xs
xsm
sm
md
lg

หมอซุป’ตาร์ รักษาฟรี! “ประทีป ไวคํานวณ” จากนักธุรกิจ สู่หมอจิตอาสา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อาจารย์หมอประทีป ไวคํานวณ” ผู้คิดค้นศาสตร์ผ่าตัดเทียมคนแรกและคนเดียวของเมืองไทย หมอผู้เคยอยู่แวดวงธุรกิจมากกว่า 10 ปี ความจริงใจ และการเข้าถึงลูกค้า ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการธุรกิจ ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันมาเป็นหมอจิตอาสา

นอกจากจะทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และใช้ความรู้ที่มีช่วยเหลือคนไข้ คุณหมอก็ยังเปิดคลินิกเพื่อรักษาโรคที่เกี่ยวกับเนื้อเยื่อ พังผืด และเส้นเอ็น ที่สามารถใช้การผ่าตัดเทียมเข้ามารักษาได้ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตลอดจนการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามชุมชนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส เป็นระยะเวลาร่วม 20 ปี

• ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของนักธุรกิจไฟแรง

ทำธุรกิจอยู่ 10 กว่าปี ทั้งธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจนำเข้าและส่งออก ประสบความสำเร็จมากในตอนนั้น การทำธุรกิจ เราไม่ได้ไปมองเรื่องผลกำไรอย่างเดียว แต่เราจะเข้าถึงตัวลูกค้า พูดง่ายๆ คือขายความจริงใจ เพราะฉะนั้น แฟนคลับจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากนั้นก็มีคนให้ความเชื่อถือ ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งการโฆษณาอะไรมาก แต่สมัยก่อน โอกาสจะค่อนข้างเยอะกว่านี้ ไม่ได้มีการแข่งขันมากเท่าตอนนี้

เราเป็นคนที่ชอบฉวยโอกาส ไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หายไป ไม่เคยคิดในแง่ลบ ถ้าไปมัวคิด ก็ไม่ได้ทำ อีกอย่างเราก็เป็นคนกล้าพูด จึงทำให้โอกาสที่เข้ามาถึงเรามีมากกว่าคนอื่น จนมาถึงจุดหนึ่งที่เราเริ่มเบื่อหน่าย เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นยนต์ หัวใจมันแข็ง ตื่นมาแต่เช้าก็มีแต่เรื่องงาน การทำกำไร การตลาด เราเริ่มรู้สึกแบบนี้หลังจากไปบวชมา ได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนไทย ซึ่งทำให้ความรู้สึกที่แท้จริงของเราออกมาด้วย

• จุดเริ่มต้นบนเส้นทางหมอจิตอาสา

เคยประสบอุบัติเหตุที่อเมริกา รักษาตัวอยู่ 3 - 4 เดือน ถึงร่างกายจะไม่มีปัญหาแล้ว แต่บาดแผลก็ยังไม่เรียบร้อย ตอนอยู่ที่นั่นเราไม่อยากนอนประจำเตียง เพราะเหงา ก็เลยเดินไปเดินมา หลายครั้งก็มีโอกาสเป็นผู้ช่วยคุณหมอในการรักษาคนไข้คนอื่นๆ บางทีถึงเวลาพัก ยังเคลียร์คนไข้ไม่เสร็จ คุณหมอก็วานให้ช่วยดูแลบ้าง เราก็เลยใช้ประสบการณ์ที่คุณหมอสอนและแนะนำ ทำไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นหมอแบบไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงเราไม่ได้เป็นด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นก็กลับมาบวช 3 - 4 พรรษา จุดเริ่มต้นก็คือ เราเอาวิชาความรู้นี้รักษาพระเพื่อน ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยง เพราะตอนนั้นท่านมีอาการอาพาธ และไม่สามารถออกบิณฑบาตได้ บวกกับท่านใช้คำพูดที่ดูไม่มีหนทาง พูดง่ายๆ ก็คือหมดหวัง แต่ในขณะเดียวกันเราก็บอกว่า จะลองดูไหม เพราะเราก็มีวิชาความรู้ทางนี้อยู่บ้าง พอท่านตกลง เราก็เริ่มรักษาท่านอยู่ประมาณ 2 - 3 เดือน ก็หายเกือบจะเป็นปกติ

