ลูกชาย “พิชัย นริพทะพันธุ์” ฉะ “คุณหญิงสุดารัตน์” เสนอแนวทางให้พรรคเพื่อไทยแก้ไขตัวเอง พ้นจากหล่มขัดแย้ง โวยพรรคถูกวางตะปูเรือใบ-ขโมยขึ้นบ้าน-ถูกเอาเปรียบหลายครั้ง โอดคนรุ่นใหม่ไม่เกิดเพราะถูกปิดกั้น เหน็บบางคนอ้างศาสนา-ความดี เพื่อเอาประโยชน์ตัวเอง จนประชาชนเสื่อมศรัทธา
วันนี้ (12 มี.ค.) เฟซบุ๊ก “พชร นริพทะพันธุ์” ของนายพชร นริพทะพันธุ์ บุตรชายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 มี.ค. ทำนองว่าไม่เสนอตัวเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย แต่มีพิมพ์เขียวเสนอแนวทางว่าทำอย่างไรให้ประเทศไทยขึ้นจากหล่มที่ติดอยู่มานานให้ได้ ด้วยการต้องเริ่มแก้ไขที่ตัวเอง พร้อมกล่าวว่า แนวทางของตนทำตามหลักพระพุทธศาสนา คือไม่ต้องสนใจคนอื่น เราต้องเริ่มแก้ที่ตัวเอง ปฏิรูปตัวเอง อะไรที่เคยได้ทำแล้วประชาชนไม่สบายใจ ไม่ชอบเรา ก็อย่าทำอีกต่อไป ระบุว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับการถกเถียงอย่างเปิดเผยระหว่างบุคลากรภายในพรรค เพราะพรรคถือเป็นองค์กรสาธารณะ ประชาชนจะได้รับรู้ และ คสช.คงไม่สามารถห้ามสมาชิกคิดหรืออภิปรายในประเด็นต่างๆ ได้
สำหรับตนเองไม่เห็นด้วยต่อคำให้สัมภาษณ์ของคุณหญิงสุดารัตน์ก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยติดหล่ม และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิกฤตปัจจุบัน โดยเห็นว่าพรรคเพื่อไทยถูกวางตะปูเรือใบมากกว่า เช่นเดียวกัน พรรคก็ไม่ได้มีปัญหาหรือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะเราถูกขโมยขึ้นบ้าน และถูกเอาเปรียบหลายครั้ง เชื่อว่าบุคลากรภายในพรรคสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนยางที่ชำรุดได้ แต่ต้องใช้แรง กำลัง และฝีมือ โดยเฉพาะบุคลากรต้องรับฟังความเป็นซึ่งกัน และกัน
“พรรคเพื่อไทยคือพรรคของประชาชน ตัวบุคคลไม่สำคัญ แต่บุคคลที่จะมาทำงานให้พรรคนั้นสำคัญ เราต้องฟังเสียงคนของเรา คนของประชาชน หากเราปิดหูปิดตาทำของเราเองแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนความต้องการก็เปลี่ยนเรื่อยๆ” นายพชรกล่าว
นายพชรกล่าวต่อว่า ขณะนี้การสร้างคนรุ่นใหม่ในพรรคยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร เพราะบางครั้งก็หลงลืมว่ามีบุคลากรกลุ่มนี้อยู่ หากต้องการสนับสนุนคนรุ่นใหม่จริง ต้องพร้อมถกเถียง อภิปราย หรืออดทนกับสิ่งที่ไม่เห็นด้วย จึงขอถามว่า คนรุ่นใหม่ในพรรคถูกปิดกั้นหรือไม่ ใครปิดกั้น และเพราะเหตุใด นอกจากนี้ ขอสนับสนุนให้บุคลากรทางการเมืองกล้าแสดงความคิดเห็น เพราะการต่อสู้ของนักการเมืองจะเป็นผลดีต่อประชาชน ปัญหาคือบางคนเลือกที่จะหลงสถานะตัวเอง อ้างเหตุผลด้านศาสนา ความดี เพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวเองจนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ทั้งที่ธรรมชาติของนักการเมืองต้องต่อสู้ การเมืองย่อมเป็นการเมือง มีทั้งสวยงาม และด้านมืดเป็นปกติ การถกเถียงและต่อสู้ประเด็นต่างๆ เป็นความจำเป็น
“ในฐานะคนรุ่นใหม่ของคนเพื่อไทยซึ่งอยู่กับองค์กรมาตั้งแต่แรกๆ องค์กรนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของใครคนคนใดคนหนึ่ง เสียงของทุกคนสำคัญ และอยากจะบอกประชาชนทุกคนว่า การต่อสู้ของนักการเมืองนั้นดีต่อประชาชน เพราะนั่นคือกระบวนการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขา เป็นภูมิคุ้มกันให้สังคม สิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวง เพื่อการคงอำนาจของคนคนหนึ่งหรือกลุ่มกลุ่มหนึ่งแค่นั้นเอง” นายพชรกล่าว