลยคิดว่า I will prove you wrong ฉันจะทำให้เขารู้ว่า เราเป็นนักร้องได้ ก็เลยมาประกวด KPN และก็ได้ที่ 1 กลับไปดูเทปเก่าๆ ยังรู้สึกตลอดเลยว่า เราผ่านมาได้ยังไง เพราะมีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น
• ถึงเป็นนักร้องอาชีพ ก็ยังต้องฝึกฝน
อาชีพนี้การฝึกฝนไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว มีอะไรใหม่ก็ต้องเอาเข้ามา ถ้าเกิดไม่ไปตามโลก เราก็จะไม่ทันโลก อย่างมีเพลงกระแสใหม่มา เราไม่ร้องก็ไม่ได้ เขาก็จะไม่จ้าง จริงๆ การเป็นนักร้องเพียวว่าไม่ง่ายเลยนะ เกิดมาร้องเพลงเพราะเฉยๆ ก็อาจจะขายไม่ได้ ต้องมีหลายอย่างจริงๆ คาริสมาบนเวทีก็สำคัญเหมือนกัน
• เพราะการร้องเพลง คือส่วนหนึ่งของชีวิต
เคยโดนอาจารย์ด่าจนร้องไห้เลยครับ ตอนนั้นท้อมาก ไม่อยากเรียน ไม่ร้องเพลงแล้ว เอาเข้าจริงๆ เช้าวันใหม่ตื่นขึ้นมาก็ฟังเพลงเหมือนเดิม ฮึดขึ้นมาเพราะเสียงเพลง เราว่าการร้องเพลงอยู่ในสายเลือด เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพียวไปแล้ว
• ความฝันคือ การเป็นนักร้องแจ๊สคนไทยที่ดังไกลถึงต่างประเทศ
เพียวอยากทำอะไรใหม่ๆ อยากพากย์หนัง อยากเล่นหนังด้วย ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากทำ แต่ว่าความฝันจริงๆ ก็คือ อยากร้องเพลงให้เก่ง อยากเป็นนักร้องแจ๊สคนไทยที่ดังในเอเชีย ดังในต่างประเทศ ถึงตอนนี้ยังไม่เก่ง แต่ก็พยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ความสำเร็จของเพียวก็คือ อยากเก่งขึ้นแค่นั้นเองครับ
• ยอมรับและรักตัวเองก่อน
ถึงน้องๆ ทุกคนนะครับ ไม่ว่าฝันอยากเป็นอะไรก็ตาม ขอให้ค่อยๆ ฝึกฝนความสามารถที่มีอยู่ให้ดีที่สุด เพียวเชื่อว่าทุกคนจะทำความฝันได้สำเร็จแน่นอน และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพียวอยากให้น้องๆ ทุกคน รักตัวเองให้มากๆ ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นให้ได้ก่อน ต้องบอกเลยว่า เคยเกลียดตัวเอง เพราะว่าเป็นเกย์ ไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าบอกใคร จนมาถึงจุดหนึ่งก็ตัดสินใจบอกพ่อแม่ ตอนนั้นแม่ก็ตอบว่า รู้นานแล้ว ทำไมจะไม่รู้ก็เขาเป็นคนเลี้ยงเรามา เลยทำให้เพียวรู้สึกหลุดพ้นจากการเกลียดตัวเอง
สุดท้ายก็ขอบคุณทุกคนที่จำเพียว KPN คนนี้ได้ อยากฝากให้คนที่ชอบในเสียงเพียว ช่วยติดตามผลงานไปเรื่อยๆ ด้วยนะครับ จะพยายามทำเพลงที่ดี ผลงานเพลงดีๆ ออกมาให้ฟังกัน และขอฝากเพลง “อดีตที่ผ่านมา” ไว้ด้วย น่าจะปล่อยให้ฟังกันในเดือนเมษายนนี้ครับ
เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