หลังจากลาสิกขา ก็กลับไปที่วัดอีกครั้งเพื่อจะไปซ่อมแซมและบูรณะ ระหว่างนั้นก็เจอญาติโยมมาปรึกษา อยากให้เราช่วยรักษา ตอนนั้นเจ้าอาวาสเลยบอกว่า “โยม รักษาเขาเถอะ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน ไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อสีไหน ถ้าหัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ทำไมไม่รักษา ทำไมต้องให้เขารอ” เราก็เลยเปิดอุโบสถ รักษาอยู่ตรงนั้นก็หลายปี กลายเป็นปากต่อปาก พอวัดนี้ดี ก็มีคนไปบอกวัดนู่น เราก็เลยเริ่มรักษามาเรื่อยๆ

• “ผ่าตัดเทียม” ไม่ใช่ทางเลือกที่หนึ่ง แต่เป็นอีกหนึ่งทางเลือก

ศาสตร์ผ่าตัดเทียม ก็เหมือนศาสตร์ผ่าตัดจริง จะแตกต่างตรงที่ไม่ได้เปิดปากแผล เราใช้อุปกรณ์ที่คิดค้นขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งคล้ายกับมีดผ่าตัด ด้วยความร่วมมือจากกรมสรรพาวุธ กองทัพอากาศ ที่อนุเคราะห์สร้างแบบจริงขึ้นมา โดยแต่ละหัวจะแตกต่างกัน เอาไว้กดเส้นเอ็นโดยเฉพาะ ใช้ในลักษณะโรคที่เกี่ยวกับชั้นเนื้อเยื่อ จุดประสงค์ก็คือ เรื่องของพังผืด หนึ่งคือ สามารถตัดภายในพังผืด โดยที่เนื้อเยื่อขาด แต่เส้นเอ็นไม่ขาด เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของเส้นเอ็น หลังจากนั้นเนื้อเยื่อก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาเอง มีข้อดีคือ ใช้เวลาเร็ว ผลข้างเคียงก็แค่ระบม

ตั้งแต่ปี 2552 ศาสตร์ผ่าตัดเทียมมีงานวิจัยตีคู่กับนักวิชาการ และหน่วยงานราชการมาตลอด เพียงแต่ในการสนับสนุนและการผลักดัน เรายังไม่สามารถนำเข้าในส่วนของการแพทย์แผนปัจจุบันได้ เราก็เลยแยกมาเป็นแพทย์ทางเลือก ที่หมอพูดไม่ใช่ว่ามีอะไรดีกว่า แต่ละศาสตร์มีจุดเด่นของใครของมัน แต่หลักๆ อยู่ที่โรคของคนไข้ ว่าเขาเป็นอะไร ซึ่งหมอเห็นว่าบางอย่างก็แค่ต้องซ่อมแซม ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเท่านั้นเอง ต้องบอกก่อนว่าหมอไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง หมอศึกษาจากคนไข้มาเรื่อยๆ และค่อยๆ พัฒนา หมอว่าการแพทย์มันอยู่ที่การพัฒนา

• “ราศีคลินิกการแพทย์แผนไทย” ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นงานที่รัก

คลินิกนี้เป็นการทำงานร่วมกับแพทย์แผนไทย มีคุณหมอผู้หญิงอีกท่านที่นำศาสตร์ผ่าตัดเทียมไปใช้ ก็เลยทำงานร่วมกันมา ตอนนี้ประมาณปีที่ 14 แล้วครับ คลินิกเปิดเฉพาะวันเสาร์ และต้องจองคิวล่วงหน้าเท่านั้น หมอคิดว่าถ้าเปิดทุกวัน จะดูเป็นการบริการเกินไป หมอไม่ได้ยึดตรงนี้เป็นอาชีพ หมอคิดอย่างเดียวว่ามันเป็นงานที่หมอรัก ฟ้าเลือกเรามาแล้ว และหมอเลือกก็ที่จะช่วยคนมากกว่าที่จะเดินเข้าวัด เพราะที่ผ่านมาก็ใช้เวลากับวัดมาหลายปี

ตอนนี้ทางคลินิกก็พยายามจัดเวลา เนื่องจากคนไข้เยอะมาก หมอก็ต้องดูอาการก่อน คนไหนที่เป็นน้อย ก็เจอกันสักเดือนละครั้ง จะมาทุกครั้งไม่ได้ เหมือนตัดโอกาสคนอื่น ตอนนี้อยากให้เข้าถึงผู้ด้อยโอกาสมากกว่า ซึ่งคำว่าด้อยโอกาสของหมอ หมายถึง ไม่ว่าคุณจะจน หรือมีเงินล้นฟ้า แต่ถ้าคุณไปหาหมอไม่ถูกคน ไม่ถูกที่ เงินก็จะค่อยๆ ร่อยหรอไป ไม่เหลือให้เก็บ

หมอจะบอกตลอดว่า หมอแค่ทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้เหมือนเดิม คำจำกัดความของหมอ คือ “ช่าง” ช่างมีหน้าที่ซ่อม ซ่อมเพื่อให้ได้ใช้งาน เราจะมีคนไข้ถามตลอด เมื่อไหร่จะหาย เป็นมาตั้งนานแล้ว บางทีคุณเป็นมา 10 - 20 ปี แต่คุณมาปรารถนาว่าจะหายภายในครั้งเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

• คุณหมอประทีปคิดว่าเพราะอะไร คนไข้ถึงไว้ใจมารักษากับเราคะ

คนไข้น่าจะชอบ เพราะการรักษาแบบผ่าตัดเทียม มันเห็นผลเร็ว ถึงจะค่อนข้างเจ็บ แต่ก็ไม่นาน สอง อาจเพราะความเฟรนลี่ของเรา บวกกับการให้เกียรติ และมีน้ำใจต่อคนไข้ เราไม่เคยทำให้คนไข้อึดอัดเลย การทำงานของหมอค่อนข้างเป็นศิลปิน เราใช้จิตวิญญาณรักษา เราไม่ได้ใช้เวทมนตร์ เราใช้ความรู้ ความชำนาญการ ความห่วงใย และความรัก

• ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

ก่อนที่จะเข้าไปทำงานในกระทรวงสาธารณสุข เราได้เงินสมทบมาเยอะ ก็ค่อนข้างหนักใจเรื่องของการจัดเก็บเงินส่วนนี้ ตอนนั้นจึงตัดสินใจเริ่มออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เริ่มจากเรา เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่ การออกหน่วยในแต่ละครั้ง เราจะให้สถานที่ที่มีความจำเป็นส่งจดหมายมาก่อน เราจึงจะออกไป ส่วนมากก็จะเป็นชุมชนผู้ด้อยโอกาส ตอนนี้พยายามจะเน้นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มากกว่าการรักษาที่คลินิก เพราะเราเห็นว่าทำประโยชน์ได้มากกว่า

• ทำงานหลายๆ ส่วนแบบนี้ มีหลักการทำงาน ตลอดจนการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้างคะ

ตลอดชีวิตการทำงาน หมอไม่เคยเครียดเลย จะเครียดไปทำไม ตอนเกิดเราก็เครียดแล้ว ออกมาถึงได้ร้องไห้ไง (หัวเราะ) นับตั้งแต่วันที่เริ่มรักษาคนไข้มา หมออาจจะมีไม่สบายบ้าง แต่หมอไม่เคยล้มป่วยเลยสักครั้ง เพราะเรามีสุขภาพจิตที่ดี

คือจริงๆ หลักการทำงานของหมอก็ไม่มีอะไรมาก แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่รอคอยวันพรุ่งนี้ ไม่มองย้อนกลับไป เรามีความรู้สึกว่าคิดดีแล้วก่อนที่จะทำ แต่ละครั้งจะทำอะไร เราคิดอย่างเดียวว่าเราอยากเห็นคนมีความสุข

• เสียสละความเป็นส่วนตัว เพื่อให้กับส่วนรวม

หมอว่าตอนนี้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว หนึ่ง เราอยู่ด้วยกันมานาน สอง ยืนอยู่ตรงจุดนี้ หมอพึงพอใจกับสิ่งแวดล้อมที่สร้างขึ้น และตอนนี้เรื่องเงินก็มีพอเท่าที่จำเป็น แต่ไม่ได้มีค่าสำหรับหมอเลย ส่วนการช่วยคน หมอว่ายิ่งใหญ่กว่า ชีวิตเราไหว้คนมาเยอะ แต่คนไหว้เรา กอดเราทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน หมอว่าแบบนี้มันอบอุ่นมาก ซึ่งมันแตกต่างกับชีวิตที่หมอเคยเป็น

ตอนแรกก็รู้สึกท้อ เพราะเราคาดหวัง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เราประสบความสำเร็จแล้ว ความสำเร็จของหมอ คือคนไข้เขามีความสุข มันไม่ได้อยู่ที่หน่วยงานใดจะต้องมานั่งสรรเสริญหรือชื่นชม สุดท้าย กุญแจหลักมันอยู่ที่คนไข้ ไม่ต้องให้คนอื่นมาตัดสิน ไม่ต้องไปสนใจใคร ในเมื่อคนไข้บอกว่ารักเรา เราคือคนที่รักษาเขาหาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

• ถือว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ในอนาคตวางแผนอะไรไว้อีกบ้างคะ

ต้องบอกก่อนว่าความโชคดีของหมอ คือเป็นคนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศ จึงทำให้โลกเรากว้างกว่าคนที่คำถามเยอะ แต่ไม่ยอมเปิดโอกาส ในอนาคตเราก็อยากเป็นวิทยากรไปแลกเปลี่ยนความรู้กับต่างประเทศ ให้เขาเห็นความสำคัญ และนวัตกรรมใหม่ๆ ว่าคนไทยก็ทำได้ เหมือนที่ต่างชาติมองรถตุ๊กๆ ไทยนั่นแหละครับ แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวอยู่อย่างหนึ่ง กลัวว่าเขาจะเอาภูมิปัญญาของเราไป ทั้งๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเกิดขึ้น หมอก็คงจะรับไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ และบุคคลต่างๆ ที่มาสืบทอดต่อไป ขอให้เขาทำให้ดีแค่ก็พอ

• ระยะเวลาร่วม 20 ปีบนเส้นทางจิตอาสา สิ่งที่ได้รับคือ ผลตอบแทนที่มีค่ามากกว่าความสุข

เป็นความสำคัญครับ ซึ่งมากกว่าความสุขไปแล้ว ความสำคัญที่คนไข้เขาให้กับเรา เราเปรียบเสมือนบุคคลที่สำคัญ บุคคลที่ทรงพลัง และมีค่าสำหรับเขา หมอก็เอาตรงนี้มาเป็นพลังงาน และพลังใจในการทำงาน รักษาคนไข้มา ไม่ใช่แค่หลักหน่วย หลักพัน แต่จะทะลุหลักแสนแล้ว เจตนารมณ์ของหมอ คือการช่วยคนไข้ ร่วม 20 ปี ที่เราไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายเลยสักบาทเดียว สิ่งต่างๆ ที่ทำเป็นความสุขทางใจ ไม่มีใครสามารถขโมยความสุข ไม่มีใครสามารถขโมยรอยยิ้มของคนไข้ ที่บันทึกไว้ในสมองไปจากหมอได้

อย่าง หมอซุป’ตาร์ ก็เป็นฉายาที่ถูกตั้งให้ (ยิ้ม) หมอไม่ได้คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้รับความนิยม และความรักมากมายขนาดนี้ สิ่งที่หมอได้รับคือ ความอ่อนโยน น้ำใจ ความอบอุ่นเหมือนบ้าน เหมือนครอบครัว หมอเชื่อว่าถ้าคุณได้มารักษา คุณจะรู้เลยว่าคลินิกแบบนี้ไม่มีอีกแล้วในโลก สำหรับหมอ ถ้าวันหนึ่งหมดลมหายใจ ก็ถือว่านอนตายตาหลับ เพราะได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ครอบครัว ทดแทนคุณแผ่นดิน ถือว่าได้ทำแล้ว และหมอไม่เคยเสียใจ

เรื่อง : พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี


กำลังโหลดความคิดเห็น